ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 352
ที่เตียงเตาของซ่งฝูหลิง หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ ตอนนี้มีเด็กๆ อยู่เต็มเตียง ช่วงสองสามวันมานี้กำลังทำงานฝีมือ
พวกเด็กๆ ช่วยนางทำฐานโมเดลจำลองขั้นพื้นฐานสุด เหมือนเล่นบทบาทสมมติ
แต่ซ่งฝูหลิงสอนพวกเขานับเลขในระหว่างที่เล่นไปด้วย เสียบฟางเข้าไปหนึ่งกระจุกก็จะนับหนึ่ง สอง สาม
ตลอดช่วงเย็น เด็กคนไหนเสียบได้มากที่สุด ทำได้ดี นับได้มากที่สุด วันรุ่งขึ้นก็จะได้รับรางวัลเป็นถังหูลูหลายลูก
คนที่ได้อันดับหนึ่งรับไปหนึ่งไม้ คนที่ได้อันดับสองรับไปสามลูก คนที่ได้อันดับสามรับหนึ่งลูก
เสวี่ยเกาก็เหมือนกัน เสวี่ยเกาหนึ่งแท่งเอามีดหั่นแบ่ง ใครเก่งก็ได้กินชิ้นใหญ่
บางครั้งก็มีรางวัลเป็นขนมเค้ก
สรุปว่าซ่งฝูหลิงเอาขนมมาล่อพวกเด็กๆ
ประการแรก ต้องการสอนพวกเขาตั้งแต่เด็กว่าไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ เราต้องเอาบางอย่างไปแลกถึงจะได้สิ่งที่อยากกิน
อยากกินอะไร ห้ามลงไปชักดิ้นชักงอร้องจะเอาเป็นพอ
ในด้านนี้ คนที่ก้าวหน้าที่สุดก็คือซ่งจินเป่า
ตอนนี้เวลาซ่งจินเป่าช่วยพ่อทำงาน ก็จะถาม ข้าช่วยท่านมัดท่อนไม้ท่านจะให้อะไรข้าไหม
เอาแค่เมื่อวาน เล่นเอาพ่อของเขาคว้าไม้กวาดไล่ตีครึ่งบ้าน ซ่งฝูสี่ “รางวัลคือฟาดให้หนึ่งทีไง”
ประการที่สอง สอนให้พวกเขารู้จักทำงาน หลักๆ คือพวกเด็กๆ พลังเยอะ เล่นได้ทุกอย่าง ช่วยทำงานก็เห็นเป็นเรื่องเล่น การทำโมเดลจำลองก็เลยคืบหน้าขึ้นมาก
ประการที่สาม เพื่อไม่ให้เด็กๆ เอาแต่เล่นไปวันๆ ฝึกนั่งอยู่กับที่ ฝึกความอดทน มีความรู้สึกแข่งขัน อีกทั้งยังได้ถือโอกาสสอนนับเลข ท่องกลอนให้ติดปาก ซ่งฝูหลิงสอนไปพร้อมกัน
ลุงซ่ง “ไอ๊หยา น่าสนุกจริงเชียว ทำอะไรกันอยู่รึ”
ซ่งฝูหลิงบอกเขา “กำลังทำช่องแคบอังกฤษ ท่านทวดจำที่ข้าเล่าได้หรือไม่”
“จำได้ๆ อังกิด เจ้าต้องทำสิ่งนี้ ถ้าอยากดึงดูดลูกค้ามาฟัง เอาแต่พูดไม่เข้าใจหรอก ก็เหมือนข้า ชื่อสถานที่พวกนั้นของเจ้ามันเยอะแยะเหลือเกิน ข้าต้องฟังสองรอบ ไม่อย่างนั้นก็จำสับสน ต้องอาศัยการย้ำเตือนถึงจะนึกออกว่าคือที่ไหนบ้าง”
“งั้นต่อไปข้าจะตั้งชื่อให้ง่ายหน่อย ข้ารับความคิดเห็นของท่านทวดไว้แล้ว ท่านทวดจะมาทำกับพวกเด็กๆ ไหม”
“ได้ ข้าก็อยากลองทำอังกิด เจ้าสิ่งนี้มันทำอย่างไรรึ งานละเอียดน่าดู”
ต่อมา อีกเตียงหนึ่งด้านหลังกำแพงไฟ ก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้น
พวกเด็กๆ หัวเราะคิกคักพลางพูด “ท่านทวด จำผิดอีกแล้ว ฮ่าๆๆ”
“ท่านทวด ไม่ได้ติดตรงนี้”
“ท่านทวด ทำไมมือสั่นล่ะ”
ท่านทวดหัวเราะพลางพูด “อย่าเอาแต่จ้องมือข้าสิ ยิ่งจ้องข้าก็ยิ่งสั่น”
ซ่งฝูหลิงอยู่ข้างล่างเตียง กำลังยืนอยู่หน้าโต๊ะวางโมเดลที่ลุงรองทำให้ใหม่ ก้มตัวติด หันกลับมาเรียกหมี่โซ่ว “หมี่โซ่ว ช่วยพี่หยิบแป้งเปียกบนเตามาหน่อย ลองแตะดูด้วยนะว่ามันเย็นหรือยัง”
หมี่โซ่วเหยียบส้นรองเท้าบู๊ทหนังรูปเจ้ากวางน้อย เขาชอบใส่แบบเหยียบส้นตลอด
ยกแป้งเปียกชามเล็กเข้ามาในห้อง หมี่โซ่วมองซ่งฝูเซิงที่ลุกจากเตียงพอดี ความรู้สึกไว เอียงหน้าถาม “ท่านลุงเป็นอะไรไปเหรอ”
ผมยุ่งเล็กน้อย ผมเปียที่อยู่บนหัวก็หลุดลุ่ย หน้าแดงระเรื่อ ใบหน้าน้อยๆ พอเอียงลงมาน่าเอ็นดูยิ่งกว่ายายา
ซ่งฝูเซิงเอ็นดูหมี่โซ่ว ใบหน้าไม่แสดงออก “ไม่มีอะไร เดี๋ยวก่อน”
หมี่โซ่วหยุดเดิน ร่างกายก็เกร็งตามไปด้วยอย่างไม่มีสาเหตุ
“วันนี้เจ้าฝึกเขียนได้กี่แผ่น”
มือซ้ายของหมี่โซ่วยื่นออกมาสี่นิ้ว ครุ่นคิด หดกลับไปหนึ่งนิ้วด้วยความระมัดระวัง กะพริบตาปริบๆ มองท่านลุง
“ท่านลุง ท่านลุง”
เฉียนหมี่โซ่วได้ยินซ่งฝูเซิง อยู่ๆ ก็เรียกท่านลุงซ่ง สังหรณ์ใจไม่ดี หวังจริงๆ ว่าท่านทวดจะไม่ได้ยิน
แต่ติดที่เขามีพี่จินเป่า ที่ซื่อเหมือนกวางน้อย กำลังเตือนอยู่ตรงไหล่ของท่านลุงซ่ง “ท่านทวด อาสามของข้าเรียกท่านแน่ะ”
“อะไรรึฝูเซิง”
“ช่วงนี้ต้องรอพริกเปลี่ยนเป็นสีแดง ข้าไม่ได้ออกไปไหนบ่อยแล้ว เริ่มสอนหนังสือพวกเขาดีกว่า จะปล่อยให้พวกเขาเอาแต่เล่นไม่ได้แล้ว เริ่มพรุ่งนี้เลย”
หมี่โซ่วนั่งขัดสมาธิบนเตียงเตา เลียนแบบท่าทางของอิคคิวซังที่พี่สาวสอน สองนิ้ววางที่ขมับ เขาอยากสงบจิตสงบใจ ความสวยงามบนลานน้ำแข็งจะไม่เกี่ยวข้องกับเขาแล้ว รู้สึกสับสน
หมี่โซ่วทำท่านี้เสร็จ เด็กคนอื่นๆ เห็นน่าสนุกก็ทิ้งของในมือ รีบนั่งขัดสมาธิ เลียนแบบท่านั่งสมาธิของหมี่โซ่วบ้าง
ท่านลุงซ่งหันไปมอง ‘อิคคิวซัง’ ที่นั่งกันสลอนเต็มเตียง หัวเราะคิกคักลูบเครา ไม่ทันระวังจึงทำกาวติดเคราไปด้วย “เอาสิ ไม่อย่างนั้นคงเสียดายความฉลาดของเด็กพวกนี้แย่”
เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเด็กๆ ของหลายรุ่นในตระกูลซ่ง อยู่ๆ ก็ได้เริ่มเรียนหนังสือ
ไม่เลือกวันมงคลแบบวันคู่อะไรแบบนี้เหรอ
ไม่เลือก
ไม่ต้องซื้อพุทราแดงหรือลำไยมาคำนับอาจารย์เหรอ
ไม่จำเป็น ซื้อมาก็พวกเขาก็เอาไปกินอยู่ดี
วันต่อมา ก็ไม่ได้ให้พวกเด็กๆ เตรียมใจอะไร เช้าตรู่พอกินข้าวเสร็จก็ถูกต้อนเข้าห้องชุมนุม ประหนึ่งเป็นหมู
แยกระดับชั้น
ชั้นเด็กโตประกอบไปด้วย เถี่ยโถว ต้าหลัง หูจื่อ หลานชายคนโตของท่านลุงซ่ง กลุ่มนี้คุกเข่าคารวะก่อน
การคารวะครั้งนี้หมายความว่า ต่อไปเด็กหนุ่มน้อยใหญ่พวกนี้ ไม่ว่าจะทำงานสวนหรือออกไปขายของ ต่อให้ปีหน้ามีครอบครัว ก็ต้องใช้เวลาน้อยนิดยามว่างของทุกวันให้เป็นประโยชน์ด้วยการมาเรียนหนังสือ ยุ่งแค่ไหนก็ต้องอดทน
พวกเขาไม่ได้เรียนคัมภีร์ชื่อดังอะไร ไม่ได้เรียนเพื่อไปสอบจอหงวน จุดประสงค์คือให้อ่านออกเขียนได้เท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ ซ่งฝูเซิงจึงตัดสินใจเปิดสอนสามวิชาให้พวกเขา
วิชาแรก เขาเป็นอาจารย์ สอนตัวอักษรที่ใช้บ่อย พอเริ่มก็สอนพวกนี้ก่อน
เน้นอักษรที่เจอบ่อยเวลาทำสัญญาหรือออกไปเจรจากับผู้คนเป็นหลัก เขียนตัวอักษรขี้เหร่อย่างไรก็ได้ ไม่เป็นไร อย่างไรเสียก็ไม่ได้เพื่อสอบจอหงวน แต่ต้องเขียนให้เป็น โดยเฉพาะต้องจำให้ได้
หลังเสร็จงานของทุกวัน พอกินข้าวเย็นเสร็จแล้วซ่งฝูเซิงจะเขียนอักษรห้าตัวบนกระดานดำ สอนพวกเขาอ่าน จำ เด็กๆ พวกนี้ต้องจำให้ได้
เมื่อไหร่ที่ต้องฝึกเขียนน่ะเหรอ ฤดูหนาวเริ่มทำงานตอนหกโมงเช้า เด็กพวกนี้ก็ต้องตื่นมาฝึกเขียนตั้งแต่ตีสาม
ลำบากไหม ไม่ลำบาก พวกยายๆ ก็ตื่นเวลานั้นทุกวัน
วิชาที่สองคือ การชกต่อยต่อสู้ด้วยมือเปล่าหรือเรียนการใช้กระบองสู้คน
อาจารย์ในวิชาที่สองคือซื่อจ้วง
ซื่อจ้วงพูดไม่ได้ แต่สอนเด็กหนุ่มพวกนี้ได้ ไม่มีปัญหา
อย่างไรเสียเด็กหนุ่มพวกนี้ก็โตๆ กันแล้ว ยังต้องให้เปลืองแรงพูดว่าต้องทำท่ายังไงด้วยเหรอ ดูแล้วฝึกตามไม่ได้รึ
ส่วนเมื่อไหร่ที่เริ่มเรียนวิชาชกต่อย ตีสามลุกมาฝึกเขียนใช่ไหมล่ะ เขียนถึงตีสี่ครึ่ง นั่งไปชั่วโมงครึ่งก็ควรลุกมาขยับยืดเส้นยืดสายบ้างแล้ว หลังตีสี่ครึ่งก็ออกไปฝึกชกต่อย ฝึกจนกว่าสมาชิกทุกคนจะออกไปทำงานพร้อมกันตอนหกโมงเช้า
วิชาที่สามคือ วิชาคำนวณ
อาจารย์ก็ย่อมเป็นหนิวจั่งกุ้ย
หนิวจั่งกุ้ยสอนพวกเขา ก็เลือกบทเรียนที่ยากๆ มาสอนโดยตรง อย่างไรเสีย เด็กพวกนี้ไม่ใช่เด็กเล็กที่ไม่มีความสามารถในการคิดคำนวณ เพราะเด็กพวกนี้ออกไปข้างนอก เคยใช้เงินหลายครั้งแล้ว
หนิวจั่งกุ้ยจะสอนดีดลูกคิด สอนสิ่งที่ซับซ้อน เช่น ทอนเงินอย่างไร คิดเงินอย่างไร
เวลาเรียนคือตอนเที่ยง แต่จะสอนที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ เด็กพวกนี้ต้องทำงาน เช่นนั้นก็สอนตามเวลาว่างก็แล้วกัน
พวกเด็กหนุ่มคุกเข่า อาจารย์ทั้งสามเดินขึ้นหน้า ใช้พู่กันแตะเลือดหมู แต้มจุดแดงบนหว่างคิ้วของพวกเขา