ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 358
แป้งผีผีที่ท่านย่าหม่าพูดถึง แท้จริงแล้วก็คือพิซซ่า
แต่ท่านย่าหม่าก็เรียกผิดตั้งแต่แรก
ท่านย่าหม่าเรียกพิซซ่าว่าแป้งผีผี ทำให้คนอื่นๆ จึงพลอยเรียกตามไปด้วย
ใช่ว่าซ่งฝูหลิงไม่เคยแก้ให้ แต่ว่า เอาเถอะ แก้ไม่หาย มันก็หมายถึงสิ่งเดียวกัน เรียกอะไรก็เหมือนกัน
แป้งผีผีก็ยังดีกว่าน้ำแกงหมาล่าที่ท่านพ่อของนางอยากทำ ท่านย่าของนางเรียกว่า ‘น้ำแกงย่าหม่า’
หวังจงอวี้ยืนเตือนอยู่ตรงเคาน์เตอร์คิดเงิน “ท่านป้า เร็วหน่อย โต๊ะห้ารอนานแล้วนะ”
เสียงกรุ๊งกริ๊งดังขึ้นที่ประตู “ร้านนี้มีขนมที่มีถั่วแดงใช่ไหม ยังมีเหลือไหม”
สะใภ้เล็กของท่านยายหวังรีบเดินเข้าไปหา “ยินดีต้อนรับเจ้าค่ะ มีเจ้าค่ะ เชิญนั่งก่อนเจ้าค่ะ รับขนมเค้กถั่วแดงกี่ชิ้นดีเจ้าคะ”
“สองชิ้น”
“ได้เจ้าค่ะ เชิญดื่มน้ำอุ่นก่อน ข้าจะใส่ถุงมือไปหยิบมาให้”
ท่านย่าหม่านั่งอยู่ในเคาน์เตอร์คิดเงินพลางตะโกน “ซาลาเปาฮั่นเสร็จแล้ว จงอวี้ เอาขึ้นไปชั้นบนด้วย ลูกค้าโต๊ะเจ็ด ซาลาเปาฮั่นสี่อัน”
ลูกค้าที่เข้ามาซื้อขนมเค้กทำจมูกสูดดม กลิ่นอบอวลเหลือเกิน ถอดหมวกออกแล้วถามสะใภ้เล็กของท่านยายหวัง “ซาลาเปาฮั่นคืออะไร ร้านพวกเจ้าขายซาลาเปาด้วยรึ”
ซาลาเปาฮั่น คือ ขนมปังสองแผ่นประกบเนื้อสัตว์ตรงกลาง
สะใภ้เล็กของท่านยายหวังห่อขนมเค้กถั่วแดงพลางอธิบายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ทั้งยังขยิบตาให้หวังจงอวี้ที่ถือถาดอยู่เพื่อบอกให้เขาเอาให้ลูกค้าดูหน่อย ว่าอะไรคือซาลาเปาฮั่น
ลูกค้ามองดู หอมมาก “อันนี้ซื้อกลับได้ไหม ข้าก็เอาด้วยอันหนึ่ง”
ท่านย่าหม่าได้ฟังก็หันไปตะโกนด้านหลัง “ซาลาเปาฮั่นห่อกลับหนึ่งอัน”
ยุ่งจนกระทั่งเลยเวลากินข้าว ซ่งฝูเซิงเองก็เคาะไม้ปลุกสติ “อยากรู้ว่าเรื่องราวต่อจากนี้เป็นอย่างไร โปรดติดตามในครั้งหน้า” ถึงจะถือเป็นการจบงาน
ต้าเต๋อจื่อยืนอยู่ที่ประตูหลังร้าน จูงม้าของแขกออกมา แขกบางคนทำงานอยู่ไกลจึงขี่ม้ามา
ซ่งฝูกุ้ยก็ยืนอยู่ที่ประตูหน้าร้าน โค้งตัวไม่หยุด ใบหน้ายิ้มแย้ม “พบกันพรุ่งนี้ขอรับ พบกันพรุ่งนี้”
ซ่งฝูเซิงอยู่ชั้นสอง ถอดชุดตัวยาวที่ใช้สำหรับเล่าเรื่องออก เปลี่ยนไปใส่กางเกง เสื้อกันหนาวผ้าฝ้ายที่ใช้สำหรับทำงาน ม้วนแขนเสื้อขึ้น จากนักเล่าเรื่องกลายเป็นเสี่ยวเอ้อของร้าน เริ่มจัดการเก็บชาม เก็บตะเกียบที่ใช้แล้ว
ซ่งฝูเซิงไล่เก็บโต๊ะ เอาจานชามที่ลูกค้าใช้แล้วใส่ลงกะละมังใหญ่ทั้งหมด อีกเดี๋ยวต้าเต๋อจื่อก็จะยกไปที่หลังร้าน ใช้น้ำจากบ่อล้าง
ส่วนหวังจงอวี้ทำไมถึงมาช่วยที่ร้านด้วย เพราะเขาอยู่บ้านทำงานหนักไม่ได้
ตอนนั้นเขาสู้กับหมาป่าจนเจ็บหนักใช่ไหมล่ะ ตอนนี้ยังอยู่ในระหว่างค่อยๆ พักฟื้น งานพวกนั้นของที่บ้าน อย่างเก็บก้อนหิน จับปลา เขาไม่กล้าใช้แรงมาก จึงตามซ่งฝูเซิงมาที่นี่ด้วย มาทำงานกับเสี่ยวหวังภรรยาของเขา ช่วยท่านย่าหม่า ยกถาดบ้าง เก็บล้างห้องส้วมบ้าง
ตอนนี้พอลูกค้าไปแล้ว หวังจงอวี้ก็จัดการทำความสะอาดโถฉี่ในห้องน้ำ ขัดล้าง เช็ดทั้งนอกและใน
ท่านยายเถียนก็เอาผ้าขี้ริ้วไปทำความสะอาดเหมือนกัน
ชั้นสองที่กว้างขวาง ท่านยายเถียนไม่ต้องใช้ไม้ถูพื้น นางนั่งคุกเข่าเช็ดพื้น
กลางฤดูหนาว ข้างนอกมีหิมะ อีกทั้งพื้นของเรายังเป็นพื้นไม้ เต็มไปด้วยรอยเท้า ต้องเช็ดให้สะอาด
หลังจากที่ซ่งฝูกุ้ยส่งแขกที่ด้านล่างเสร็จ ก็ช่วยพวกท่านย่าหม่าทำความสะอาด กวาดพื้นถูพื้น
มีลูกค้าเข้ามาซื้อขนมเค้กเรื่อยๆ เขาก็ไปต้อนรับ
ส่วนท่านย่าหม่า ทุกครั้งที่ถึงเวลานี้ก็จะไปลงบัญชีที่ห้องครัว
ช่วยกันกับเป่าจู ภรรยาของซ่งฝูกุ้ย ตรวจนับว่าวันนี้ใช้วัตถุดิบไปเท่าไร จดว่าขายซาลาเปาฮั่นไปเท่าไร ซาลาเปาฮั่นใช้เนื้อไก่ไปกี่จิน ไหนจะเนื้อหมูอีก วันนี้น้ำแกงเผ็ดใช้เนื้อสัตว์ไปเท่าไร รวมถึงของที่เอามาจากลูกชายคนที่สามของนาง ต้นทุนพริก
ของพวกนี้จำเป็นต้องหักลบ ทั้งยังต้องกะด้วยว่าจำเป็นต้องซื้อมาเพิ่มไหม
ทุกวันหลังจากเลยเวลากินข้าว ท่านย่าหม่าต้องจดให้ชัดเจน ต้นทุนเท่าไหร่ วันนี้รับเงินมาเท่าไหร่ หักลบแล้วเหลือกำไรเท่าไหร่
ซ่งฝูเซิงนั่งอยู่ที่โต๊ะกลมชั้นหนึ่ง ในที่สุดก็ได้พักแล้ว ยกถ้วยชาขึ้นดื่มน้ำชา
ใบชาเหลือจากในกาน้ำชาของแขก รินน้ำชาที่เย็นชืดในกาทิ้ง เติมน้ำร้อนลงไปชงใหม่ก็ยังมีกลิ่น ไม่สิ้นเปลือง พวกเขาเก็บของเหลือนี่แหละเอามาชงดื่มต่อ
“ท่านแม่ เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ดีแน่”
ท่านย่าหม่าตรวจดูขนมที่อยู่ในตู้โชว์ แต่ละชนิดรวมกันยังเหลือขนมยี่สิบกว่าชิ้นที่ยังขายไม่ออก คิดในใจว่ารออีกสักหน่อย นั่งคุยสักพัก ขายได้ค่อยไป
พอได้ยินก็ถอนหายใจ นั่งลงตรงหน้าซ่งฝูเซิง รินน้ำชาให้ตัวเอง จับถ้วยชาพลางพูด
“นั่นสิ นี่เพิ่งจะไหนถึงไหนก็ยุ่งจนหัวหมุนแล้ว เป่าจูส่งข่าวไปบอกสะใภ้เล็กสกุลสวี่แล้วว่า ให้ส่งคนเอาการเอางานมาอีกสักสองคน คนอื่นเราไว้ใจไม่ได้ อย่างมากก็แค่จ้างเพิ่ม แต่สะใภ้เล็กสกุลสวี่กลับบอกให้เราจัดการกันเอง เราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมทางนั้นไม่ยุ่งด้วยแล้ว”
ท่านย่าหม่ามีหรือจะรู้ว่าตอนนี้ลู่จือหว่านไม่สนใจร้านขนมเค้กแล้ว ไม่แม้แต่จะถาม อำนาจจัดการในจวนฉีก็ยกให้คนอื่น เพราะนางกำลังตั้งท้องที่สอง แพ้หนักมาก มีแรงคิดเรื่องพวกนี้ที่ไหน ฉีตงหมิงออกไปทำงานต่างถิ่นไปทีก็นานมาก
วันที่ฉีตงหมิงเดินทางก็คือวันที่ร้านขนมเค้กเปิดกิจการ
วันนั้น เดิมทีฉีตงหมิงยังอยากหาคนลองศึกษาประทัดหลากสี ปรากฏว่าพอกลับถึงจวนก็ถูกเรียกไป
มีราชโองการให้เขาพาคนไปจัดการเก็บขุนนางใหญ่คนหนึ่งที่ต่างถิ่น
พบจดหมายสมรู้ร่วมคิดกับอ๋องอู๋ที่บ้านขุนนางใหญ่คนนั้น
ขุนนางใหญ่คนนั้นรับผิดชอบการป้องกันทางทะเล เรื่องใหญ่มาก ต้องออกเดินทางทันที
ฉีตงหมิงไม่ได้คุยอะไรเป็นการส่วนตัวกับลู่จือหว่านเท่าไร บอกลาพ่อแม่แล้วก็ไปทันที
ซ่งฝูเซิงบอกให้ซ่งฝูกุ้ยกับหวังจงอวี้ก็นั่งลงดื่มชาสักหน่อย จากนั้นก็ตะโกนขึ้นไปชั้นบน “ต้าเต๋อจื่อ เดี๋ยวค่อยเก็บ ลงมาพักก่อนค่อยทำ ไม่รีบ”
ต้าเต๋อจื่อตะโกนมาจากด้านบน “เจ้านาย พวกท่านคุยไปเถอะขอรับ อีกประเดี๋ยวข้าลงไป ขอเติมน้ำในห้องส้วมให้เต็มก่อน ไม่อย่างนั้นอีกประเดี๋ยวลงไปที่บ่อน้ำก็ต้องเอาขึ้นมาใหม่อีก”
ซ่งฝูเซิงเองก็ไม่บังคับ รินน้ำชาใส่ถ้วยแล้วบอกให้หวังจงอวี้กับซ่งฝูกุ้ยดื่ม จากนั้นถึงพูดต่อ “งั้นเราก็จ้างคน”
คำพูดนี้ไม่รอให้ท่านย่าหม่าคัดค้าน ซ่งฝูกุ้ยส่ายมือชิงพูดขึ้นมาก่อน
“ท่านลุงไม่ยอมหรอก ท่านลุงบอกว่าคนที่มาจากข้างนอก ไม่รู้จักนิสัยใจคอ รู้หรือว่าเขาเป็นคนยังไง…
…คนทำของกิน ของที่ต้องเอาเข้าปาก เกิดลับหลังทำร้ายพวกเราล่ะ…
…ท่านลุงบอกว่าห้ามจ้างคนอื่น ถ้าจะจ่ายเงินขนาดนั้น ในบ้านใครว่างอยู่ก็ให้ตามมาด้วยทุกวัน พวกเราจะได้พักบ้าง…
…อีกอย่าง น้องหวังจงอวี้ตอนนี้ทำงานหนักไม่ได้ ก็ให้เขามาทำไปก่อนแล้วกัน จะไปจ้างคนอื่นทำไม”
หวังจงอวี้ดื่มน้ำชาหมดรวดเดียว เช็ดปากแล้วพูดขึ้น “นั่นสิ ข้าทำงานหนักไม่ได้ พวกท่านก็ไม่ได้หักเงินข้า มาที่นี่งานเบาๆ ข้าทำได้แน่นอน ข้าคิดไว้ก่อนแล้ว ได้ตกรางวัลมา กลับไปก็เอาไปให้ท่านลุงเก็บไว้ พอถึงเวลาแบ่งเงินก็แบ่งกันกับทุกคน ไม่ถือว่าเอาเปรียบทุกคนด้วย”
“วันนี้เจ้าได้ตกรางวัลด้วยรึ” ซ่งฝูกุ้ยหันไปถามหวังจงอวี้
“ใช่ รวมๆ แล้วได้มาน่าจะสามสี่เหรียญเงิน ข้าเอาไปให้ท่านป้า ไม่ได้นับละเอียด”
ท่านย่าหม่ายิ้มตาหยีเห็นแต่ฟัน “ครึ่งตำลึง สามสี่เหรียญเงินที่ไหนกัน ข้าเก็บไว้อยู่ เดี๋ยวจะเอาไปให้ลุงของพวกเจ้า จะปล่อยให้คนคิดไม่ได้ว่าจงอวี้มาช่วย เสียแรงเปล่า”
ซ่งฝูกุ้ยถูมือ “เห็นทีหน้าที่เฝ้าห้องน้ำก็ไม่เลวนะ”