ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 353
อันที่จริงจุดแดงควรใช้เป็นชาดผง
เพราะคนโบราณพิถีพิถัน ใช้ชาดผงเบิกปัญญา
แต้มจุดแดงที่เหมือน ‘ไฝ’ บนตำแหน่งหว่างคิ้วของนักเรียน คำว่าไฝกับปัญญาเป็นคำพ้องเสียงกัน ต้องการให้ได้ความหมายที่ว่า ‘แค่เรียนรู้ก็เข้าใจ’
แต่ชาดผงยังต้องเสียเงินซื้อใช่ไหมล่ะ จะต้องให้ถึงขั้นนั้นทำไม เอาเงินซื้อชาดผงเอามาซื้อเนื้อสัตว์กินไม่ดีกว่าเหรอ
พวกเขาก็เลยใช้เลือดหมูแทน
เด็กหนุ่มกลุ่มนี้คุกเข่าลงที่พื้น ในขณะที่กำลังคำนับสามครั้งก็ปรากฏเหตุการณ์แทรกขึ้น
คนแรกซ่งฝูเซิง รับการคำนับจากพวกนักเรียน
ต่อมาก็เป็นซื่อจ้วง อาจารย์สอนศิลปะการต่อสู้ รับการคำนับจากพวกนักเรียน
ต่อมาเป็นหนิวจั่งกุ้ย อาจารย์สอนคำนวณ รับการคำนับจากพวกนักเรียน
เหตุการณ์แทรกเกิดขึ้นที่ซื่อจ้วง
ซื่อจ้วงพูดไม่ได้ แต่กลับวุ่นอยู่กับการแสดงความคิดของตัวเอง ประเดี๋ยวก็ยืนขึ้นรับการคำนับจากพวกนักเรียน ประเดี๋ยวก็คุกเข่าคำนับซ่งฝูเซิงกับหนิวจั่งกุ้ย
ดังนั้นซื่อจ้วงที่เป็นอาจารย์ ตอนออกจากห้องชุมนุม หน้าผากของเขาก็เลยมีรอยเลือดหมูเหมือนกัน
พวกเด็กโตกลุ่มนี้คำนับเสร็จก็ถึงตาของพวกเด็กเล็กบ้าง
พวกผู้ปกครองลำเอียงกันจริงๆ
ตอนลูกชายคนโต หลานชายคนโตคุกเข่า แต่ละคนมองอยู่ข้างๆ แววตาไม่ได้เปล่งประกายอะไร
แต่พอเป็นลูกชายคนเล็ก พวกหลานๆ คนเล็ก เริ่มตั้งแต่เอ้อร์หลังกับจินเป่าที่โตสุด ตอนที่แต่ละคนเข้าไปคำนับอย่างเรียบร้อย ภายในห้องชุมนุมก็ขาดแค่เสียงปรบมือแล้ว
บรรยากาศแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
มีพวกผู้ชายหลายคนถูมืออย่างอดไม่ได้ รู้สึกว่าบรรยากาศแบบนี้ทำให้พวกเขามีพลังที่ใช้ไม่หมด
อันที่จริงแม้แต่ซ่งฝูเซิงก็ลำเอียงไปด้วย สีหน้าไม่เหมือนเดิม
เมื่อเทียบกับเด็กโตพวกนั้น เขาต้องเข้มงวดกว่ามาก
เพราะเด็กเล็กพวกนี้จะต้องเรียนห้าคัมภีร์ สี่หนังสือ[1]
พวกเขายังเด็ก อนาคตของพวกเขายังอีกยาวไกล
หมี่โซ่วคุกเข่าพร้อมพวกเด็กๆ คำนับพื้นอย่างจริงจังให้ท่านลุงของตัวเอง อาจารย์ผู้เบิกปัญญาให้เป็นคนแรก
อีกหลายปีให้หลัง หมี่โซ่วจะจดจำเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นตอนเขาห้าขวบได้
ซึ่งในบรรดาเรื่องพวกนั้นจะต้องมีวันนี้อย่างแน่นอน
ก็คือในห้องที่เรียบง่ายแห่งนี้ ห้องที่แตกต่างกับห้องเรียนในเมืองอย่างสิ้นเชิง ท่านลุงซ่งฝูเซิงได้เปิดเส้นทางการเรียนหนังสือให้พวกเขา ทำให้อนาคตของพวกเขามีชีวิตที่แตกต่างออกไป
ท่านลุงซ่งฝูเซิงใช้มือที่ทำงานจนด้านลูบศีรษะของเด็กแต่ละคน แต้มเลือดหมูให้พวกเขาด้วยความตั้งใจ
“ตั้งใจเรียนนะ”
…
“นิ้วโป้งดีดขึ้นชนแกนกลาง นิ้วกลางดีดลงชนแกนกลาง นิ้วกลางปัดขึ้นออกจากแกนกลาง สองนิ้วปัดลงออกจากแกนกลาง…”
“หนึ่งขึ้นหนึ่ง สองขึ้นสอง สามขึ้นสาม สี่ขึ้นสี่…”
หนิวจั่งกุ้ยสอนพวกเด็กเล็กจริงจังมาก ความอดทนเต็มเปี่ยมยิ่งกว่าสอนต้าหลังกับพวกเถี่ยโถวหูจื่อ เริ่มจากสอนวิธีใช้นิ้วดีดลูกคิดก่อน
ต้องทราบก่อนว่า วิธีดีดนั้น หากผิดพลาดขึ้นมาตั้งแต่เริ่มอาจผิดไปตลอดชีวิต
พอสอนวิธีดีดเสร็จก็สอนการใช้ลูกคิดแบบที่ง่ายที่สุด
พวกเด็กๆ ยังเล็กมาก หนิวจั่งกุ้ยไม่ได้กลัวว่าพวกเขาจะทำไม่เป็น และก็ไม่รีบร้อนว่าต้องสอนครั้งเดียวแล้วพวกเขาจะคิดเป็นในทันที
แต่ในวิชาคำนวณมีเด็กอยู่หนึ่งคนที่รีบร้อนอยากสำเร็จวิชา พอเรียนการดีดลูกคิดเสร็จก็ตั้งใจมาขอให้หนิวจั่งกุ้ยสอนอย่างอื่น
นางมองข้ามพวกพื้นฐานง่ายๆ อย่างหนึ่งขึ้นหนึ่ง สองขึ้นสองไปแล้ว พอมาถึงก็อยากให้สอนดีดแบบที่ว่า ‘เพิ่มหนึ่งลงห้าหักสี่ เพิ่มสี่ลงห้าหักหนึ่ง’
ซ่งฝูหลิงคิด ในยุคปัจจุบันนางไม่เคยเรียนดีดลูกคิดอย่างจริงจัง เปิดมาก็ท่องสูตรคูณกันเลย ก็พอดีจะได้ใช้โอกาสนี้เรียนตามสักรอบ
ไม่ใช่แค่ลูกคิด นางคิดว่าครั้งนี้มายุคโบราณ ในเมื่อกลับมาแล้วก็อย่าให้เสียเที่ยว
ถ้าอย่างนั้น ในอนาคตเมื่อมีโอกาสจะต้องขอความรู้จากคนที่นี่เรียนในสิ่งที่คนยุคปัจจุบันไม่ค่อยเป็นกัน อย่างเช่น ศิลปะเขียนอักษร บทกลอนเกี่ยวกับศาสนาพุทธ ขี่ม้ายิงธนู เอาเป็นว่าพวกที่เกี่ยวกับขั้นตอนทั้งหกก่อนเข้าพิธีแต่งงาน[2] รวมไปถึงหยินหยาง ธาตุทั้งห้า คู่ธาตุต่างๆ รวมถึงห้าคัมภีร์สี่หนังสือด้วย นางอยากเรียนทั้งหมด อยากลองศึกษาเรื่องพวกนี้ดู
สามารถพูดได้เลยว่า บางครั้งในสายตาของซ่งฝูหลิง การเรียนก็คือการเล่น เป็นรายการความบันเทิงของนาง
เล่นเอาหนิวจั่งกุ้ยตกใจ แค่สอนหนึ่งสอง คุณหนูเล็กก็พูดสามสี่ได้แล้ว คุณหนูเล็กของเขาสติปัญญาเฉียบแหลมขนาดไหนกันเนี่ย
“มองไปข้างหน้า อย่ามองข้า ข้างหน้าเป็นเส้นเดียวกันหรือยัง ง้างธนู จับให้แน่น มืออย่าสั่น”
“อาจารย์ ยกไม่ไหวแล้ว” สองแขนของเนียนปาน้อยสั่นขณะพูด
เมื่อเทียบกับวิชา ‘ศิลปะป้องกันตัว’ เนียนปาน้อยชอบดีดลูกคิดมากกว่า
เถียนสี่ฟาขมวดคิ้ว พูดกับซ่งฝูกุ้ยที่กลับมาจากขนหิน “ฝูกุ้ย ถึงเวลาทำน้ำแกงซี่โครงให้ลูกเจ้ากินได้แล้วนะ”
“กินแล้ว กินทุกครั้ง เขากินไปตั้งเยอะแล้ว นมก็ดื่มทุกวัน แต่ร่างกายอ่อนแอตั้งแต่ออกจากท้องแม่”
นี่คือเด็กที่อ่อนแอที่สุด แต่ก็ยังมีที่แข็งแกร่งที่สุดเช่นกัน
เถียนสี่ฟาขมวดคิ้วอีกครั้ง “จินเป่า ผ่อนแรงที่มือหน่อย เจ้าดึงจนหักแล้ว”
“ท่านลุง ไม่ใช่สิ อาจารย์ ข้ายังไม่ได้ออกแรงเท่าไรเลยนะ”
พวกเด็กเล็กไม่เหมือนพวกเด็กโต พวกเด็กโตตื่นแต่เช้าฝึกชกต่อยกับซื่อจ้วง ฝึกการย่อตัวขั้นพื้นฐาน ฝึกออกหมัด
‘อาจารย์สอนศิลปะการต่อสู้’ ให้พวกเด็กเล็กคือเถียนสี่ฟา เขาสอนพวกเด็กเล็กยิงธนูในตอนเช้าหลังดวงอาทิตย์ขึ้น
ซ่งฝูหลิงก็มาปรากฏตัวอยู่ในกลุ่มนี้อีกแล้ว
อันที่จริงซ่งฝูหลิงอยากไปเรียนชกต่อยกับกลุ่มนั้นมากกว่า
เรียนชกต่อยดีจะตาย สู้ระยะประชิด จะให้ดีต้องเรียนจนกระโดดไปมาระหว่างต้นสนแบบซื่อจ้วงได้ด้วย
วันหน้าใครกล้ามาหาเรื่องนาง นางจะกระชากคอเสื้ออีกฝ่าย ซัดสักสองสามที เอาให้อีกฝ่ายยอมจำนน ถ้าไม่ยอมก็ยิงด้วยหน้าไม้ คิดๆ ดูแล้วเท่จะตาย
แต่ซื่อจ้วงเห็นนางก็เม้มริมฝีปาก ไม่เริ่มสอนสักที เขาพูดไม่ได้แต่สีหน้ากลับแสดงออกอย่างเต็มเปี่ยมเหมือนพยายามจะบอกว่า ‘ไปเสียเถอะ ข้าสอนเจ้าไม่ได้หรอก’
ช่วยไม่ได้ ซ่งฝูหลิงเลยต้องถอยไปหาอย่างอื่น เปลี่ยนมาแทรกตัวอยู่กับพวกเด็กเล็กแทน
พวกเด็กเล็กมีคันธนูอันเล็ก ทำออกมาเหมือนกันหมด ทำมาให้ครบตามจำนวนคน แต่ไม่มีของนางเพราะไม่มีใครถึงว่านางจะมา
คันธนูของนางกำลังเร่งทำอยู่
เวลานี้ซ่งฝูหลิงก็เลยต้องใช้กิ่งไม้มาลองทำท่าทำทางไปก่อน
เถียนสี่ฟาเดินมาชี้แนะซ่งฝูหลิง และก็ดุนาง “พั่งยา มือข้างนี้ของเจ้าต้องออกแรง อย่าปวกเปียก”
“เจ้าค่ะท่านลุง ไม่สิ อาจารย์”
…
ตกบ่าย ซ่งฝูเซิงที่จัดการกับต้นพริกเสร็จ ทำงานเสร็จ จัดการสารพัดเรื่องเสร็จ ในที่สุดก็ปรากฏตัวขึ้นใน ‘ห้องชุมนุม’
เริ่มเรียนวิชาภาษาแล้ว
ซ่งฝูเซิงย่างเท้าไปสอนไป
“มนุษย์เกิดมา ในสันดานเป็นคนดี…
…สันดานเหล่านี้ ต่างมีเหมือนกัน…
…วัยเด็กไม่สอนสั่ง อาจเปลี่ยนไปได้ทุกวัน…
…วิธีสั่งสอนนั้น คือตั้งมั่นสั่งสอนเอย…”
เขาอ่านแล้วให้พวกเด็กๆ พูดตาม
คัมภีร์สามอักษร ตำราพันอักษร ตำราร้อยสกุล รวมถึงหนังสือสารพัดที่วันหน้าจะได้ใช้ อันที่จริงลู่พั่นได้ให้มาหมดแล้วในครั้งก่อน มีอยู่พร้อม
แต่เวลานี้ซ่งฝูเซิงกลับไม่ได้ถือหนังสืออยู่ในมือ
ล้อเล่นหรือเปล่า ในส่วนลึกของจิตวิญญาณเขา อย่าว่าแต่ท่องหนังสือพวกนี้ตามปกติเลย เขาสงสัยว่าตัวเองท่องย้อนกลับยังได้ด้วยซ้ำ
เอาจริงๆ เขาสามารถแสดงการ ‘ท่องย้อนกลับอย่างลื่นไหล’ ได้อย่างแท้จริง
อีกทั้งเกี่ยวกับการสอนเด็กพวกนี้ ซ่งฝูเซิงเองก็วางแผนไว้ว่าจะใช้วิธีกับรูปแบบในความทรงจำ
นั่นก็คือ ไม่มีทางมานั่งอธิบายความหมายแต่ละคำแต่ละประโยคก่อน
เพราะในความทรงจำ มีคำพูดหนึ่งที่ว่า ‘อ่านตำราร้อยครั้ง ย่อมพบความหมายด้วยตัวเอง’
สอนพวกเขาให้อ่านคล่องก่อน พอท่องได้ค่อยอธิบาย
อย่างไรเสีย พวกเด็กเล็กมีระดับความสามารถในการทำความเข้าใจที่แย่กว่า แต่ความจำนั้นเป็นเลิศ แบบนี้เรียกว่า เริ่มจากง่ายค่อยๆ ไปยาก
———————
[1] หนังสือที่เกี่ยวกับปรัชญาและคำสอนของนักปรัชญาชาวจีนในสมัยก่อน
[2] ประกอบไปด้วยสู่ขอ ขอวันเดือนปีเกิด เสี่ยงทาย มอบสินสอด ขอฤกษ์ รับตัวเจ้าสาว