ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 351
“มีอะไรเหรอ”
“ไม่เด็ดแล้ว รอให้มันแดง”
เฉียนเพ่ยอิงปัดดินบนตัว ในโรงเพาะปลูกพริกมีหม้อดิน
ตักน้ำจากหม้อดินออกมาหนึ่งกระบวยยื่นให้ซ่งฝูเซิง พูดด้วยความเป็นห่วง “ขายยาก ขายไม่ออกเหรอ”
ซ่งฝูเซิงดื่มน้ำอุ่น กลืนลงคอแล้วถึงพูด “ขายสี่ที่ขายออกไปแค่ไม่กี่สิบจิน พึ่งการปูทางจากกระเทียมเหลืองก่อนหน้านี้ก็ไม่มีประโยชน์ เถ้าแก่พวกนั้นไม่กล้าเอาไว้ ไม่เหมือนยุคปัจจุบัน เอาออกไปขายทุกคนก็รู้ว่าคืออะไร ไม่ต้องพูดเยอะ แต่คนที่นี่ไม่รู้จัก”
“คุณสอนพวกเขาทำแล้ว ชิมดูก็ไม่ไหวเหรอ”
ซ่งฝูเซิงไม่ได้อธิบายอะไรมาก
วางกระบวยน้ำ นั่งบนเก้าอี้ตัวเล็ก เอาสองมือถูหน้าพลางพูด
“ไม่เป็นไร รอมันแดงก็ได้แล้ว…
…พอมันแดง ทำบะหมี่หมาล่า น้ำแกงหมาล่า หม้อไฟ ต้มปลา โรยพริกบนเนื้อแพะเสียบไม้ เมื่อถึงตอนนั้นเอาให้พวกเขาหอมจนสลบ…
…พวกเขาไม่รู้จัก ไว้วันหน้าพวกเราแนะนำให้พวกเขารู้จักกันทั่ว ข้าไม่เชื่อหรอก ข้าจะทำให้พวกเขามาต่อคิวซื้อที่นี่ให้ได้”
พูดจบก็ออกไป
เจ็บปวดกับพริกสดที่เขาเด็ดออกมาแล้ว
สั่งให้พวกยายๆ ที่รับหน้าที่ทำอาหารในห้องครัวเอาพริกพวกนั้นไปทำเป็นน้ำพริก ใส่ไหวางเรียงไว้ให้ดี จัดเก็บให้เรียบร้อย
เอาเงินให้ซ่งฝูกุ้ย ให้ซ่งฝูกุ้ยเข้าไปซื้อเต้าเจี้ยวในหมู่บ้านมาหน่อย
ว่ากันตามหลักการ ควรจะหมักเต้าเจี้ยวเอง ไม่ต้องเสียเงินซื้อ เวลากินก็วางใจ
แต่ตอนพวกเขามาถึงก็เป็นต้นเดือนสิบเอ็ดแล้ว พวกเขาดองผักได้ เก็บหัวไชเท้าทำผักดองเค็มได้ มีแค่เต้าเจี้ยวเท่านั้นที่ทำไม่ได้
เพราะเมื่อผ่านช่วงนั้นมาแล้ว จนปัญญาจะทำ ไม่มีก้อนหัวเชื้อเต้าเจี้ยว เต้าเจี้ยวได้มาจากการเอาถั่วไปผัดให้สุกแล้วบดให้ละเอียด ทำเป็นก้อน วางไว้ในบ้านหลายเดือน โกรกลมจนแห้ง เดือนสี่ปีหน้าถึงจะเอามาทำได้ ลงมือทำทีก็ใช้เวลาหนึ่งปีเต็มๆ
ซึ่งก็หมายความว่าถ้าพวกเขาอยากกินเต้าเจี้ยวที่ทำเอง ปีนี้คงไม่ทันแล้ว ปีหน้าก็อาจจะไม่ได้เหมือนกัน เพราะในบ้านไม่มีก้อนหัวเชื้อเต้าเจี้ยว จะให้ไปซื้อก้อนเต้าเจี้ยวก็ไม่ไหวหรือเปล่า ไม่สู้ซื้อเต้าเจี้ยวสำเร็จมาเลย จะไปเปลืองแรงทำทำไม
ดังนั้นนี่ ก็เป็นสาเหตุที่ซ่งฝูเซิงกับลุงซ่งรู้สึกว่าหาเงินมาเท่าไรก็ไม่พอใช้
ในชีวิตมีเรื่องที่ต้องใช้เงินมากเหลือเกิน
‘ของทุกอย่างในบ้านล้วนเป็นเงิน’ ก็มีที่มาแบบนี้
จากบ้านเกิดไปอยู่ต่างถิ่น กินเต้าเจี้ยวก็ยังต้องซื้อ
นี่ถ้าอยู่บ้านเกิด ต่อให้ขัดสนแค่ไหน อย่างน้อยที่สุดในบ้านก็ต้องมีของพวกนี้
ซ่งฝูกุ้ยถือเงิน ลากแคร่เลื่อน กะจะไปซื้อเต้าเจี้ยวที่บ้านพี่สะใภ้สี่
ซ่งฝูกุ้ยวางแผนเรียบร้อยแล้ว ต่อไปถ้าพวกเขามีเรื่องดีๆ อะไร ช่วยให้ทางนั้นหาเงินได้บ้าง เขาก็จะไปที่บ้านพี่สะใภ้สี่ก่อน
“จินเป่า ออกไปเดินเล่นกับอาฝูกุ้ยไหม”
“ข้าต้องอยู่เวร”
“ไม่ต้องอยู่หรอก ใครจะกล้ามา ตอนนี้คนในหมู่บ้านมีใครกล้ามาหาเรื่องพวกเราที่ไหนกัน”
ท่านลุงซ่งด่าซ่งฝูกุ้ยอยู่ข้างหลัง “เจ้าจะไปเถลไถลก็อย่ามาชวนเด็กไป ไปคนเดียวสิ”
ซ่งฝูเซิงยืนอยู่หน้าบ้านได้ยินคำพูดนี้ ขณะหันไปก็เห็นซ่งฝูหลิงถือกระดาษสำหรับทำขนมกระต่ายขาวปึกหนึ่ง จะเอาไปให้ที่ห้องทำขนม
“ขายหมดแล้วเหรอ”
“ค่ะ ขนมกระต่ายขาวขายดีมาก คุณพ่อยืนดูอะไรอยู่เหรอ”
“เปล่า ไปเถอะ”
ซ่งฝูเซิงมองตามหลังลูกสาว คิดในใจ
ก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่าแม่กับลูกสาวของเขาเปิดห้องทำขนมเค้กจะไปได้สวยสักเท่าไร
ตอนนี้มาคิดดูอีกที ขนมชนิดใหม่ คนอื่นไม่เคยเห็น ค่อยๆ แพร่หลายออกไปทีละนิด ก็ไม่ง่ายเหมือนกัน
เริ่มจากเข็นรถไปขาย เพิ่งขายได้ไม่เท่าไรก็เป็นที่รู้จักไปทั่ว รับออเดอร์จากทุกอำเภอ
ต่อมาก็เปิดร้านอีก
ไม่ต้องสนว่าอาศัยใบบุญของพี่สาวคนที่สามของลู่พั่นหรือเปล่า ก่อนอื่นก็ต้องตั้งตัวด้วยตัวเอง ต้องเปิดสี่ร้านพร้อมกันในเวลาอันสั้น
จากที่มีขายแค่ขนมไข่ ขนมเค้กวันเกิด มาจนถึงตอนนี้ ห้องอบขนมของลูกสาวกับแม่ของเขามีขนมสิบกว่าอย่างแล้ว หนึ่งในนั้นมีแค่คุกกี้ที่ขายออกช้าหน่อย ส่วนอย่างอื่นอบใหม่ทุกวัน เตาอบไม่เคยได้หยุดพัก ทำขนมกันทุกวัน
มีตั้งแต่ขนมเค้กม้วนกระต่ายขาว โดนัท ขนมม้วนผ้าเช็ดหน้า ขนมปังเนย จนถึงตอนนี้มีเครื่องคั้นน้ำก็ทำขนมเค้กชิฟฟ่อนแอปเปิ้ลออกมาอีก ท่านย่าหม่าจัดการหาแอปเปิ้ลมาจากทุกอำเภอ ใส่แอปเปิ้ลบดลงในเค้กชิฟฟ่อน ทั้งยังจะทำพายแอปเปิ้ล
ส่วนขนมเล็กๆ อย่างอื่นเขาจำไม่ได้ อย่างขนมปังกรอบสอดไส้นม ไหนจะเครื่องดื่ม ได้ยินว่าอีกไม่กี่วันลูกสาวของเขายังจะเข้าเมืองอีก
ก่อนที่จะเริ่มเปิดมุมเล่าเรื่องในร้านอย่างเป็นทางการ จะต้องสอนพนักงานในร้านทำแฮมเบอร์เกอร์ ทำพิซซ่า ทำแซนด์วิช ทำพวกไก่ทอด ร้านของลูกสาวเขาขาดก็แค่เบียร์กับกาแฟแล้ว ไม่อย่างนั้นก็คือร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดยุคโบราณดีๆ นี่เอง
“เฮ้อ”
ซ่งฝูหลิงยังเดินไปไม่ไกลก็ได้ยินเสียงถอนหายใจ ขณะเดินได้หันกลับไปมอง
เกิดอะไรขึ้นเหรอ
มีหรือที่นางจะเดาได้ว่าท่านพ่อของนางกำลังชื่นชมในความเก่งของนาง
หากนางรู้ จะต้องพูดกับท่านพ่อแน่ว่า พึ่งดวง ดวงเท่านั้นท่านพ่อ
บางครั้งจะไม่ยอมแพ้ให้กับดวงก็ไม่ได้ ก็เหมือนตอนนางกับท่านย่าของนางตอนแรกเริ่มสุดทุลักทุเลกันมาตลอดทาง
จากที่ไม่เหมือนท่านพ่อของนางที่ยังรู้จักปูเส้นทางขายพริกด้วยกระเทียมเหลือง รู้จักวางแผนสำหรับวันข้างหน้า พวกนางสองย่าหลานไม่มีอะไรเลย ไม่เคยคิดอะไรทั้งนั้น
ขาดคนก็หาคนก่อน ขาดคนส่งของ ยังไม่ทันจะได้ กลุ่มพวกยายๆ ก็โยนผ้าขี้ริ้วทิ้ง บอกว่าไม่ขอทำอาหารแล้ว อยากไปทำกับพวกนางมากกว่า
หรือแม้กระทั่งในตอนแรกสุดขาดอิฐมาทำเตาอบ ก็ไปขโมยอิฐกำแพงบ้านคนอื่นจนถูกจับได้
จนกระทั่งวันนี้ที่เปิดร้านได้สามร้านเล็ก กับหนึ่งร้านใหญ่ และก็เหมือนราวกับมีคนช่วยดันพวกนางอยู่ข้างหลัง แต่ละย่างก้าวถูกวางไว้ตรงนั้น ล้มลุกคลุกคลานมาจนมีวันนี้
หากวันหนึ่งมีคนมาสัมภาษณ์ซ่งฝูหลิงกับท่านย่าหม่าขึ้นมาจริงๆ ว่า ตอนนั้นพวกท่านเดาได้หรือว่าพวกคนรวยโบราณจะซื้อขนมของพวกท่าน คำตอบคือ ไม่รู้หรอก ใครจะไปเดาได้ว่าพวกเขาจะชอบกินกันไหม
ขนมเปี๊ยะไส้ซานจากับขนมดอกสาลี่ของร้านขนมโบราณก็อร่อย แต่นั่นก็อร่อยในแบบของพวกเขา พวกเราก็แค่ลองดู ปรากฏว่าก็ลองกันมาจนถึงทุกวันนี้
สรุปว่า ซ่งฝูหลิง เมื่อเทียบกับท่านพ่อของนาง ตอนนี้ก็ยังอยู่ในประเภทที่ไม่มีประสบการณ์ค้าขายอะไร
ถ้านางรู้ถึงความกลัดกลุ้มใจของท่านพ่อ ประสบการณ์เดียวที่จะช่วยท่านพ่อของนางได้ก็คือ ‘ไม่อย่างนั้นท่านพ่อก็พาข้าไม่ก็หมี่โซ่วออกไปขายพริกอีกรอบลองดูหน่อยเป็นไง เกิดมีพวกเราสองคนไปด้วยแล้วขายออกขึ้นมาล่ะ’
ชีวิตคนเราเรื่องดวงน่ะ ไม่มีใครอธิบายได้ชัดเจนหรอก
ตกเย็นลุงซ่งตั้งใจมาที่บ้านซ่งฝูเซิงเร็วขึ้น
พอเข้าบ้านก็ถามซ่งฝูเซิง “เป็นอะไร โมโหเหรอ อย่าโมโหเลย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร พวกเราไม่ได้มีแค่สามร้อยตำลึง อย่าไปฟังเจ้าพวกนั้นพูดจาเหลวไหล พวกเขาไม่รู้ เจ้ายังจะไม่รู้ได้อีกรึ”
ซ่งฝูเซิง ที่เจ้าพวกนั้นรู้ก็เขาเป็นคนบอกนี่แหละ
ลุงซ่งเน้นย้ำ “สามร้อยสิบเก้าตำลึง สามร้อยสิบเก้าต่างหาก ฝูเซิง ต่อให้เราไม่ขายพริกทั้งหมดในโรงปลูกนั้น ฤดูหนาวครั้งนี้พวกเราก็อยู่ได้ คนอื่นไม่รู้จักพริก แต่พวกเขาก็ต้องรู้จักกระเทียมเหลืองใช่ไหมล่ะ แปลงเพาะปลูกใต้ดินยังมีกระเทียมเหลืองอยู่อีกนะ”
“ท่านลุง ข้าไม่ได้โกรธ ก็แค่นอนคิดไปเรื่อยเปื่อย”
“ไม่เหรอ”
“ไม่ได้โกรธจริงๆ”
“พั่งยาเอ๊ย คืนนี้จะเริ่มเล่าเมื่อไรล่ะ” ลุงซ่งคาบกระบอกยาสูบ สีหน้ายิ้มแย้ม ทิ้งซ่งฝูเซิงไว้ตรงนั้นแล้วเดินไปหาพั่งยาที่เตียงเตา