ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 359
ท่านยายเถียนกำลังเช็ดบันได พอได้ฟังก็พยักหน้าเห็นด้วย
นางเองก็รักงานเฝ้าห้องน้ำ อยากปรนนิบัติคนเข้าห้องน้ำ เพียงแต่ตอนนี้แขกผู้หญิงมาน้อย นานแล้วที่ไม่ได้ตกรางวัล
อย่าบอกว่าพวกเขารับใช้คนขี้เยี่ยวเป็นงานสกปรก ต่อให้สกปรกแค่ไหน ยังจะมีอะไรสกปรกไปกว่าทำปุ๋ยหมักสำหรับงานสวนอีกรึ
จะสกปรกไปกว่าเก็บขี้ม้าได้อีกเหรอ เงินเปล่งประกายวิบวับไม่หอมเหรอ
สะใภ้เล็กท่านยายหวังหรือก็คือภรรยาของหวังจงอวี้พูด
“อาสาม ข้าเดาว่า อันที่จริงทุกคนก็ไม่ได้มีใครคิดมาก…
…บ้านเรามีคนตั้งเยอะขนาดนั้น สับเปลี่ยนกันมาก็ได้ เดือนๆ หนึ่งยังมาได้ไม่ครบคนด้วยซ้ำ มาทำงานที่นี่ก็เท่ากับพักผ่อน ที่นี่ถึงงานยุ่งก็จริงแต่ไม่เหนื่อย…
…อาสามไม่รู้หรอกว่า ทุกคนเต็มใจจะมาด้วยซ้ำ เข้าเมืองมาเปิดหูเปิดตา จ้างคนอื่นมันเกินความจำเป็นจริงๆ”
สะใภ้ใหญ่เกาถูฮูอยู่ในห้องครัว ตะโกนออกมาอย่างเต็มที่
“นั่นสิ เราไม่ต้องจ้างคนเสียเงินแบบนั้นหรอก…
…ถ้าใครไม่เต็มใจ กลับไปข้าก็อยากจะถามพวกเขาดูว่า ถังหูลูกับเสวี่ยเกาที่ขายอยู่ข้างนอกนั่นพวกเราทำเพื่อใคร…
…หักต้นทุนทิ้ง กำไรไม่เท่าไร ใครอยากจะได้กำไรครึ่งเหวินหนึ่งเหวินกัน ไม่พอหายเหนื่อยเลยด้วยซ้ำ…
…เข็นออกไปทุกวัน เวลามีคนซื้อทีก็ต้องออกไปที…
…ไม่ใช่เพื่อทุกคนหรอกเหรอ ใครยังจะเหมือนพวกเราที่ทำเพื่อให้ทุกคนอยู่รอดโดยไม่หวังอะไร”
ท่านย่าหม่าทำเสียงจึ๊ แต่ใบหน้ากลับยังคงมีรอยยิ้ม แสดงให้เห็นว่าคำพูดนี้เข้าไปในใจของนาง “เก็บครัวของเจ้าไปเถอะ นี่ก็แค่บ่นๆ กันไม่ใช่รึ ยังไม่มีใครไม่พอใจ เจ้าก็ชิงไม่พอใจก่อนแล้ว”
ซ่งฝูเซิงคิดในใจ ไปกันใหญ่แล้ว เขาเพิ่งเปิดประเด็นคนพวกนี้ก็พูดกันเป็นตุเป็นตะ
ให้ตายก็ไม่ยอมจ้างคน
พวกเขามีนิสัยแย่ที่เห็นได้ชัดอยู่อย่าง
นับตั้งแต่ลี้ภัยมากันเสร็จ นิสัยแย่อย่างนี้ก็ยิ่งเห็นได้ชัด นั่นก็คือไม่อยากให้มีคนนอกเข้ามาแทรกรวมกับพวกเขา
ไม่ชอบให้คนอื่นไปที่บ้าน ถ้าใครมาที่บ้าน สีหน้าต้อนรับก็จริง แต่ลับหลังก็จะบ่นว่าน่ารำคาญ
ไม่ชอบไปใกล้ชิดคนอื่น เอาแค่ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันที่เขาไปมาหาสู่กับหัวหน้าตระกูลเหรินถี่หน่อย ลุงซ่งก็เริ่มหวงแล้ว
พูดเตือนเขา ‘เจ้าลืมแล้วรึ ตอนที่เพิ่งมาอยู่ในหมู่บ้าน สีหน้าของพวกเขาน่ะ จิตใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง พวกเราต่างหากที่ใกล้ชิดกันที่สุด มีเรื่องอะไร ใครคลอดลูก เจ้าก็มาปรึกษาข้า คุยกับตาแก่เหรินนั่นให้น้อยๆ หน่อย’
ถึงขนาดที่ซ่งฝูเซิงสงสัยว่า ในอนาคตรอให้พวกเด็กผู้ชายมีคู่มีครอบครัว แต่งคนนอกเข้ามา ทุกคนจะระแวงหรือเปล่า
อย่างไรเสียก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดูเหมือนเป็นอาการที่หลงเหลือหลังจากลี้ภัยจบ ไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น มีแค่พวกเดียวกันที่ไว้ใจได้
“มันไม่ใช่เรื่องเอาเปรียบหรือไม่เอาเปรียบ ข้าคิดว่า พริกก็จะแดงแล้ว แรงงานอย่างฝูกุ้ยก็ต้องออกไปช่วยวางขาย มาช่วยที่นี่ไม่ได้ คนพวกนั้นในบ้านก็ไม่ว่าง ไหนจะข้า ข้าก็มาเล่าเรื่องที่นี่ทุกวันไม่…”
ซ่งฝูเซิงยังไม่ทันพูดจบ ประตูก็ถูกเปิดออก
ท่านย่าหม่ารีบร้อนยืนขึ้น พูดด้วยความตกใจ “ไอ๊หยา เถ้าแก่ถง แขกพิเศษ มาๆๆ เชิญด้านใน”
คนที่มาคือเถ้าแก่โรงน้ำชาทางตะวันออกของเมือง
ท่านย่าหม่ารีบแนะนำให้ซ่งฝูเซิงรู้จัก บอกว่าท่านนี้เป็นลูกค้าเก่าแก่ของพวกเรา ให้การสนับสนุนอย่างมากตั้งแต่เข็นรถขายขนม ค้าขายกันมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว รู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก
จากนั้นก็แนะนำให้เถ้าแก่ถงรู้จัก “นี่ลูกสามของข้าเอง ซ่งฝูเซิง”
“ได้ยินชื่อเสียงมานาน” เถ้าแก่ถงกำมือคารวะ
การได้ค้าขายกับท่านย่าหม่า แรกสุดนั้นเป็นความบังเอิญ
ตอนนี้ไม่กล้าพูดเยอะ
ต้องทราบก่อนว่า คนที่หนุนหลังร้านขนมร้านนี้อยู่คือจวนฉี คนในเมืองที่พอมีฐานะรู้เรื่องนี้กันหมด
ดังนั้น หากมีปัญหาก็จำต้องมาหารือกันถึงร้าน อีกทั้งยังต้องเป็นเขาที่เอ่ยปากออกไปให้ทางนั้นพิจารณา หากทางนั้นปฏิเสธ เขาก็ไม่เหลือหนทางแม้แต่น้อย
ไม่ใช่สองฝ่ายร่วมกันหารืออะไรแบบนั้น คิดๆ แล้วก็ลำบากใจ
ดูก็รู้ว่าเถ้าแก่ถงมีธุระ ซ่งฝูเซิง ท่านย่าหม่า และเถ้าแก่ถงจึงขึ้นไปคุยที่ชั้นสอง
ซ่งฝูเซิงได้ฟังจุดประสงค์การมาของเถ้าแก่ถงก็ยิ้มในใจ
แบบนี้ก็คือคิดอะไรไว้ก็มาพอดี
เขากำลังกลุ้มอยู่ว่าไม่อยากรับจ๊อบให้ลูกสาวแล้ว ทุกวันนี้ใกล้จะเป็น ‘ตานเถียนฟัง’ ขึ้นมาทุกทีแล้ว ให้เล่าต่อไปไม่ได้อีก และเขาก็ไม่อยากก้าวเข้าวงการศิลปะบันเทิง นี่ก็มีคนมาหาถึงที่พอดี
สุดท้ายผลลัพธ์ได้เหนือความคาดหมายภายในใจเถ้าแก่ถงมากเหลือเกิน นึกไม่ถึงว่าท่านย่าหม่ากับซ่งฝูเซิงจะคุยง่ายแบบนี้
ทั้งสามคนตกลงกันได้ว่า โรงน้ำชาของเถ้าแก่ถงจะให้นักเล่าเรื่องฝีมือฉมังมาใช้หนึ่งคนฟรีๆ และต้องเป็นคนที่รู้หนังสือ มีวาทศิลป์ดี ตอนเที่ยงมาเล่าตอนใหม่ที่ร้านขนมเค้กแห่งความสุขของท่านย่าหม่า เถ้าแก่ถงจะจ่ายค่าตอบแทนให้เอง
จากนั้นเรื่องที่จะเล่า ทางเราจะเป็นฝ่ายเตรียมให้ อนุญาตให้ทางโรงน้ำชาของเถ้าแก่ถงเอาไปเล่าซ้ำได้
ในหนึ่งวัน ทางโรงน้ำชาอยากเล่ากี่รอบก็ตามสบาย ไม่ยุ่ง
แต่นักเล่าเรื่องที่ทางโรงน้ำชาส่งมา หากมาเล่าตอนใหม่ที่นี่ ทำไม่เต็มที่ กั๊กฝีมือไว้อะไรทำนองนี้ ทางเราก็พร้อมจะตัดสิทธิ์ในการนำเรื่องไปเล่าซ้ำที่โรงน้ำชาและจะหานักเล่าเรื่องคนอื่นมาแทน เนื้อเรื่องก็จะไม่ให้ทางโรงน้ำชาอีก
ทางโรงน้ำชากลัวโดนตัดสิทธิ์ที่สุด แบบนั้นเป็นการทำลายจุดขายของตัวเอง
คิดอย่างโง่ๆ หากเล่าไปครึ่งเดียวไม่เล่าต่อแล้ว บรรดาลูกค้าโรงน้ำชาจะทำอย่างไร แบบนั้นไม่เอาไข่เน่ามาปาใส่เหรอ
ซ่งฝูเซิงอยู่เหนือกว่าก็จุดนี้
เรื่องเล่ามาจากฝีมือลูกสาวเขา นักเล่าเรื่องที่โรงน้ำชาส่งมา ถ้ากล้าทำไม่เต็มที่ เขาก็กล้าไม่ให้บทเรื่องเล่าต่อ คนอื่นไปแต่งต่อก็ไม่มีทางแต่งได้ จากนั้นพวกเราไม่ต้องออกหน้าหรอก พวกลูกค้าโรงน้ำชาจะออกโรงเอง ถามคำเดียว กลัวไหมล่ะ
เถ้าแก่ถงย่อมรู้ในจุดนี้ แค่ฟังดูก็รู้ว่าประเด็นสำคัญอยู่ในตรงไหน
“วางใจได้ ทางข้าจะไม่มีทางปล่อยให้นักเล่าเรื่องรู้สึกว่ามาที่นี่ไม่ได้เงิน เรื่องอย่างทำไม่เต็มที่ไม่มีแน่นอน เขามาเล่าที่นี่ ข้าจะให้เงินเขาต่างหาก หนึ่งรอบให้เท่าไหร่ เรื่องเงินจะตกลงให้เรียบร้อยกันก่อน”
ร่วมมือกันอย่างมีความสุข
เถ้าแก่ถงดีใจมาก
เขานึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าจะตกลงเรื่อง ‘สิทธิ์เล่าซ้ำ’ ได้ง่ายขนาดนี้ เดิมทีคิดว่าคงต้องเปลืองน้ำลายกันยาว
อีกทั้งใช้เรื่องเล่าของทางนี้ อีกฝ่ายไม่เอาแม้แต่เหวินเดียว ขอแค่นักเล่าเรื่องคนเดียวก็พอ เรื่องดีแบบนี้มันดีเสียยิ่งกว่าที่เขาคาดไว้ก่อนมามากทีเดียว
ตอนนั้นเดิมทีเขาคิดว่า เขาอยากได้บทเรื่องเล่าที่ตอนนี้ลือกันอย่างหนักหน่วงในวงแคบๆ ท่านย่าหม่าคงจะเรียก ‘เงินค่าบท’ จำนวนไม่น้อย
เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจ การเจรจาของทั้งสองฝ่ายครั้งนี้ต่างก็พอใจทั้งคู่
เถ้าแก่ถงบอกว่า พวกเขากำลังจะยุติการค้ากับร้านขนมของสกุลไป๋ ไม่ค้าขายด้วยแม้แต่นิดเดียวแล้ว
เดิมทีเมื่อก่อนโรงน้ำชามีขนมของท่านย่าหม่าก็มีขนมของสกุลไป๋อยู่บ้าง แต่ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นขนมของร้านท่านย่าหม่าทั้งหมด เพิ่มจำนวน จะสั่งเพิ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้
นอกจากนี้ “ได้ยินว่าในร้านของพวกท่านมีถั่วลิสงแบบหนึ่งที่กินแล้วปากชาใช่หรือไม่”
ซ่งฝูกุ้ยหัวไว ไม่รอให้ซ่งฝูเซิงบอกก็ไปที่ห้องครัว ตักถั่วลิสงหมาล่าใส่จานแล้วยกออกมา
“มันเรียกว่าถั่วลิสงหมาล่าเก้ารุ่นตระกูลซ่ง ท่านลองชิมดูขอรับ”
หลังจากเถ้าแก่ถงลองชิม “หอม แต่ว่าราคานี้ หึหึ”
ยังคงไม่ต้องให้ซ่งฝูเซิงออกหน้า ท่านย่าหม่าก็ไม่ต้องเปลืองน้ำลาย เพราะพวกเขามีซ่งฝูกุ้ย
ตาคนนี้ วันๆ เหมือนคอยหาโอกาสพูด ช่างเจรจาเสียจริงๆ