ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 361
ถังใส่น้ำซุปกระดูกหมูแต่ละถัง ถูกนำไปวางบนรถเข็น
ตะกร้าใส่เกี๊ยวแช่แข็งแต่ละใบ ถูกขนไปวางไว้บนรถเข็น
ถุงแต่ละถุงที่บรรจุปลาแช่แข็งที่หามาได้ในช่วงเช้ามืด ถูกวางไว้บนรถเข็น
พวกเขายังขนกะละมัง ตะเกียบไม้ ชามไม้ จานไม้ ลูกชิ้นไก่ที่เสียบไม้แล้ว เนื้อแพะเสียบไม้ ผักกาดขาวเสียบไม้ หัวไชเท้าที่หั่นเป็นแผ่น เครื่องปรุงรส ตะแกรงปิ้งย่าง หม้อใหญ่ ถ่าน เป็นต้น ขึ้นไปวางไว้บนรถ
ซ่งฝูเซิงถือคบไฟคอยเดินสำรวจสิ่งของบนรถแต่ละคัน “ลืมเอาอะไรไปอีกไหม?”
“ไม่ลืมนะ ตรวจไปรอบหนึ่งแล้ว”
“จำราคาได้หมดทุกอย่างแล้วใช่ไหม?”
“จำได้แล้ว”
“งั้นออกเดินทางได้”
พวกชายฉกรรจ์ช่วยกันเข็นรถที่มีอยู่ในบ้านทั้งหมดออกไป
พวกเขาออกเดินทางไปยังอำเภอต่างๆ ในเมืองใหญ่
……
อำเภอถงเหยา
แผงร้านซ่งจิ่วจู๋ที่ขายของกินเล็กๆ วางแผงขายใกล้ๆ ระหว่างพวกร้านค้าขายหนังสัตว์
พี่สุยเห็นกัวคนโตนำขบวนมาแต่ไกล ก็เดินไปต้อนรับและช่วยยกของ กางเต็นท์ คอยช่วยเรียกลูกค้า
เต็นท์ชั่วคราวทำจากผ้าน้ำมันขนาดใหญ่เย็บติดกัน แต่เมื่อใช้ไม้ค้ำยันขึ้นมาก็จะกลายเป็นเพิงใหญ่ สามารถให้คนนั่งล้อมหม้อได้สิบกว่าคน โต๊ะขนาดเล็กที่แยกออกมาตั้งก็สามารถนั่งได้สี่คน
นำถาดถ่านไฟออกมาวางให้เพิงมีความร้อนเพิ่มอีกหน่อย
ตั้งหม้อใหญ่ไว้บนโต๊ะแล้วเทน้ำซุปต้มกระดูกหมูลงไป ตามด้วยเครื่องปรุงหม้อไฟที่ใส่ลงไปในหม้อ
ก่อนที่ซ่งฝูเซิงจะเก็บเครื่องปรุงหม้อไฟไว้ ก็ได้แบ่งแต่ละส่วนให้กับทุกคนแล้ว แค่เครื่องปรุงส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งก็สามารถใช้ได้ทั้งวัน
พวกกัวคนโตไปที่ร้านขนมเค้กเพื่อหาบน้ำ
แต่ละอำเภอจะมีร้านขนมเป็นของตนเอง จึงสะดวกสบาย เพราะถ้าจะใช้น้ำก็ไปหาบจากบ่อน้ำที่ร้านและก็มีสถานที่เก็บของด้วย เมื่อต้องการใช้อะไรก็ไปนำออกมา พอเก็บร้านแผงลอยเสร็จก็เก็บของกลับไปไว้ที่นั่น
ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน พวกเขาดูเหมือนมดตัวน้อยๆ กำลังย้ายรัง คอยช่วยท่านแม่เข็นรถที่บรรทุกของกินเพื่อให้พวกนางได้ประหยัดแรงกาย และบรรทุกสิ่งของที่จำเป็นพวกนี้มา
เก้าอี้ยาว โต๊ะ ตะเกียบ ชาม ต่างถูกจัดวางไว้เป็นอย่างดี
ตอนนี้น้ำซุปกระดูกหมูที่อยู่ในหม้อกำลังเดือดปุดๆ
ในเวลาไม่นาน กลิ่นที่ลอยมาจากหม้อไฟก็หอมฟุ้งมาแต่ไกล
ถ้าตามเวลาในยุคปัจจุบัน ตอนนี้ถือเป็นช่วงเช้า เวลาประมาณสิบโมงกว่า จึงมีคนหลายคนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมชะโงกหน้าออกมาสอบถาม “นี่กลิ่นหอมอะไร?” เดิมทีตั้งใจจะกินข้าวที่โรงเตี๊ยม แต่ได้กลิ่นหอมที่โชยมาจากข้างนอก จนทำให้อยากกินอาหารในเพิงนี้ขึ้นมา
เขาโบกมือให้ผู้ติดตามออกไปดู
ถ้ามีของกินอะไรใหม่ๆ ก็ให้ซื้อกลับมา
ท่านยายกัวอาศัยช่วงเวลาว่างวิ่งออกมาจากร้านเค้ก นางไม่วางใจจึงวิ่งออกมาดู
เมื่อนางมาถึงที่นี่ก็พบว่าลูกชายและหลานชายของนางกำลังยุ่งอยู่
ลูกชายคนโตของนางถลกแขนเสื้อขึ้น กำลังนวดแป้งอยู่บนกระดานไม้และยืดแป้งเป็นเส้นยาว สะบัดตีกับกระดานเสียงดังปังๆ
เขายืดแป้งไปพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ได้ยินแล้ว นายท่านรอสักครู่ บะหมี่หมาล่าสี่ตำลึงกำลังมาแล้ว”
ลูกชายคนที่สองของท่านยายฉีก็ยิ่งยุ่งมาก เขาเป็นคนรู้จักพูดจาปราศรัย เขารับเกี๊ยวมาแล้วก็ใส่เครื่องปรุงรสและไม่ลืมที่จะแนะนำ “นายท่าน นี่เป็นหลงเชาโส่ว ท่านลองชิมดู ไม่เหมือนกับเกี๊ยวที่พวกเราทำ ท่านลองชิมดูก็รู้แล้ว รับรองท่านจะต้องติดใจจนอยากกินอีกแน่ๆ”
“เอ๊ะ อันนี้ไม้ละเท่าไหร่? นี่คืออะไร?”
“ลูกชิ้นไก่ ใช้ลวกกิน หอมอร่อยมาก เนื้อเต็มคำ ท่านลองลวกในหม้อนี้ดูสิ เพียงครู่เดียวก็เดือดแล้ว”
เหตุการณ์แบบนี้ก็ปรากฏขึ้นในอำเภออวิ๋นจงกับอำเภอจยาเช่นเดียวกัน
ในอำเภอจยา ท่านป้าใหญ่ของซ่งฝูเซิงเป็นคนคอยดูแลจัดการ
วันแรกที่ซ่งฝูลู่ ลูกของนางออกมาตั้งแผงลอย นางก็ขยันวิ่งออกมาดูเป็นระยะ
นางคอยช่วยหยิบจับของและช่วยทำงาน เมื่อเห็นชามสกปรกก็ช่วยล้างให้
นางทำงานไปและยังสั่งกำชับ “อย่าลืมเก็บเงินให้ครบนะ”
ลูกชายมีอายุสามสิบกว่าปีแล้ว ซ่งฝูลู่ที่กำลังยุ่งอยู่จึงรู้สึกรำคาญว่าท่านแม่ของเขาพยายามจะทำอะไร
“ท่านรีบกลับไปขายของว่างเถอะ แผงลอยนั่นท่านไม่สนใจแล้วหรือไง? เดิมทีแผงลอยของพวกข้าก็ไม่ค่อยมีที่ให้ยืนเท่าไหร่ ท่านรีบกลับไปเถอะ อย่าอยู่เพิ่มภาระที่นี่เลย”
ในอำเภอจยา
ลูกชายคนโตกับลูกชายคนที่สองของครอบครัวท่านยายหวังก็ออกมาขายของกิน
“นี่เรียกว่าปลาต้ม นายท่าน ท่านลองชิมดู พวกเราทำปลาเสร็จเรียบร้อยแล้ว”
ทุกคนยินดีอย่างมากที่จะขายปลาต้มเพราะได้ปลามาฟรีๆ ไม่ต้องใช้เงินซื้อ
เมื่อก่อนตอนที่มาถึงหมู่บ้านเหรินจยาใหม่ๆ เริ่นกงซิ่นที่ดำรงตำแหน่งหลี่เจิ้งไม่ยอมให้คนไปจับปลาที่แม่น้ำ
ไม่ได้บอกเพียงแค่พวกเขาเท่านั้น เริ่นกงซิ่นยังไม่ยอมให้ชาวบ้านในหมู่บ้านจับปลาด้วยเช่นกัน
เขาบอกว่านี่ถือเป็นของส่วนรวม ถ้าจับปลาได้แล้วต้องจ่ายเงินให้กับหมู่บ้าน
ไม่รู้ว่าคิดอย่างไร ดูเหมือนเขาวางอำนาจไปทั่ว ปลาในแม่น้ำก็ไม่ยอมให้คนจับกิน เดิมทีในฤดูหนาวทุกคนก็ไม่ค่อยมีอะไรกินอยู่แล้ว ท่านว่าตาเฒ่านั่นไร้ศีลธรรมไหมเล่า
แต่ชาวบ้านในหมู่บ้านเหรินจยากลับเชื่อฟังเขา ท่านคิดว่าชาวบ้านพวกนั้นหัวอ่อนหรือไม่
หลังจากนั้น พวกเขาจึงอยากออกไปจับปลา อยากต่อต้าน ไม่เชื่อฟังคำสั่ง เดิมทีก็คิดจะจับปลาอยู่แล้ว เจ้าบอกไม่ให้จับก็ต้องเชื่อ ไม่จับหรืออย่างไร? ของบ้านเจ้าหรือ? เจ้าก็ย้ายแม่น้ำทั้งสายมาอยู่บ้านเจ้าเลยสิ
แต่ท่านลุงซ่งก็บอกไว้ อย่ามีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกับคนพวกนั้นเพียงเพราะปลา คนอื่นจะต่อว่าพวกเราลับหลังได้ พวกเรามีห้องอบขนมและห้องใต้ดิน ถึงไม่ให้จับปลาก็ไม่เป็นไร
ในตอนนั้นพวกเราไม่มีคนใหญ่คนโตคอยหนุนหลัง
หลังจากที่ท่านแม่ทัพเล็กมาแล้วและมีคนใหม่มารับตำแหน่งหลี่เจิ้ง เกิ่งเหลียงยังพาพวกทหารที่ติดตามมาไปจับปลา แม่น้ำสายนี้ถึงได้เปิดให้ทุกคนได้มีโอกาสใช้โดยเท่าเทียมกัน
เริ่นโยวจินที่เป็นหลี่เจิ้งคนใหม่ก็บอกกับชาวบ้าน “ใครมีความสามารถ ใครจับปลาได้เท่าไหร่ก็ถือว่าเป็นของแต่ละบ้าน แต่ต้องระมัดระวังหน่อย อย่าเผลอตกลงไปในแม่น้ำตายก็แล้วกัน”
เมื่อมีคำพูดนี้ออกมา ทุกคนก็ดีใจแทบบ้า
ใครจะมีความสามารถเทียบเท่ากับพวกเขา?
พวกเขามีความอดทนเฝ้าริมฝั่งแม่น้ำ
คนในหมู่บ้านทั้งหมดก็ยังไม่มีความอดทนอดกลั้นเทียบเท่ากับพวกเขาได้เลย
เมื่อปลาในแม่น้ำเป็นสิ่งที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อ พวกเขาจึงออกมาหาปลาทั้งตอนเช้าและตอนเย็น ไม่ต้องเสียเงิน เหมือนกับการไปเก็บก้อนหินนั่นเอง หากพวกเขาขยันหาปลาในแม่น้ำเข้าบ้าน วันไหนที่หาปลามาได้ไม่เยอะจึงรู้สึกนอนไม่หลับ
ดังนั้น คนแต่ละกลุ่มเล็กๆ จึงยินดีที่จะแนะนำปลาต้มแถมให้กับลูกค้าเพราะมองว่ามันไม่มีต้นทุนอะไร
ถ้าเช่นนั้น ปลาต้มที่ยกออกไปในตอนนี้จะเหมือนกับยุคปัจจุบันไหม?
ไม่เหมือนกัน
ซ่งฝูหลิงเคยกินแล้วตอนอยู่ที่บ้าน หลังจากได้กิน นางก็บ่นกับแม่ของนางว่า “ท่านพ่อของข้าทำมั่วแล้ว ต้มจนปลาสุกและยังเติมเครื่องปรุงหม้อไฟอีก รสชาติแตกต่างจากปลาต้มดั้งเดิมมาก นี่จะเรียกว่าปลาต้มได้อย่างไร? ทำไมถึงเติมเครื่องปรุงหม้อไฟ จะรังแกคนที่นี่ที่ไม่เคยเห็นอาหารแบบนี้มาก่อนหรืออย่างไร?”
เฉียนเพ่ยอิงไม่อยากฟัง เพราะคิดว่าสามีของนางมีความสามารถ “พ่อของเจ้าก็ทำดีแล้ว ข้าจะบอกเจ้านะ ถึงแม้รสชาติจะไม่ดี แต่พวกเขาเคยกินมาก่อนหรือไม่? เจ้าไม่เชื่อก็ลองดูสิ พ่อของเจ้าไม่ได้ทำอาหารเพื่อขาย แต่เขาทำเพื่อโปรโมทเครื่องปรุงพวกนั้นต่างหาก”
ใช่แล้ว นั่นเป็นการโปรโมท
ในเวลาเดียวกัน ณ เมืองเฟิ่งเทียน
ถนนเส้นนี้ที่ออกนอกเมือง
วันนี้ก็ปรากฏแผงลอยใช้ผ้าน้ำมันกางเป็นเพิง