ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 360
ซ่งฝูกุ้ยพูดขึ้น
“หนึ่งจินราคายี่สิบเหวินแพงไหม?…
…ราคานี้สามารถซื้อเนื้อหมูหนึ่งจินเก็บไว้กินได้ เมื่อได้ยินก็รู้ว่ามันแพงกว่าเนื้อสัตว์…
…แต่ท่านลองดูนี่สิว่ามีอะไร? พริกไทย ไม่จำเป็นต้องแนะนำสรรพคุณของมันมาก ท่านก็ทราบดี…
…ที่นี่ยังมีพริกรสชาติโดดเด่น…
…มีอยู่ร้านเดียว มีเพียงร้านของพวกเราที่มี…
…ท่านอยากซื้อถั่วลิสง นี้ก็มีเพียงร้านของพวกเราที่มีขาย พวกเราคั่วถั่วลิสงที่บ้านและยังรับซื้อถั่วลิสงจากหมู่บ้านต่างๆ มา ท่านลองคำนวณดูได้…
…เถ้าแก่ ท่านรู้หรือไม่ว่าพวกข้ามีพริกขายด้วย ตอนเป็นพริกสีเขียวสามารถขายได้กี่เหวินต่อหนึ่งจิน? มันขายได้แปดสิบเหวินเลยนะ…
…ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนที่สุกกลายเป็นสีแดงแล้ว…
…พริกเขียวสิบจิน จะได้พริกแดงแห้งหนึ่งจิน ท่านดูนี่ มีพริกแดงแห้งเท่าไหร่?…
…พวกข้าคิดเงินท่านหนึ่งจิน ยี่สิบเหวิน จึงนับว่าไม่แพง นี่ถือว่าเป็นราคากันเองแล้ว…
…ท่านคงจะรู้จักโรงเตี๊ยมอีผิ่นเซวียน ทางโรงเตี๊ยมก็สั่งจองได้ในราคานี้ ซึ่งเป็นคนรู้จักสนิทสนม พวกเราให้ราคาคนกันเอง บอกตามตรง พวกเราได้กำไรเป็นค่าแรง”
คำพูดของซ่งฝูกุ้ยโดนใจซ่งฝูเซิง
เขาก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน
จริงๆ แล้ว ราคาหนึ่งจินยี่สิบเหวิน ซ่งฝูเซิงก็ไม่อยากขาย แต่ทำเพื่อร้านค้าของลูกสาว พวกลูกค้าชอบฟังเรื่องเล่าและกินถั่วลิสง ถึงได้ยอมขายให้ในราคานี้
เป็นที่รู้กันดีว่า ในยุคปัจจุบันถั่วลิสงหวงเฟยหงหมาล่าหนึ่งถุง ราคาประมาณเจ็ดถึงเก้าหยวน
ในยุคปัจจุบัน ต้นทุนการผลิตถั่วลิสงค่อนข้างต่ำ แต่ได้รับผลผลิตจำนวนมาก พริกไทยก็มีจำนวนเยอะ ต้นทุนถึงราคาถูกลง
ไม่เหมือนที่นี่ พื้นที่หนึ่งหมู่เก็บผลผลิตของถั่วลิสงได้ไม่เท่าไหร่
พริกของเขาก็ปลูกในเพิง ไม่ใช่การหว่านเมล็ดไว้ในสวนหลังบ้านเพื่อให้งอกขึ้นเอง
ถ้าหักค่าต้นทุนและค่าแรงแล้ว ราคายี่สิบเหวินถือเป็นราคาที่สมเหตุสมผลแล้ว
ถ้าปีหน้ามีพื้นที่เพาะปลูกมากขึ้น ช่วงหน้าร้อนก็จะมีพริกแห้งออกมาเยอะขึ้น ราคาก็จะถูกลงมาหน่อย ตอนนี้ไม่ว่าจะขายอะไร ก็ต้องคำนวณต้นทุนพริกที่ปลูกในเพิงเข้าไปด้วย
เถ้าแก่ถงจากโรงน้ำชา คิดถึงอารมณ์ลูกค้าคนนั้นของเขาที่พูดถึงถั่วลิสงหมาล่า เขาถามอีกครั้ง “เจ้าแน่ใจว่าร้านพวกเจ้ามีสิ่งนี้?” เขามองไปที่ท่านย่าหม่า
ท่านย่าหม่ากล่าวอย่างภาคภูมิใจ “แน่นอนอยู่แล้ว”
เถ้าแก่ถงรู้สึกงุนงงมาก เมื่อก่อนเขาไม่เคยได้ยินเรื่องของพริกมาก่อน แต่ทำไมถึงมีร้านของพวกเจ้าเพียงร้านเดียวที่มี? พวกเจ้าเอามาจากไหนกัน?
แต่อีกฝ่ายก็ยืนยันว่ามีแน่นอน เขาจึงเก็บความสงสัยไว้ “ถ้าเช่นนั้น วันพรุ่งนี้เจ้าส่งถั่วจำนวนสามสิบจินไปที่ร้านก่อน ถ้าขายดีพวกข้าค่อยสั่งเพิ่ม”
ส่งเถ้าแก่ถงไปแล้ว
ท่านย่าหม่าเดินไปจดรายการที่เคาน์เตอร์ เย็นนี้นางกลับบ้านไปจะต้องกำชับคนครัวให้ทำอาหารเยอะขึ้น ไหนจะโรงน้ำชาที่สั่งขนมเพิ่มหลายถาดและยังสั่งจองถั่วลิสงเพิ่มอีกสามสิบจิน
เกรงว่าจะกินจนติดใจ
ท่านย่าหม่าดีใจแทนลูกสาม
ตอนนี้อาจจะสั่งแค่สามสิบจิน แต่เมื่อเวลาผ่านไป คนพูดกันปากต่อปาก ถ้ารู้ว่านางมีถั่วลิสงหมาล่าขาย ต่อไปอาจจะขายได้สองร้อยถึงสามร้อยจินเลย
อีกทั้งพวกนางยังต้องตั้งแผงลอยขายของกินหลายอย่าง
นับวันยิ่งจะมีชีวิตที่ดีขึ้น
ระหว่างทางกลับบ้าน
รถลากเกวียนเพิ่งออกเดินทางมาได้ห้านาที ซ่งฝูเซิงก็ตวัดแส้บังคับให้รถลากเกวียนเลี้ยวมาทางถนนด้านซ้ายที่รกร้าง
นี่เป็นเหตุผลที่ซ่งฝูกุ้ยตามซ่งฝูเซิงมาเมืองเฟิ่งเทียน
เพื่อขึ้นของและออกเดินทางกลับ
ซ่งฝูเซิงกับซ่งฝูกุ้ย คนหนึ่งจะคุมรถลากเกวียนหนึ่งคัน เดินทางผ่านถนนที่รกร้าง ไม่ค่อยมีผู้คน
บนพื้น นอกจากหญ้าแห้งก็เป็นหิมะ หิมะตกเป็นระยะเวลานานจนทับถมกันเป็นเนินความสูงถึงน่อง
ตอนนี้วัวเดินแทบไม่ไหวแล้ว
พวกเขามาเพื่อซื้อแพะ
ที่ไม่สามารถเดินทางบนถนนใหญ่ได้เพราะมันจะอ้อมไกลเกินไป แม้จะต้องออกแรงหน่อย แต่หากมาใช้ถนนเส้นทางลัดก็สามารถประหยัดเวลาไปได้ถึงสองชั่วยาม
“ฆ่าแพะหรือยัง?”
“ฆ่าเสร็จแล้ว รอพวกท่านมาเอา”
“นี่เงิน ท่านลองนับดู”
ชายเฒ่าเลี้ยงแพะพนมมือขอบคุณ “ขอบคุณ ขอบคุณมาก”
ซ่งฝูเซิงนำแพะสี่ตัวโยนขึ้นไปไว้บนรถและออกแรงดึงวัวให้ลากเกวียนเพื่อเดินทางกลับ
เมื่อออกเดินทางอีกครั้ง รองเท้าของเขากับซ่งฝูกุ้ยก็เปียกชื้นเพราะหิมะเข้าไปในรองเท้า
คอและเท้าเย็นยะเยือก
ผ่านไปครึ่งเดือน
เครื่องปั่นสองเครื่องของซ่งฝูหลิงถูกยกออกไป
ต้องให้คนส่วนรวมยืมไปใช้
อบเชย โป๊ยกั๊ก เฉากัวที่เอาเม็ดออกแล้ว ผักชีล้อม ลูกกระวาน ถูกแช่ในน้ำอุ่นแล้วก็กำลังถูกปั่นอยู่ในเครื่องปั่นสองเครื่อง
เฉียนเพ่ยอิงถือกะละมังเล็กที่ใส่เปลือกพริกแห้งเข้าไปในห้อง
เมล็ดพริกถูกเฉียนเพ่ยอิงกับซ่งฝูอิงนำออกมาด้วยตนเอง เมื่อเอาออกมาก็ใช้กระดาษห่อไว้อย่างดี ก่อนจะส่งต่อให้ลูกสาว เพื่อเอาเมล็ดไปเก็บไว้ในพื้นที่พิเศษ
ได้แต่นำเปลือกพริกเก็บไว้
จำเป็นต้องทำอย่างระมัดระวัง
เพราะไม่กลัวว่าเมล็ดพริกเขียวจะมีคนเอาไป ถึงจะมีคนเอาไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเมล็ดพริกเขียวเอาไปปลูกก็ปลูกไม่ขึ้น
แต่กับพริกแดงนั้นไม่เหมือนกัน เฉียนเพ่ยอิงกับซ่งฝูเซิงต้องคอยเฝ้าดู
เพราะพริกแดงมีเมล็ดที่สามารถนำไปเพาะปลูกได้
ถ้าคนอื่นเก็บไว้ แม้เพียงพริกเม็ดเดียวก็สามารถปลูกขึ้นได้หลายต้น
ดังนั้น ตั้งแต่ขั้นตอนการเก็บพริก การตัดพริก การนำเมล็ดออกมา จะมีแค่เฉียนเพ่ยอิงกับซ่งฝูเซิงเท่านั้นเป็นคนจัดการด้วยตนเอง
แต่มันแสบร้อนมากจนพวกเขาสองคนน้ำตาจะไหล
ใช้กรรไกรตัดไปด้วยและปาดน้ำตาไปด้วย สักครู่พวกเขาสองคนก็สำลักกลิ่นที่แรงขึ้น
หลังจากเฉียนเพ่ยอิงปั่นเครื่องปรุงแล้วก็หยิบเปลือกพริกแห้งโยนใส่ลงไปในเครื่องปั่น
ใบมีดในเครื่องปั่นปั่นพริกจนละเอียด เฉียนเพ่ยอิงเขย่าเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
ขณะเดียวกัน ในห้องประชุม
ท่านลุงซ่งพาตาเฒ่าหลายคนถือพริกที่ปั่นเสร็จแล้วและเครื่องปรุงต่างๆ มาวางไว้บนโต๊ะ
พวกซื่อจ้วงก็อุ้มโถเดินเข้ามาในห้องกันเป็นแถว
บางโถใส่ซอส บางโถใส่เหล้าหมัก บางโถใส่น้ำมันพืช
พวกผู้หญิงเปิดม่านตรงประตู เดินถือต้นหอมกับขิงที่ซอยแล้วเข้ามาในห้อง
ส่วนประกอบเครื่องปรุงครบแล้ว
ครู่ต่อมา ซ่งฝูเซิงพ่อครัวใหญ่ก็พาพวกพี่ซ่งฝูไฉกับกัวคนโตปรากฏตัวขึ้น
พวกผู้ชายทั้งสี่ สวมผ้ากันเปื้อนและผ้าปิดปาก ยืนอยู่หน้าเตาเพื่อเตรียมความพร้อม
เมื่อพวกผู้ชายเริ่มเปิดเตา พวกผู้หญิงกับคนนอกต้องออกไปทั้งหมด
พวกผู้หญิงครุ่นคิด ใครจะอยากยืนดูอยู่ที่นี่กัน? สำลักทั้งกลิ่นและควัน
กระทะสี่ใบถูกตั้งบนเตาทั้งสี่
ชายทั้งสี่คน ทำการผัดอาหารอยู่ในห้องจนเหงื่อไคลไหลเต็มใบหน้า
ในช่วงที่ไฟกำลังลุกโชน พวกเขาก็ตะโกนกันเสียงดัง ไฟจึงเปลี่ยนมาเบาลง ผัดไปประมาณสิบห้านาทีก็ตะโกนบอก “ขอไฟแรงหน่อย” และผัดต่อไปอีกหนึ่งชั่วโมง
ชายสูงวัยสี่คนที่รับผิดชอบคอยควบคุมไฟอยู่ข้างเตาดึงที่เป่าลม “แค่กๆ” พวกเขาสำลักควันไฟ
หากใครไม่รู้ คงคิดว่าชายชราเหล่านี้กำลังสีซอเอ้อร์หูหาเงิน แต่จริงๆ แล้วพวกเขาดึงที่เป่าลมมาเป่าและคอยใช้ชายแขนเสื้อซับน้ำตาไปด้วย ดูน่าเวทนาเสียจริง
พวกซ่งฝูเซิงยุ่งกับงานครัวจนถึงตอนบ่าย ถึงนำเครื่องปรุงหม้อไฟหรือเครื่องปรุงหมาล่าผัดออกมา แล้วยกห้องประชุมคืนให้กับเด็กๆ เพื่อการเรียนซานจื้อจิง
ซ่งฝูหลิงถามเฉียนหมี่โซ่ว “มีเหลียนซาน มีกุยฉัง แล้วมีอะไรในประโยคต่อไป?”
เฉียนหมี่โซ่ว “มีโจวอี้ ซาน ซานอี้ ฮัดชิ้ว!” น้ำมูกไหลออกมา
ดูเด็กพวกนี้สิ แทบจะนั่งเรียนดีๆ ไม่ได้เลย
เพราะขนาดเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว ในห้องนี้ยังมีกลิ่นพริกลอยอยู่อย่างตลบอบอวล