ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 355
ซ่งฝูเซิงย่อมถามเรื่องอาการป่วยก่อน จากนั้นถึงพูดคุยเรื่อยเปื่อยกับท่านปู่หยวน
เล่าว่าช่วงนี้พวกเขากำลังทำอะไร
บอกว่าเปิดร้านขนมแล้ว งานยุ่งทุกวัน ไม่อย่างนั้นคงมาเยี่ยมที่บ้านนานแล้ว
อีกทั้งเดิมทีควรมาเยี่ยมตั้งแต่เทศกาลตงจื้อ แต่วันเทศกาลตงจื้อในบ้านเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย หมาป่าบุก ทำสงครามกับหมาป่าไปหนึ่งยก อีกทั้งข้างนอกหิมะยังตกหนักก็เลยมาไม่ได้
และยังกลัวว่าอีกหน่อยมีเรื่องอื่นเข้ามาอีก ไม่ได้เจอกันนานแล้ว คิดถึงพอสมควร
พอคิดดู เอาเถอะ อาศัยที่ช่วงนี้มีเวลาว่าง รีบมาเยี่ยมท่านดีกว่า
ไม่เจอกันตั้งนาน นึกไม่ถึงว่าท่านจะล้มป่วย หากรู้เร็วกว่านี้ก็คงมานานแล้ว
ท่านปู่หยวนก็เล่าเรื่องของตัวเองให้ฟัง ความสัมพันธ์ใกล้ชิดขึ้นไม่น้อย
ตบมือของซ่งฝูเซิงเบาๆ พูดย้ำสองครั้ง “ชีวิตของพวกเจ้าจะดีขึ้นเรื่อยๆ พวกชาวบ้านที่มาจากบ้านเกิดเดียวกันพวกนั้นมีเจ้า นับเป็นวาสนาครั้งใหญ่ของพวกเขา”
คนบ้านเดียวกันคนนี้ คนหนุ่มคนนี้ วันหน้าจะต้องได้ดีแน่นอน
ซ่งฝูเซิงเองก็มองออกว่าท่านปู่หยวนร้อนใจอยากรีบหาเงิน เอาแต่ถอนหายใจ เขาจึงพูดปลอบ
“ท่านก็อย่าใจร้อน เจ็บถึงกระดูกใช่ว่าวันสองวันจะหาย รักษาตัวให้หายดีก่อน ไว้ท่านหายดี ถ้าข้าได้ยินว่ากิจการไหนพอไปได้สวยจะมาบอกท่านแน่นอน”
ซ่งฝูเซิงปฏิเสธที่จะอยู่กินข้าว เยี่ยมเยียนเสร็จก็กลับพร้อมพวกซ่งฝูกุ้ย
ลูกชายของท่านปู่หยวนมาส่งที่นอกหมู่บ้านด้วยตัวเอง ทั้งยังคารวะให้ซ่งฝูเซิงอย่างตั้งใจ “พี่ซ่ง รู้สึกได้เลยว่าหลังจากท่านช่วยพูดกับท่านพ่อ เขาก็อารมณ์ดีขึ้นมาก”
ในเวลาเดียวกัน หญิงชราก็กำลังนั่งบนเตียงเตาพูดกับท่านปู่หยวน
“ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดอยู่ว่า พวกเขาไปพึ่งพาคนสูงศักดิ์แล้ว…
…เดิมทีคิดว่าหายไปไม่ติดต่อนานขนาดนี้ เรากับพวกเขาก็คงจบกันแค่นี้แล้ว…
…พบเจอมามาก ตอนนั้นพวกเราช่วยพวกเขาไว้ พออีกเดี๋ยวพวกเขาได้ดี ก็ใช่ว่าจะนึกถึงพวกเรา…
…ยังไงเสีย ถึงจะเป็นคนบ้านเดียวกัน ลี้ภัยมาด้วยกัน แต่จิตใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง ใครจะหยั่งรู้ได้แม่นยำกันล่ะ ใครจะไปรู้ว่าพวกเขายังจดจำความดีของพวกเราในตอนนั้นได้ไหม…
…แต่กลับนึกไม่ถึงว่า พอท่านหกล้ม พวกเราไม่ได้ไปเยี่ยมพวกเขาที่หมู่บ้าน พวกเขากลับตั้งใจสืบหาตลอดทาง รองเท้าเปียกหิมะจนชื้น มาหาพวกเราถึงในหมู่บ้าน…
…อีกทั้งยังรู้จักมารยาท เอาของมาเยี่ยมถึงบ้าน ทั้งยังมองออกว่าท่านร้อนใจอยากทำให้ครอบครัวมั่นคงโดยเร็ว บอกว่าจะช่วยพวกเราลองหาทางดู…
…ดูท่าพ่อหนุ่มคนนี้จะเหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ อนาคตไปได้ดีแน่นอน…
…พูดตามตรง ตอนนั้นที่ท่านพูดกับข้าแบบนี้ อีกทั้งพวกเขายังรู้จักคนสูงศักดิ์ แม้ในใจของข้าจะยอมรับว่าต่อไปพวกเขาต้องได้ดี แต่ก็แค่รู้สึกว่าเพราะอาศัยคนสูงศักดิ์ถึงได้มีชีวิตที่ดี…
…แต่วันนี้ข้าไม่คิดแบบนั้นแล้ว คนหนุ่มคนนี้ ต่อให้ไม่รู้จักกับคนสูงศักดิ์ตอนนี้ เอาแค่นิสัยของเขา พฤติกรรมของเขา ในอนาคตก็ย่อมได้รู้จักกับคนสูงศักดิ์อยู่ดี”
ท่านปู่หยวนยิ้มพลางพยักหน้า
“ตอนนั้นที่ข้าถูกใจเขาก็เพราะการเป็นคนมีความรู้และมองโลกอย่างเข้าใจของเขานี่แหละ…
…ตอนนั้นระหว่างทางที่หนีมาที่นี่ คนพวกนี้อยากทอดทิ้งพวกเขาเอาไว้ เจ้าหนุ่มคนนี้กลับวางตัวเหมาะสม ไม่แสดงสีหน้าเหนือความคาดหมาย นั่นก็แสดงว่าเขามองออกนานแล้ว…
…แบบนี้ต่างหากที่เรียกว่า มองคนให้ออกก็เกิดประโยชน์ จิตใจก็สงบ…
…คนมีความรู้แล้วอย่างไร ข้าเจอคนแก่ที่เคยสอบติดจวี่เหริน[1] มากมายล้วนเป็นพวกเลอะเลือนทั้งนั้น ต่อให้ในอนาคตสอบได้จิ้นซื่อ[2] หึ ก็เป็นพวกสูญเปล่าทั้งนั้น สู้เจ้าหนุ่มนี่ที่อายุยังน้อยไม่ได้”
หญิงชราพยักหน้าเห็นด้วย นึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง ทันใดนั้นได้ถามขึ้น “จริงสิท่านพี่ ท่านบอกเขาเรื่องทางบ้านเกิดหรือยัง”
ท่านปู่หยวนหุบยิ้ม “เปล่า แต่เขาก็ถาม ข้าตอบไปว่าไม่มีข่าว”
หญิงชราครุ่นคิด “ก็จริง บอกไปแล้วอย่างไรล่ะ ไม่สู้ตั้งหน้าตั้งตาคิดหาทางสร้างชีวิตที่มั่นคงที่นี่ ขนาดพวกเราฟังแล้วยังหงุดหงิดใจ นอกจากหงุดหงิดใจก็ไม่เห็นทำอะไรได้”
ทางบ้านเกิด
ข่าวคราวที่ท่านปู่หยวนให้คนสืบมา ได้ความว่า
เนื่องจากเมืองที่เป็นบ้านเกิดนั้นอยู่ใกล้กับเมืองที่อ๋องเยี่ยนปกครอง ด้วยเหตุนี้จึงปิดเมืองทั้งสองด้าน
เส้นทางที่ต้องผ่านจะมีทหารคอยเฝ้าอยู่
ทั้งสองด้านมีทหารเฝ้าอยู่
ได้ยินว่าที่บ้านเกิด คนมีเงินมีความสามารถ คนที่ไม่หนีออกมาตอนนั้นก็ต้องถูกขังไว้ในนั้น ห้ามออกจากเมืองไปหาญาติ พึ่งพาญาติไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม
ห้ามส่งจดหมายไปมาหาสู่
แต่คนที่บ้านมีเงินจะดีกว่าหน่อย อนุญาตให้พวกเขาใช้เงินซื้อสิทธิ์ไม่ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารได้
ก็แค่แพงมาก ไม่ใช่ว่าทุกคนจะซื้อได้จริงๆ
ครอบครัวเศรษฐีที่ไม่หนีออกนอกเมือง ก็ใช่ว่าจะมีเงินมากพอให้ซื้อโชคชะตาเพื่อหลุดพ้นการเป็นทหารให้ผู้ชายทั้งบ้านได้
ส่วนครอบครัวขุนนางที่เมื่อก่อนอยู่ฝ่ายอ๋องฉี อยากใช้เงินซื้อสิทธิ์ไม่ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร แต่ทางนั้นก็ไม่รับ
เพราะหลังจากที่อ๋องอู๋เข้าโจมตีดินแดนของอ๋องฉี ซึ่งก็คือตอนเข้าโจมตีบ้านเกิดของพวกเขา ได้ออกคำสั่งให้กักบริเวณขุนนางพวกนี้เอาไว้ ให้คนพวกนี้เขียนบาปสิบประการของอ๋องฉี ในฐานะที่พวกเขาเคยเป็นลูกน้อง เปิดโปงด้วยตัวเอง ประกาศก้องให้โลกรู้
มีขุนนางใหญ่ที่ไม่เขียน ขุนนางใหญ่ที่ยังจงรักภักดีต่ออ๋องฉี ลูกชายในบ้านก็ถูกจับไปที่สนามรบทันที
ต้องทราบก่อนว่า ตอนนี้แม้จะไม่มีสงครามใหญ่ แต่เมืองทางเหนือของอ๋องเยี่ยนกับเมืองที่อ๋องอู๋ยึดครองมาได้ใหม่ก็อยู่ใกล้กันมาก เกิดการกระทบกระทั่งกันบ่อยครั้ง ลูกชายของขุนนางใหญ่พวกนี้ก็คือทหารชุดแรก ที่พอเปิดประตูเมืองก็ถูกผลักออกไปทำสงคราม
ได้ยินว่าลูกหลานขุนนางที่เดิมอยู่ใต้อาณัติของอ๋องฉีได้ตายไปเป็นจำนวนมากแล้ว ขุนนางใหญ่ที่ถูกกักบริเวณทนคำดูถูกไม่ไหว แขวนคอตายไปก็มีมากเช่นกัน
นี่ก็คือสิ่งที่ต้องแลกของการเปลี่ยน ‘ฟ้า’
‘ฟ้า’ ที่เมื่อก่อนเป็นบ้านเกิดของพวกเขา อ๋องฉีท่านนั้นเคยสาบานว่าจะไม่มีทางยอมจำนน จะอยู่สู้สงครามไปพร้อมกับราษฎร เมืองอยู่ เขาก็อยู่
แต่ในความเป็นจริง ข่าวที่ท่านปู่หยวนได้ยินมาก็คือ ก่อนเมืองแตก ‘ฟ้า’ ของพวกเขาได้ขนขบวนหนีออกไปก่อนนานแล้ว หนีไปไหนก็ไม่รู้
เรื่องที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นเรื่องเล่าของครอบครัวใหญ่
ส่วนชาวบ้านธรรมดา แค่คิดก็รู้ได้
พวกชาวบ้านที่ไม่ได้หนีออกมา อย่าว่าแต่จะให้เอาเงินไปซื้อสิทธิ์เลย อาหารก็ไม่มีจะให้
เพราะอาหารถูกแย่งชิงไปหมดแล้ว
ตอนอ๋องอู๋ยึดเมือง ตอนนั้นเป็นช่วงเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงพอดี เรื่องแรกก็คือมีทหารมาจำนวนมาก และก็มีโจร เข้าไปยึดอาหารในแต่ละหมู่บ้านทั่วทุกสารทิศ บังคับให้ชาวบ้านส่งมอบอาหาร
พอเก็บเสร็จ ได้ยินมาว่าตอนนั้นเหลืออาหารไว้ให้นิดเดียว ไว้สำหรับทหารของอ๋องอู๋ที่มาประจำการ
จากนั้นก็นำอาหารส่วนใหญ่ขนไปยังอาณาเขตของอ๋องอู๋เมื่อก่อนนี้ทั้งคืน
บางทีในสายตาของอ๋องอู๋ ชาวบ้านในเมืองของเขาเมื่อก่อนนี้ต่างหากถึงจะเป็นคน
ส่วนชาวบ้านในเมืองที่เขาบุกยึด ก็แค่เครื่องมือทำงานให้พวกเขาเท่านั้น จะเป็นจะตายเขาก็ไม่สนใจ
กอปรกับมีภัยพิบัติ แค่คิดก็รู้ว่าคนบ้านเดียวกันพวกนั้นที่ไม่ได้หนีออกมาจะเป็นอย่างไร
เล่ากันว่าพอได้ยินว่ามีการเกณฑ์ทหาร วันหนึ่งแลกกับปัวปัวขึ้นราหนึ่งอัน ก็ไม่ได้กะเกณฑ์ว่าต้องอายุสิบสองปีขึ้นไปถึงจะเป็นทหารได้ แต่พวกชาวบ้านกลับกรูกันเข้าไปสมัครเองแล้ว
เด็กผู้ชายอายุแปดเก้าขวบแทบจะร้องไห้อ้อนวอนขอให้รับพวกเขาไปสนามรบ
เพียงเพื่อให้ได้ปัวปัวขึ้นราวันละหนึ่งอัน
เพียงให้ได้กินอิ่มท้องก่อนตาย ไม่สนว่าจะต้องถูกทหารของอ๋องคนไหนฆ่าตาย
นี่คือพวกผู้ชาย ยังสามารถเก็บไว้ใช้สร้างปราการลงสนามรบได้ พวกผู้หญิงเมื่อเทียบกับพวกผู้ชายที่ยังพอมีประโยชน์ เกรงว่าจะน่าอนาถยิ่งกว่า
เรื่องที่กล่าวมานี้ เป็นข่าวคราวที่ท่านปู่หยวนจ่ายเงินจำนวนมากไหว้วานขบวนพ่อค้าให้ไปสืบกลับมาให้หน่อย เพราะคิดถึงบ้านเกิดเหลือเกิน
ขบวนพ่อค้ายังได้บอกเขาอีกว่า ‘ดีที่พวกท่านมาโยวโจวก่อน โชคดีจริงๆ เพราะพอพวกท่านมาก็ปิดเมืองทันที’
กลัวว่าจะมีการปล่อยคนเข้าไป สายสืบที่อ๋องอู๋ส่งมาปะปน
อีกทั้งไม่ปล่อยให้ขบวนพ่อค้าลงใต้แล้ว ให้ขายแค่ในสิบกว่าเมืองที่อยู่ในการปกครองของอ๋องเยี่ยน
อีกทั้งในเมืองเฟิ่งเทียนไม่มีข่าวพวกนี้
เมืองโยวโจวก็คือเมืองแรกสุดที่ชาวบ้านลี้ภัยจะผ่านเข้ามาก่อน ข่าวก็มีหลุดมาบ้าง แต่ถูกควบคุม ไม่ให้ลือกันไปส่งเดช คนฝ่าฝืนจะถูกตัดลิ้น
————————-
[1] คนที่สอบติดระดับมณฑล
[2] คนที่สอบติดจนมีสิทธิ์เข้าไปสอบในวังหลวง