ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 357
“ต่อไปพวกเรามาท่อง ยิ่งรอบรู้ ยิ่งเกิดปัญญา”
ทันใดนั้นเฉียนหมี่โซ่วก็ยกแขนน้อยๆ ขึ้น
ซ่งฝูเซิง “ว่ามา”
“ท่านลุง ตรงนี้ท่องจบแล้ว”
ท่องจบแล้วเหรอ ซ่งฝูเซิงไม่ค่อยอยากเชื่อ “เจ้าว่ามาซิ”
“ยิ่งรอบรู้ ยิ่งเกิดปัญญา หนึ่งเป็นสิบ สิบเป็นร้อย…
…ร้อยเป็นพัน พันเป็นหมื่น สามสรรพสิ่ง ฟ้าดินมนุษย์”
“หมี่โซ่วนั่งลง จินเป่าอ่าน”
“สามแสง ตะวันจันทราดวงดาว”
ซ่งฝูเซิงจงใจถาม “หืม?”
ซ่งจินเป่าเกาหัว มุกนี้พี่พั่งยาเล่นบ่อย “อาสามหืมอะไรเหรอ”
“ใช่เหรอ”
“ใช่สิ”
ก็ได้
ซ่งฝูเซิงพูด “นั่งลง ต่อไปมาฝึกอ่านตำราร้อยสกุล ข่งเฉา…ทำไมเจ้าไม่นั่งลง”
“อาสาม ข่งเฉาก็เรียนจบแล้ว พวกเราเรียนถึงอู่อวี๋หยวนปู่”
ซ่งฝูเซิง “…”
ออกจากห้องชุมนุม
ทันใดนั้นซ่งฝูเซิงก็รู้สึกว่าดูเหมือนตัวเองจะไร้ประโยชน์ ขนาดสุ่มทดสอบเด็กที่เรียนแย่ๆ อย่างซ่งจินเป่า ซ่งจินเป่าก็ยังอธิบายบท ‘ตั้งใจสอนสั่ง’ ออกมาได้
ลูกสาวของเขาไม่เพียงแต่จะทำให้เด็กพวกนี้อ่านคล่อง การสอนก็คืบหน้าไปเร็วมาก อีกทั้งยังเริ่มพูดเรื่องต่อไปแล้ว
พออยากตรวจสอบการบ้าน อักษรที่แต่ละคนเขียน ยังมีการให้คะแนนอีกด้วย ดูก็รู้ว่าลูกสาวของเขาเป็นคนตรวจ
รวมถึงการบ้านของชั้นเรียนเด็กโต
ก็ไม่รู้ว่าเด็กโตพวกนั้นยอมรับการให้คะแนนของลูกสาวเขาหรือเปล่า
อย่างไรเสีย ตอนนี้ตัวอักษรของฝูหลิงก็ยังต้องฝึกอีก
ลายมือสวยๆ ของเขาฝึกทีก็ตั้งยี่สิบกว่าปีเชียวนะ อีกทั้งยังเคยได้อาจารย์เก่งๆ ชี้แนะ
“เฮ้อ”
“ท่านพ่อเป็นอะไรไป”
“พวกลูกอยู่บ้านไปกันได้สวย เห็นทีพ่อไม่จำเป็นแล้ว”
ทันใดนั้น ซ่งฝูหลิงก็ยิ้มพลางพูดเอาใจ “จะเป็นไปได้ยังไง คือ ท่านพ่อ มานี่หน่อย ข้าจะให้ดูของดี”
“แต่นแตนแต๊น” ซ่งฝูหลิงเลียนแบบท่าทางมีลับลมคมในของลู่พั่น ผ้าปูที่นอนที่ก่อนหน้านี้คลุมแบบจำลองบนโต๊ะไว้ได้ถูกดึงออก
ซ่งฝูเซิงอึ้ง “เสร็จแล้วเหรอ”
“อือ ซับซ้อนกว่านี้ข้าทำไม่เป็นท่านพ่อ”
“อะไร”
“คือ อืม ท่านพ่อว่า ในบ้าน ท่านแม่ก็ไม่จำเป็นต้องให้ท่านพ่อดูแลพริกแล้ว…
…พวกเด็กๆ อย่างหมี่โซ่ว ข้าก็มีความสามารถสอนแทนได้ชั่วคราว…
…จากนั้นท่านพ่อให้ทุกคนห่อเกี๊ยว ทำลูกชิ้นไก่ ทำเนื้อแพะเสียบไม้ ให้ทุกคนขุดเจาะน้ำแข็งจับปลาเช้าเย็น อะไรพวกนี้ รวมถึงรับซื้ออาหาร ท่านพ่อก็จัดการเรียบร้อยแล้ว อะไรที่ควรซื้อก็ซื้อกลับมาบ้านหมดแล้ว…
…แม้แต่ท่านทวดยังบอกว่า อย่างอื่นไม่ต้องให้ท่านพ่อทำแล้ว ไปเก็บหินข้างนอก ท่านพ่อก็ลากไม่ไหว ไม่สู้ว่าท่านพักผ่อนเสียบ้าง…
…เช่นนั้น ท่านพ่อช่วยเข้าเมืองไปอ่านเรื่องเล่าให้ข้าได้หรือเปล่า”
“นี่เจ้าล้อเล่นอะไรกัน”
“ไอ๊หยา ท่านพ่อ แค่สองสามวันเอง”
…
ช่วงนี้ที่ร้านขนมเค้กแห่งความสุขของท่านย่าหม่าในเมืองเฟิ่งเทียน ต้าเต๋อจื่อมักจะยืนต้อนรับกลุ่มหัวหน้าทหารอยู่ที่หน้าร้านตอนช่วงกลางวัน
บ้างก็มาจากค่ายเสินจี บ้างก็เป็นกลุ่มองครักษ์เมืองหลวง และยังมีแม่ทัพลาดตระเวนที่ทำงานให้จวนผู้สำเร็จราชการ
คนพวกนี้มาตามคำบอกเล่าของเกิ่งเหลียง
ซึ่งก็หมายความว่า ถึงแม้เกิ่งเหลียงจะติดตามลู่พั่นออกไปฝึกทหารที่ชานเมืองแล้ว แต่อิทธิพลของเขากลับยังคงอยู่
เพราะก่อนหน้านี้เกิ่งเหลียงเคยนัดเพื่อนไว้ บอกเพื่อนๆ ว่าจะพาพวกเขาไปฟังเล่าเรื่องที่ไหน
พอเขาไปก็เลยไม่ได้ฟัง เพื่อนๆ ของเขาตอนกลางวันเปลี่ยนเวรก็เลยลองมาดู พอมาเห็นก็ชอบใจ พวกเขาก็ไปพาเพื่อนตัวเองมาอีก คนหนึ่งบอกต่อไปอีกคน จนกลายเป็นมาเต็มร้านขนมเค้กแห่งความสุขของย่าหม่า
ไม้ปลุกสติถูกเคาะ
มองไปข้างหน้า ชายวัยสามสิบกว่าคนหนึ่ง บุคลิกรูปงาม เริ่มพูดอยู่ด้านหน้าสุดบนชั้นสองร้านขนม
“จากที่เล่าคราวก่อน เราพูดถึงผู้มีอาวุธในมือที่ต่างหวาดกลัวเมื่อเห็นรถหุ้มเหล็กทำฝุ่นตลบตลอดทาง ฝุ่นทรายคละคลุ้งบดบังสายตา…
…วันนี้เราจะมาพูดถึงสิ่งที่ถูกพูดถึงบ่อยในเรื่อง บินได้ไกลกว่านก ลอยได้สูงกว่าเมฆ นั่นก็คือเครื่องบิน”
คนที่อยู่ด้านล่างต่างปรบมือ “เยี่ยม เครื่องบิน!”
“…ใบพัดเกิดเสียงฟึ่บๆๆ อยู่ด้านบน…
…คนยังไม่ทันเข้าใกล้เสื้อผ้าก็ถูกลมพัดเปิดขึ้น…
…จะว่าไปวันนั้น ในขณะที่เครื่องบินทำงาน ร่างกายของหลี่เทียนป้าได้เอนไปด้านหลัง…
…เขามองไปที่นอกหน้าต่าง เดาดูสิว่าเกิดอะไรขึ้น”
เกิดอะไรขึ้นล่ะ รีบพูดสิ
ดูสภาพของพวกเราสิ ยังไม่รีบพูดอีก
พอซ่งฝูเซิงบอกว่าเครื่องบินทำงาน ร่างกายจะเอนไปด้านหลัง ท่าทางของพวกเขาที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ ร่างกายเอนไปด้านหลังอย่างไม่รู้ตัว ข้าวเขิ้วก็ไม่กินแล้ว
ราวกับมีแอร์โฮสเตสประกาศว่า ‘กรุณารัดเข็มขัดให้เรียบร้อย เปิดหน้าต่างขึ้น เก็บโต๊ะ…’
อย่าว่าแต่คนพวกนี้ ต่อให้เป็นซ่งฝูกุ้ยที่เคยฟังเรื่องนี้ไปแล้วหนึ่งรอบ พอมาฟังซ่งฝูเซิงเล่าอีกก็ยังคงมีอรรถรส
เพราะก่อนหน้านี้ตอนพั่งยาเล่าในบ้าน เล่าได้จืดสนิท
ลองคิดดูแล้วกัน ขนาดเล่าอย่างจืดชืดแบบนั้นคนฟังยังติดกันงอมแงม ไม่ได้ฟังวันเดียวยังเหมือนขาดอะไรไป
แค่คิดดูก็รู้ผลลัพธ์จากการที่น้องฝูเซิงเล่าอย่างออกอรรถรสจนจบ
เวลาที่น้องฝูเซิงเล่าเรื่อง มาหมดทั้งสีหน้าท่าทาง เดี๋ยวก็ตบต้นขา เดี๋ยวก็สะบัดแขน ทำเสียงจิ๊กจั๊ก ฟึ่บๆ ฮ่าๆ ประกอบอีกต่างหาก
ต่อให้พูดถึงเครื่องแต่งกายของตัวละคร ก็ไม่เหมือนพั่งยาที่เล่าแบบรวบๆ
มีการอธิบายการแต่งกายตั้งแต่หน้าอกลงไปถึงเอว พกอาวุธชนิดไหน รองเท้าบู๊ททหาร ลงทะเลขึ้นเขา อะไรประมาณนี้ อธิบายแต่ละด้านอย่างละเอียด ชวนให้จินตนาการเห็นภาพ
โดยเฉพาะเมื่อไม่กี่วันก่อนตอนที่น้องฝูเซิงเล่า ‘ตัดสินใจออกศึก’ ในบทที่สาม ได้บอกให้เขาไปเข็นรถแบบจำลองมา
ตอนนั้นน้องฝูเซิงยืนอยู่หน้าแบบจำลอง ราวกับตัวละครที่อยู่ในเรื่องเล่ามาเข้าสิง ในมือมีไม้สำหรับชี้ลงไปว่า ออกเดินทางจากไหน ตกลงที่ไหน บุกตรงไหน เข้าพร้อมกันกี่เส้นทาง
ขณะพูดกิริยาท่าทางเต็มเปี่ยม สถานการณ์ในตอนนั้นรู้สึกว่า ไอ๊หยา สมจริงสุดๆ ราวกับน้องฝูเซิงก็คือเหล่ากู (กูเดอเรียน) หัวหน้าทหารพวกนั้นฟังเรื่องเล่ากันอย่างตั้งใจ ล้อมวงกันเข้ามา ฟังด้วยใจจดจ่อ ท่าทางราวกับว่าพวกเขากำลังจะพาทหารออกศึก
ซ่งฝูกุ้ย ดูเอาแล้วกัน น้องฝูเซิงของเขาสุดยอดไหมล่ะ
คนที่มาฟังเรื่องเล่าที่นี่ ไม่มีใครไม่รู้ว่าน้องฝูเซิงเป็นผู้มีการศึกษา
อีกทั้งยังเก่งถึงขั้นที่ไม่จำเป็นต้องอวด ไม่จำเป็นต้องจงใจบอกคนอื่นว่าตัวเองเป็นผู้มีความรู้
คนอื่นได้ฟัง การใช้คำไม่เหมือนกับคนเล่าเรื่องในโรงน้ำชา ของเรานี่มีพูดบทกลอนอยู่เรื่อยๆ ถึงตอนไหนควรใช้ศัพท์อะไร นั่นใช่ศัพท์ที่คนทั่วไปใช้กันรึ
หลายคนขอเพียงแต่ฟังจบหนึ่งครั้งก็เดาได้ ‘คนเล่าจะต้องเคยศึกษาตำราอย่างตั้งใจแน่นอน’
เวลานี้ที่ชั้นล่าง
เมื่อเทียบกับชั้นบนที่มีเสียงฮือฮากับเสียงชื่นชมอย่างไม่ขาดสาย ตรงชั้นล่างกำลังยุ่งมาก
ท่านย่าหม่ามองตัวเลขที่วาดไว้ในถาด “นี่ข้าวคลุกของโต๊ะหนึ่ง น้ำแกงเผ็ด ถั่วลิสงหมาล่า เหล้าข้าวหนึ่งกา มา ยกไป”
สะใภ้ใหญ่เกาถูฮูรีบมารับไป ยกถาดไปส่งโต๊ะหนึ่งที่ชั้นบน
ท่านย่าหม่าหันไปเปิดม่านของห้องครัว “เสี่ยวซ่ง แป้งผีผีเสร็จหรือยัง”