ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 349
ในขณะเดียวกัน เก่อเอ้อร์นิวที่อยู่อำเภออวิ๋นจงได้เปิดกล่องไม้ ชี้เสวี่ยเกาที่อยู่ในนั้นพลางแนะนำ
“อย่าเพิ่งบอกว่าแพง ถ้าแค่เอาน้ำในบ่อทำมันก็ถูกอยู่หรอก มันแข็งเหมือนกันใช่ไหม แต่มันไม่ใช่เสวี่ยเกาไง…
…ของพวกเรานี่คืออะไร ถ้าไม่เชื่อกัดดูหนึ่งคำ กลิ่นนมเน้นๆ…
…ใช้นมที่สดที่สุดของทุกวันทำ ด้านบนนี่มีผิวนมด้วยนะ…
…อีกทั้งไม้เสียบเสวี่ยเกานี่ พวกเราต้มในน้ำร้อน ลวกหลายรอบ แค่ถ่านก็หมดไปหลายแล้ว ยังคิดว่าแพงไหมล่ะ…
…เอ๊ะ อย่าเพิ่งไปสิ…
…ซื้อสักแท่งไปให้ลูกกิน ให้ภรรยา ให้ท่านพ่อท่านแม่ลองชิมดู ลองฟังพวกเขาว่ามันดีไหม…
…เอาแค่วันนี้ ข้างนอกหนาวจะตาย นั่งบนเตียงเตาหรือนั่งหน้าเตา ผิงไฟไปกินเสวี่ยเกาไป แบบนี้ถึงจะอุ่น ซี้ดซ้าดเข้าปากหวานอร่อย…
…ต้องกินในหน้าหนาวนี่แหละถึงจะเด็ดกว่ากินตอนหน้าร้อน หลักการเดียวกับสาลี่เย็น”
ผู้ชายที่เดินผ่านถูกดึงแขนเสื้อ จนปัญญาสุดๆ “ข้าดูเชื่อคนง่ายเหรอ ถึงพูดมากใส่ขนาดนี้ มันจะไม่เด็ดได้เหรอ กินของเย็นในฤดูหนาว อย่าว่าแต่ร้อนในเลย กินเข้าไปได้หนาวถึงหัวใจ ปากก็แข็งจนสั่น ป้าเลิกดึงสักที ข้าไม่ซื้อจริงๆ ไม่ได้พกเงินมาด้วย ข้าแค่มาเดินดูเฉยๆ”
เก่อเอ้อร์นิวปล่อยแขนเสื้ออีกฝ่าย ไม่พกเงิน จะมาเดินดูอะไร เปลืองน้ำลายเป็นบ้า
เมืองเฟิ่งเทียน
หน้าร้านขนมเค้กแห่งความสุขของย่าหม่า
เนื่องจากร้านนี้หรูหราเกินไป ไม่มีหน้าต่างสำหรับขายของ ไม่ด้อยไปกว่าร้านขนมเค้กของโรงเตี๊ยมอีผิ่นเซวียน ย่อมไม่สามารถเอาถังหูลูกับกล่องไอศกรีมไปวางข้างนอกได้
เช่นนั้นต้องทำอย่างไรล่ะ
ตอนท่านย่าหม่าอยู่ที่บ้าน เคยเดินวนสังเกตตุ๊กตาหิมะที่หลานสาวคนเล็กของนางพาพวกเด็กๆ ทำ
ดังนั้นวันนี้มาที่ร้าน ตอนที่นางว่างจึงให้เป่าจูกับต้าเต๋อจื่อทำตุ๊กตาหิมะที่ด้านนอก
จะทำตุ๊กตาหิมะขนาดใหญ่ทีเดียว
ที่หน้าร้านใช้ลูกต้นสนล้อมรอบพอดีใช่ไหมล่ะ นางจะเอาตุ๊กตาหิมะขนาดใหญ่สองตัวประดับไว้หน้าร้านข้างละตัว
ท่านย่าหม่าวุ่นวายอยู่เกือบครึ่งค่อนวัน
พอมีลูกค้าเข้าร้าน นางก็เคาะหิมะที่ติดเท้าแล้วตามลูกค้าเข้าไป ขายขนม คิดเงิน
พอลูกค้าไปแล้ว เริ่มว่าง นางก็ออกไปทำตุ๊กตาหิมะต่อ
เห็นเพียงตุ๊กตาหิมะพุงใหญ่ที่ปั้นเสร็จ ดวงตาดำสองข้างใช้กระดุม จมูกเป็นแครอท ปากแดงใช้กระดาษสีแดงทำ
ท่านย่าหม่ายังได้จงใจใช้เป่าจูออกไปซื้อผ้าลายดอกสีชมพูเหมือนที่นางโพกหัวมาสองผืน
เป่าจูออกไปซื้อ เป็นไปไม่ได้ที่จะเจอลายดอกแบบเดียวกัน แต่ถ้ามองไกลๆ ก็เป็นผ้าสีชมพูเหมือนกัน ไม่ต่างกันมาก
ท่านย่าหม่าคิดว่าการที่นางซื้อผ้ามาใส่ให้ตุ๊กตาหิมะไม่ใช่การสิ้นเปลือง เพราะนางคิดว่าไว้ค่อยส่งต่อให้กลุ่มส่งขนมกลุ่มอื่น ให้พวกยายๆ ได้เปลี่ยนบ้าง เอาไปซักอะไรก็ว่าไป
อันที่จริงความคิดแรกของท่านย่าหม่าคืออยากเอาผ้าสีชมพูสองผืนนี้ให้เป่าจู เป่าจูไม่ได้ปฏิเสธ แต่งตัวเหมือนกับทุกคน โพกผ้าบนศีรษะ ไม่เห็นมีอะไร
แต่ตอนที่สายตาของท่านย่าหม่าจับจ้องไปที่ต้าเต๋อจื่อ เล่นเอาเป่าจูตกใจสะดุ้งโหยง ให้พี่ชายของนางใส่อะไรแบบนี้ไม่ได้เชียวนะ
ท่านย่าหม่า ชิ อย่าเพิ่งปฏิเสธ พวกเจ้ารู้หรือไม่ มีแค่คนทำขนมชุดแรกเท่านั้นที่ใส่ผ้าโพกหัวสีชมพู ของคนอื่นเป็นสีน้ำเงินนะ
พอเป็นแบบนี้ ท่านย่าหม่าเลยถอดผ้าโพกหัวออกอย่างอารมณ์ดี บอกท่านยายเถียนให้ถอดด้วย แล้วโพกผ้าผืนใหม่บนหัวตัวเอง
มีของใหม่แล้ว ใครจะใช้ของเก่ากัน
ของใหม่ย่อมต้องมาก่อน
จากนั้นก็เอาผ้าผืนเก่าไปคาดให้ตุ๊กตาหิมะตัวอ้วนกลมทั้งสอง
หลังจากที่โพกผ้าให้ตุ๊กตาหิมะทั้งสองเสร็จ มันก็ดูน่าสนใจขึ้นมา ดึงดูดสายตาจากผู้คนได้ทันที
เป่าจูมองตุ๊กตาหิมะยิ้ม พลางเอาถังหูลูเสียบเข้าเสาฟาง ผลไม้สีแดงสดเป็นไม้ๆ ถูกวางไว้ข้างมือตุ๊กตาหิมะตัวด้านขวา เอาเสวี่ยเกาหนึ่งไม้เสียบไว้ที่มือของตุ๊กตาหิมะตัวด้านซ้าย
เกี่ยวกับถังหูลูและไอศกรีมแท่ง
โดยเฉพาะถังหูลู
อันที่จริงตอนแรกสุดที่วางแผนจะขาย ซ่งฝูหลิงไม่เข้าใจ
นางถามท่านย่า “จะได้กำไรสักเท่าไรกัน หักต้นทุน ขั้นตอนการทำก็ยุ่งยาก มีเวลาขนาดนั้นไม่สู้ทำขนมเพิ่มอีกสองเตา”
ท่านย่าหม่าก็ถามนางกลับ “เช่นนั้นทำไมเจ้าต้องทำ เจ้าทำเป็น ทั้งยังทำได้ดี ไม่เอาออกไปขายแลกเงิน ย่าไม่หงุดหงิดได้รึ”
ซ่งฝูหลิงเถียงอย่างมีเหตุมีผล “ก็ข้าอยากกินนี่นา ถังหูลูที่ท่านย่าซื้อมาไม่อร่อย ไม่มีงา ก็ไม่ได้ต้องใช้ฝีมืออะไรมาก ขนาดท่านแม่ข้ายังทำเป็น ข้าทำเองก็ได้ ส่วนเสวี่ยเกา นั่นข้าก็เคยทำนานแล้ว แค่ท่านย่าไม่รู้ ข้ากับหมี่โซ่วนั่งอยู่บนเตียงอุ่น มีจินเป่าอีกคน พวกเราเคยกินกันหมด พวกท่านที่เป็นผู้ใหญ่ไม่รู้”
ท่านย่าหม่าหมดคำจะพูด ทำไมถึงได้ตะกละขนาดนั้น วันๆ อยู่บ้านเอาแต่คิดเรื่องกิน
จากนั้นถึงได้พูดความในใจ
ท่านย่าหม่าบอกซ่งฝูหลิง
“หักต้นทุน ได้ไม่กี่เหรียญทองแดง เป็นเงินที่ต้องเหน็ดเหนื่อยทั้งนั้น ก็ไม่รบกวนเจ้าหรอก…
…เจ้าแค่สอนพวกนางก็พอ ไม่ต้องลงไปทำด้วย…
…แต่ถ้าเจ้าไม่มีเวลาจริงๆ ก็ให้แม่เจ้าสอน…
…เพื่ออะไรน่ะเหรอ…
…หลานย่า ย่าก็แค่คิดว่าถ้าเรามีร้าน ก็ไม่ได้กินที่อะไรมาก แค่ติดๆ มือไป…
…เจ้าคิดว่าย่าหวังกำไรจากมันมากนักรึ…
…นั่นมันจะกำไรสักเท่าไรกัน…
…ก็แค่อยากให้พวกคนอื่นๆ ในบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกหน่อย ยุงแม้จะตัวเล็กก็ยังมีเลือดเนื้อ กำไรสักเหวินสองเหวินก็ยังดี…
…จากนั้นพวกเราก็เอาติดไปด้วยตอนขนขนม…
…ตอนขายก็ช่วยมองๆ หน่อย เป็นธุระแทน เปลืองน้ำลายเรียกลูกค้าก็ไม่เป็นไร…
…ยังไงเสีย กำไรที่ได้ก็ไม่ได้เข้ากระเป๋าคนอื่น”
ตอนนั้นซ่งฝูหลิงฟังจบก็รู้สึกเหนือความคาดหมายมาก
ท่านย่าของนางมีความคิดที่สูงส่งถึงขั้นนี้แล้วเหรอ
นั่นสินะ พวกนางน่ะ ไม่ใช่แค่ท่านย่าที่คิดว่าจะช่วยทุกคนหาเงินได้ยังไง มันก็คำพูดนั้น ยังไงเสีย กำไรที่ได้ก็ไม่ได้เข้ากระเป๋าคนอื่น
พวกท่านทวดก็พูดอยู่บ่อยๆ ว่า ต้องเก็บอาหารดีๆ ไว้ให้พวกท่านยายๆ ที่ต้องเดินไปบนหิมะที่หนาวเย็นทุกวัน ลำบากมาก กำไรเท่าไหร่ก็ไม่ได้เข้ากระเป๋าคนอื่น ไม่ต้องแยกให้ชัดเจนขนาดนั้น สุดท้ายก็ได้กลับมา
ต่อมาซ่งฝูหลิงกับเฉียนเพ่ยอิงก็สอนทุกคนทำเสวี่ยเกา ทำถังหูลูโรยงา
สอนด้วยความตั้งใจ
พวกนางสองแม่ลูกสอนให้ฟรี ไม่คิดเงิน ไม่เอาแม้แต่เหรียญทองแดงเดียว แค่ขอร้องอยู่อย่างเดียว
“ของกินที่เอาออกไปจากพวกเราที่นี่ ต้องใช้ความสามารถของตัวเองให้เต็มที่ ใช้ของดีอย่างไม่เสียดาย และต้องสะอาด อย่าทำเสียชื่อเสียงร้านขนมเค้กที่คุณหนูสามร่วมกันเปิดกับพวกเรา”
ดังนั้น นับจากวันนี้เป็นต้นไป แต่ละร้านของย่าหม่าจึงเพิ่มของกินชนิดนี้เข้าไปด้วย
อีกทั้งวันแรกที่ท่านย่าหม่าขายถังหูลู ไม่เพียงแต่จะขายหมด เสวี่ยเกาขายไม่หมด เสวี่ยเกาต้องค่อยๆ พึ่งพาการเรียกลูกค้า ท่านย่าหม่ายั่งได้เอาเครื่องคั้นน้ำกับเครื่องตีไข่อีกชุดกลับมาด้วย
เสี่ยวเฉวียนจื่อเป็นคนเอามาให้ที่ร้าน
ซุ่นจื่อไม่ว่างมาเอง
ซุ่นจื่อใส่ที่ครอบหูกับผ้าปิดปาก ออกไปชานเมืองกับลู่พั่นอีกครั้ง แม้แต่เกิ่งเหลียงก็ตามไปด้วย ครั้งนี้ไปฝึกทหาร
ไปครั้งนี้อย่างน้อยก็นานครึ่งเดือนถึงหนึ่งเดือน
เมื่อมีเครื่องคั้นน้ำกับเครื่องตีไข่อย่างละสองเครื่อง
ซ่งฝูหลิงประกาศ “พรุ่งนี้คนทำขนมชุดแรกให้ตื่นเช้ากว่าปกติครึ่งชั่วยามเพื่อเรียนของใหม่”
…
“ช้าๆ มัดผ้าห่มดีแล้วหรือยัง ระวังผักจะแข็งหมด” ลุงซ่งออกมายืนตะโกนริมฝั่งตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างอีกครั้ง
“กลับไปเถอะ” ซ่งฝูเซิงหันกลับไปโบกมือไล่
วันนี้กระเทียมเหลืองที่พวกเขาปลูกครั้งที่สองโตเต็มที่ในรอบแรกแล้ว ต้องแบกไปขาย
ในขณะเดียวกัน ครั้งนี้ซ่งฝูเซิงยังได้เอาพริกติดไปด้วยร้อยยี่สิบกว่าจิน กะจะเอาไปลองขายดู