ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 354
เฉียนเพ่ยอิงตั้งใจมาที่ห้องชุมนุม ชะโงกหน้าเข้าไปดูด้านใน
อย่าเข้าใจผิด นางไม่ได้มาดูว่าหมี่โซ่วตั้งใจเรียนหรือเปล่า
แต่นางมาดูว่าสามีของนางสอนหนังสืออย่างไร
เหล่าซ่งของนางกำลังสอนเด็กๆ อ่านหนังสือ
ถึงแม้จะบอกเรื่องนี้กับตัวเองเป็นพันครั้งหมื่นครั้งว่าสามีของนางเป็นผู้มีการศึกษา มีความทรงจำเป็นเรื่องปกติ แต่ทุกครั้งที่คิดเรื่องนี้ก็จะรู้สึกว่ามันออกจะแฟนตาซีเกินจริงไปหน่อย
ด้วยเหตุนี้ เฉียนเพ่ยอิงถึงได้ตั้งใจมาดู สามีของนางกลายเป็น ‘ผู้ทรงความรู้’ ไปแล้ว
“ท่านแม่ทำอะไรอยู่”
“ไอ๊หยา ตกใจหมด โผล่มาจากไหนเนี่ย”
“ท่านแม่นั่นแหละที่ทำข้าตกใจ เอานิ้วเจาะหน้าต่างกระดาษทำไม อยากดูท่านพ่อเหรอ แต่ท่านแม่จะทำลายทรัพย์สินส่วนรวมไม่ได้นะคะ บานนึงตั้งแพง เจาะพังก็ต้องมานั่งติดใหม่กันอีก”
เฉียนเพ่ยอิงถูกลูกสาวจับได้ก็รู้สึกอายนิดหน่อย
นี่เป็นหน้าต่างกระดาษที่ไม่โปร่งใส มองไม่เห็น ถ้าเป็นกระจกแบบยุคปัจจุบันใครจะอยากเจาะกันล่ะ
“ถ้าท่านแม่อยากดูท่านพ่อ ข้ามีวิธี มา ตามข้ามา ข้าจำได้ว่าบานประตูมีไม้แผ่นหนึ่งมันหลวมอยู่ พอขยับก็เป็นร่อง”
ท่ามกลางเสียงเด็กๆ อ่านตำรา เฉียนเพ่ยอิงแหวกไม้ตรงบานประตูมองเข้าไป พลางพูดโดยไม่หันหน้ากลับไปมอง “เจ้าไม่มาดูพ่อเขาด้วยกันเหรอ”
“หา ท่านแม่น่ะจินตนาการท่าทางของเขาตอนสอนหนังสือไม่ออก”
เป็นยังไงนะ
ในสายตาของเฉียนเพ่ยอิง
แม่เจ้า ทำพูดไป ไม่เสียแรงที่เหล่าซ่งของนางตั้งใจเข้าบ้านไปเปลี่ยนชุดก่อน
ตอนนั้นเพิ่งทำงานเสร็จ เข้าบ้านไปชำระล้าง ตั้งใจเปลี่ยนเป็นใส่ชุดตัวยาว
นางยังถามด้วยความไม่เข้าใจว่า ‘จะเปลี่ยนทำไม อีกประเดี๋ยวสอนเสร็จยังต้องทำงานต่อ ถอดเปลี่ยน เดี๋ยวก็ต้องเปลี่ยนอีก กลัวซักไม่เหนื่อยหรือไง’
เหล่าซ่งบอกว่า ‘จำเป็นต้องเปลี่ยน สอนหนังสือต้องสร้างบรรยากาศให้เป็นทางการ อย่างน้อยก็ต้องทำให้หมี่โซ่วไม่รู้สึกว่าข้าเป็นลุงของเขา ไม่เช่นนั้นจะสอนได้เหรอ เขาจะเชื่อฟังเหรอ’
เวลานี้มาดูอีกครั้ง เหล่าซ่งอยู่ในชุดตัวยาวสีเขียว บนศีรษะคาดผ้าสี่เหลี่ยม ยืนอยู่ข้างโต๊ะของพวกเด็กๆ ในมือมีไม้บรรทัดไม้ กำลังนำอ่านด้วยน้ำเสียงที่น่าฟัง ท่าทางดูทรงความรู้ ทำเป็นพูดไป เขาดูแตกต่างจากตอนปกติมากทีเดียว
ฮี่ๆ หล่อไม่เบา
“ขอข้าดูบ้างสิท่านแม่” ซ่งฝูหลิงเบียดเข้าไป แค่ดูแวบแรกก็เอามือปิดปากกลั้นขำ ดูขัดๆ ชอบกล ไม่เหมือนท่านพ่อเลย
นี่เป็นการเรียนในภาคบ่าย
วิชาที่ซ่งฝูเซิงสอนถูกจัดไว้ในช่วงบ่ายใกล้ๆ เย็น ถึงขนาดที่ว่าเวลาเข้าเรียนจะปรับเปลี่ยนได้ตลอด ไม่แน่นอน เพราะเขางานยุ่ง
เวลาที่เขาไม่อยู่ เขาได้คิดไว้เรียบร้อยแล้ว จะให้พวกเด็กๆ เขียนอักษร อ่านกลอน ท่องตำรา อาจารย์ชั่วคราวจะให้เป็นซ่งฝูหลิงมาทำแทน
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ซ่งฝูหลิงเข้าไปเรียนด้วยกันกับพวกหมี่โซ่วไม่ได้
แน่นอนว่าซ่งฝูหลิงก็ไม่จำเป็นต้องใช้พวกตำราหัดเรียนแล้วหรือเปล่า ไม่จำเป็นใช่ไหมล่ะ นางอายุตั้งเท่าไรแล้ว ยังจะมาหัดอะไรอีก ฟังหมี่โซ่วอ่านๆ ท่องๆ เดี๋ยวก็จำได้
เช่นนั้นตรงนี้ก็มีอยู่ปัญหาหนึ่ง
นั่นก็คือ หลังจากพวกเด็กๆ ตื่นนอน กินข้าวเสร็จ ก็จะไปเรียนดีดลูกคิดกับหนิวจั่งกุ้ย เรียนนับเลข
พอดวงอาทิตย์โผล่ออกมาก็ต้องฝึกยิงธนูในช่วงเวลาที่การมองเห็นดีที่สุด
พอกลางวันก็บังคับให้พวกเขาต้องนอนกลางวัน ไม่อย่างนั้นจะมีการหักคะแนนดอกไม้แดงของพวกเขา พี่พั่งยาจะใช้เวลาตอนเขียนเรื่องเล่ามาดูพวกเขา ไม่มีใครกล้าที่จะไม่เชื่อฟัง
ตกบ่ายถึงจะตื่น จากนั้นไปเรียนวิชาภาษา เรียนเสร็จก็ได้เวลากินข้าวสองมื้อแล้ว
ช่วงอาหารเย็นจนถึงก่อนที่พวกกลุ่มผ้าโพกหัวสีชมพูของท่านย่าหม่าจะกลับมา ต้องช่วยพี่พั่งยาทำแบบจำลอง นี่เรียกว่าวิชางานฝีมือ
พูดถึงวิชางานฝีมือ ต่อไปก็ยังคงจะมีอยู่ ต่อให้ทำแบบจำลองเสร็จแล้วก็ต้องเข้าเรียนต่อไประยะยาว
เพียงแต่ต่อไปอาจเป็นการช่วยพับกล่องขนมเค้ก ช่วยขึ้นเขาไปเก็บเห็ดตอนเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ เก็บผลไม้ที่มีสีสันมาตากแห้งอะไรทำนองนี้
ถ้าอย่างนั้น ก็มีปัญหาแล้วล่ะ เมื่อไรจะได้เล่นสักที
ตอนเช้าหรือว่าตอนเย็น
ลุงซ่งบอกพวกเด็กๆ ว่า
“พวกเจ้าอยากไปเล่นที่ลานน้ำแข็งใช่ไหมล่ะ ได้…
…เช้าตรู่หรือตอนเย็นของทุกวัน บ้านเราจะมีลุงๆ อาๆ รวมถึงพ่อของพวกเจ้า ไปขุดพื้นน้ำแข็งจับปลากันทุกเช้าเย็น พวกเจ้าตามไปด้วยได้ ไปเล่นตามสบาย…
…ทั้งยังจะได้เลี่ยงเหตุการณ์เวลาที่พวกเจ้าเล่นจนติดลมไม่สนอะไร เกิดหกล้มหัวแตกขึ้นมาแล้วพวกเราไม่มีใครรู้”
มีเด็กคนหนึ่งพูดขึ้น “ตอนเช้าตื่นไม่ไหว หนาว”
ลุงซ่ง “งั้นก็ช่วยไม่ได้ งั้นเจ้าก็ได้แค่นอนทบทวนบทเรียนอยู่ในผ้าห่มอุ่นๆ ท่องตำราทั้งวัน แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”
พวกเด็กๆ เจอตอบกลับมาแบบนี้ก็ “…”
เฉียนหมี่โซ่วไม่ท้อ พอเห็นพวกเพื่อนๆ เงียบกันหมดเขาก็พยายามต่อ “ตอนเช้าไม่ไหว ตอนเย็นก็ไม่ไหวเหมือนกัน ตอนเย็นมืด ไปเล่นก็มองไม่เห็นเหมือนกัน เปลี่ยนเป็นเวลาอื่นไม่ได้หรือ จัดดีๆ หน่อยก็มีเวลาเพิ่มแล้ว”
ลุงซ่ง “ทำไมจะมองไม่เห็น จุดไต้ก็สว่างแล้ว ไม่ขัดจังหวะการเล่นด้วย ท่านลุงของเจ้า รวมถึงพ่อของพวกเขาก็จะได้คอยเฝ้าอยู่ข้างๆ พอดีด้วย”
“มีท่านลุงเฝ้าอยู่จะเล่นสนุกเหรอ”
ท่านลุงซ่งยิ้มตาหยี “เล่นไม่สนุกก็ถูกแล้ว พวกเจ้ายังคิดจะเล่นสนุกยังไงอีก”
เด็กแสบพวกนี้ ชอบเล่นกับพวกเด็กในหมู่บ้าน ช่วงนี้เดินบนลานน้ำแข็งออกไปได้ไกล คลาดสายตานิดเดียวก็กลิ้งหายไปไม่เห็นเงากันแล้ว
ที่นี่คือที่ไหน ริมเขาเชียวนะ
จะให้ตีน่ะเหรอ ทำไม่ลง
ให้ตามติดน่ะเหรอ ว่างขนาดนั้นที่ไหนกัน
…
ความจริงพิสูจน์แล้วว่า ซ่งฝูเซิงที่ได้ปรามาสตัวเองไว้ว่าไม่มีทางรับหน้าที่เป็นอาจารย์ได้อย่างเต็มที่ ก็ดูเหมือนจะแม่นมาก
เพิ่งผ่านไปไม่กี่วัน เขาก็โยนพวกเด็กๆ ให้ลูกสาว
กลายเป็นซ่งฝูหลิงถือหนังสือนำอ่าน
กลายเป็นซ่งฝูหลิงถือไม้เรียวสอบเด็กพวกนี้ท่องตำรา
กลายเป็นซ่งฝูหลิงเขียนตัวหนังสือบนกระดานดำแล้วให้พวกเด็กๆ เขียนตาม
ทีละขีด ทีละเส้น
ซ่งฝูหลิงนั่งอยู่ที่โต๊ะด้านหน้า เขียนนิยายพลางคอยเงยหน้าดู ‘พวกนักเรียน’ อยู่บ่อยๆ เวลาที่มีเด็กเริ่มนั่งไม่เป็นสุขเธอก็จะ ‘อะแฮ่ม’
ช่วงนี้ซ่งฝูเซิงมัววุ่นกับอะไรน่ะหรือ
เขาพาพวกซ่งฝูกุ้ยไปเดินเตร็ดเตร่ตามแต่ละหมู่บ้านแต่ละอำเภอ
ได้รู้จักเพื่อนใหม่จำนวนหนึ่ง อย่างน้อยที่สุดเจอกันครั้งหน้าก็ถือว่าคุ้นหน้ากันแล้ว
และยังไปที่บ้านท่านปู่หยวนที่รู้จักกันตอนลี้ภัย ไปเยือนถึงบ้าน
พวกซ่งฝูเซิงตั้งใจเอาสุราดองกระดูกเสือไปด้วย กระดูกเสือไม่ได้ถูกเอาไปขายทั้งหมด เหลือไว้นิดหน่อย เอาเหล้าไปสองไห เนื้อหมูป่าเล็กน้อย พร้อมทั้งเอาขนมเค้กขนาดหกนิ้วที่ซ่งฝูหลิงทำไปด้วยหนึ่งก้อน
ภรรยาของท่านปู่หยวนมีสีหน้าดีใจมากตั้งแต่ซ่งฝูเซิงปรากฏตัว
หญิงชราตั้งใจแนะนำกับคนอื่นๆ ในหมู่บ้านว่า นี่คือญาติของบ้านนาง เป็นญาติจริงๆ
หลังจากเข้าไปนั่งในห้องโถงพูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบแล้ว หญิงชราถึงมีสีหน้ากลุ้มใจ ไหว้วานซ่งฝูเซิง “ช่วยข้าเกลี้ยกล่อมหน่อยเถอะ”
“ทำไมหรือ”
“ป่วยแล้ว ไม่อย่างนั้นก็ไปหาพวกเจ้าตั้งนานแล้ว คราวก่อนที่พวกเราแยกกันยังตกลงกันไว้ว่า อีกไม่กี่วันจะไปหา ปรากฏว่าไม่นานก็หกล้ม หกล้มหัวฟาดพื้นตอนไปซื้อที่นา เลยไม่ได้ซื้อ ไม่ว่าจะคิดยังไงก็รู้สึกอัปมงคล”
หญิงชรากับลูกชายของท่านปู่หยวนพาซ่งฝูเซิงเข้าไปในห้อง
มองท่านปู่หยวนที่ใบหน้าซูบซีดดวงตาบุ๋มลึก ไม่ต้องเปิดผ้าห่มก็เดาได้ว่าน่าจะล้มมาหนักทีเดียว
อีกทั้งคนเราเมื่อหกล้ม โดยเฉพาะคนอายุมากขนาดนี้ อย่างน้อยก็ต้องนอนป่วยอยู่บนเตียงสองสามเดือน ออกไปไหนไม่ได้
อีกทั้งท่านปู่หยวนอยู่ในสถานการณ์ที่เพิ่งมาอยู่ที่นี่ กำลัง ‘สร้างครอบครัวด้วยมือเปล่า’ รีบร้อนหาเงิน ชายชราร้อนใจ ยิ่งทำให้อาการหนักมากกว่าเดิม อาการปวดหัวไข้ขึ้นก็ตามมา