ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 362
ซ่งฝูเซิงพาพรรคพวกมาเมืองเฟิ่งเทียน กลายเป็นยิ่งยุ่งมากกว่า
บางครั้งก็ต้องยอมรับว่า การจับจ่ายใช้สอยในเมืองหลวงค่อนข้างสูง
คนเยอะ รายได้ต่อคนสูงเมื่อเทียบกับเมืองอื่นแล้ว
ยกตัวอย่างเช่น เด็กรับใช้ธรรมดาที่ทำงานในจวนใหญ่แต่ละแห่งมีรายได้จากเงินสีเทามากกว่าเมืองอื่นมาก
ในเมืองเฟิ่งเทียนแห่งนี้มักจะมีพ่อค้ามาขายของแปลกใหม่อยู่บ่อยครั้ง ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ก็มักจะพบเห็นสิ่งของแปลกตาบ่อยๆ และค่อนข้างที่จะยอมรับกับสิ่งของแปลกใหม่นี้มากกว่าผู้คนจากที่อื่นมาก
เมื่อพวกเขาได้ยินว่าเป็นพริกที่มีขายที่นี่ที่เดียว ก็ไม่ได้มีอาการแปลกใจมากมาย
ซ่งฝูเซิงตั้งใจเลือกใช้ถนนสายนี้ที่ออกนอกเมืองเป็นพิเศษ เพราะการเดินทางสะดวกมาก
เดิมทีเขาอยากจะไปตั้งแผงลอยขายตรงถนนใจกลางเมือง ที่นั่นเป็นศูนย์กลางการค้าของเมืองและจะได้อยู่ใกล้กับท่านแม่ของเขา แต่คนของทางการไม่สามารถให้เขาตั้งแผงลอยต่อกันยาวๆ ได้
ในพื้นที่นี้ เขาไม่รู้จักสนิทสนมกับคนของทางการที่พอจะพูดคุยได้เลย เขาจึงไม่กล้าตั้งแผงลอยสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่เหมือนท่านย่าหม่าที่รู้จักคนของทางการไปทั่ว
คําพูดนี้เป็นความจริง
ตอนนี้ซ่งฝูเซิงไม่ได้กังวลกับร้านแผงลอยที่กระจายไปขายยังอําเภอต่างๆ
ในเมืองถงเหยามีพี่สุยอยู่ใกล้ๆ ถึงแม้ว่าเขาจะดูแลได้ไม่ทั่วถึงก็ยังมีฉีหมิงที่เป็นมือปราบอยู่ด้วยนะ
ถ้าอำเภออวิ๋นจงกับอำเภอจยาเกิดเรื่องอะไรขึ้น ซ่งฝูเซิงก็ไม่กลัว
คราวก่อน เขาตามพ่อบ้านของลู่พั่นไปซื้อร้านค้า อาศัยบารมีที่รู้จักกับเจ้าหน้าที่ไม่น้อย แม้จะพบหน้ากันอีกครั้งแล้วเจ้าหน้าที่จะจำชื่อของเขาไม่ได้ แต่ก็คุ้นหน้าคุ้นตาแน่นอน
ถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นก็อาศัยหน้าตาอันคุ้นเคยดึงลู่พั่นที่อยู่เบื้องหลังมาออกหน้าแทน หากมีคนกล้ามาสร้างปัญหาที่ร้านของพวกเขา เจ้าหน้าที่เหล่านั้นจะต้องให้ความเป็นธรรมกับเขาแน่นอน
ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า เมืองเฟิ่งเทียนคล้ายกับเมืองหลวงของยุคปัจจุบัน แม้แต่เด็กรับใช้ก็ยังไม่กล้าล่วงเกิน ทุกครั้งที่ซ่งฝูเซิงมาที่นี่ก็จะคอยระมัดระวังคําพูดและการกระทำของตนเองมากขึ้น
แต่จะว่าไปแล้ว พวกเขาก็เป็นคนทำการค้าขายอย่างสุจริต พวกเขาก็ไม่ได้ทําผิดอะไรจึงไม่มีอะไรต้องกลัว
เพียงแต่ หากต้องจ่ายค่าภาษีเท่าไหร่ก็ต้องจ่ายไป ไม่กล้าคัดค้าน และไม่ตั้งแผงมั่วซั่วต้องฟังคําสั่งของเจ้าหน้าที่เท่านั้นเอง
เกาเถี่ยโถวอยู่หน้าเตาไฟ เขาโรยเกลือลงบนเนื้อแกะแล้วคอยพลิกกลับด้านและโรยด้วย พริก เสียงของเนื้อย่างที่กำลังย่างอยู่ส่งเสียงดังขึ้นมา กลิ่นหอมอบอวลลอยออกไปไกล
เขาหรี่ตาและตะโกนเสียงดัง
“เนื้อแพะย่าง เนื้อแพะย่าง เนื้อแพะชั้นดี ใช้วัตถุดิบพิเศษ รับรองได้กินแล้วจะติดใจจนอยากจะกินอีก ไม่อร่อยไม่ต้องจ่ายเงิน”
เกาเถี่ยโถวกำลังย่างเนื้อแพะ เขาเกือบจะน้ำลายไหลออกมาเสียก่อนทั้งที่ยังย่างเนื้อไม่เสร็จ
เขาคิดในใจ กินไม่ได้ กินไม่ได้จริงๆ
ถ้าสามารถกินได้ เขาก็อยากจะกินไปสักไม้หนึ่งก่อน ไม่ต้องมาก แค่สิบไม้ก็พอ
หลังจากนั้นยืนอยู่ข้างทาง สูดอากาศเย็นๆ กินเนื้อที่ย่างเสร็จใหม่ๆ คงจะอร่อยมาก
ทางที่ดีควรโรยพริกเพิ่มอีกหน่อย แล้วตามด้วยเหล้าเย็นๆ อีกสักถ้วยลงท้อง นั่งสั่นขา เนื้อหนึ่งคํา เหล้าหนึ่งคํา คงจะมีความสุขมากเลย
แต่มันก็เป็นได้เพียงแค่ความฝัน
ถึงแม้พวกเขาจะทําอร่อยเพียงใด ตนเองก็อดเสียดายไม่ได้ เพราะเนื้อแพะมีราคาแพง
ยังต้องเก็บเงินไว้ซื้อข้าวสาร เก็บเงินสร้างบ้าน และเก็บเงินไว้สู่ขอเถาฮวา
เถาฮวา?
ตอนนี้เถาฮวาหาเงินได้มากกว่าเขาอีก เรื่องนี้น่ากังวลใจนัก
เดิมทีเถียนสี่ฟาก็รักเอ็นดูเถาฮวาเป็นแก้วตาดวงใจ
ต่อไปครอบครัวของเถาฮวาคงจะมีเงินเยอะกว่าครอบครัวของเขาแน่ เถาฮวาจะสนใจเขาหรือไม่?
เกาเถี่ยโถวมองหูจือ “หูจือ เจ้ามาย่างหน่อย เปลี่ยนมือกัน ข้าจะไปทำบะหมี่”
เกาเถี่ยโถวครุ่นคิดหาเส้นทางตีสนิท หูจือเป็นพี่ชายของเถาฮวา ประจบเขาไว้ อย่างน้อยก็ต้องมีประโยชน์บ้าง
เขาไม่รู้ว่าการที่เขาทำดีกับหูจือเป็นพิเศษจะทำให้เถาฮวาสับสนจนเกิดการเข้าใจผิด
เพราะยามที่เกาเถี่ยโถวเห็นเถาฮวา เขาก็ไม่กล้าทำอะไรแม้แต่จะผายลมก็ตาม
อย่างมากเขาก็ยิ้มให้ แล้วก็รีบเดินอ้อมเถาฮวาออกไป
บางครั้งเถาฮวาก็รู้สึกว่าเถี่ยโถวมองนางด้วยสายตาแปลกๆ น้องพั่งยาก็พูดเปรยกับนาง รู้สึกว่าเขาชอบตนเอง ที่จริงแล้วพี่เถี่ยโถวเป็นคนดีจริงๆ ที่สำคัญเถาฮวาไม่อยากจากทุกคนไปอยู่ที่อื่น ถ้าเช่นนั้นก็จะไม่แต่งออกไป หาแต่งงานกับคนที่อยู่แถวนี้ ถ้าเลือกพี่เถี่ยโถวหล่ะ นางเคยแอบคิดในใจตอนกลางคืนมาก่อน
แต่บางครั้งนางก็รู้สึกว่าตนเองคิดมากเกินไปหรือไม่?
อาจเป็นเพราะพี่เถี่ยโถวสนิทสนมกับพี่ชายของนางเป็นอย่างดี เขาถึงปฏิบัติกับนางไม่เหมือนใคร
เจ้าดูสิ พอเขาเห็นพี่ชายของนางก็ยิ้มแย้มทันที
ถ้าพี่ชายของนางมีงานหนักอะไรต้องทำ เกาเถี่ยโถวก็จะออกมาช่วยทันที แต่เมื่อเขาเห็นหน้านางกลับวิ่งหนีไปก่อน
ตอนนี้หูจือกําลังทำเส้นบะหมี่ ซ่งฝูเซิงสอนเด็กพวกนี้ให้เป็นพ่อครัว เมื่อเขาได้ยินก็พูดทั้งที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา “ไม่ต้อง เจ้าอย่ามัวแต่คุยกับข้าเลย นี่ข้ายังมีอีกหลายชามที่ต้องทำ แทบจะจำไม่ได้ว่าเป็นของโต๊ะไหนบ้าง”
บะหมี่เส้นเล็กที่อยู่ในชามแต่ละใบ ใส่ลงไปในน้ำซุปกระดูก ต้มจนสุกแล้วตักขึ้นมา ตักน้ำซุปหม้อไฟใส่เข้าไป นี่สิคือบะหมี่หมาล่าหนึ่งชาม
ถ้าอยากได้บะหมี่ต้มยำก็เติมน้ำส้มสายชูเข้าไปหน่อย แค่นี้ก็ได้บะหมี่ต้มยำแล้ว
ต้านต้านเมี่ยน?
ปาสู่เสี่ยวเมี่ยน?
มี! พวกข้ามีอะไรที่ไม่มี!
เพิ่มน้ำซุปหม้อไฟเพื่อให้น้ำซุปเป็นสีแดงเต็มชาม ซึ่งแตกต่างจากบะหมี่หมาล่าเพียงแค่ตักเล็กน้อยเท่านั้น นั่นก็เป็นต้านต้านเมี่ยนไง
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทําไมซ่งฝูหลิงถึงบ่นพ่อของนาง นี่อะไรกัน? ทําไมถึงทำเลียนแบบไม่แนบเนียนแบบนี้ ไม่ว่าจะกินอะไรก็ใส่เครื่องปรุงหม้อไฟลงไป? ท่านพ่อ ท่านเป็นพ่อครัวไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงหลอกชาวบ้านยุคโบราณขนาดนี้?
ตอนนี้เอง ซ่งฝูเซิงกําลังเก็บเงินค่าอาหารด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขานำเงินทั้งหมดยัดใส่ลงในกระเป๋าที่ภรรยาเย็บให้
ในสมองก็กำลังนึกถึงคําพูดที่ลูกสาวบ่นใส่เขาพอดี เขาคิดในใจว่า หลอกหรือ? ล้อเล่นไป ดูพวกเขากินอย่างเอร็ดอร่อยสิ เป็นเพราะเขา การปรากฏตัวของเขา ทำให้ชาวบ้านยุคโบราณได้มีโอกาสลิ้มลองอาหารรสชาติใหม่ๆ เลยนะ
มีเกวียนมาหยุดอยู่หน้าเพิง
เป็นชายวัยกลางคนสองคน เดิมทีคิดจะรีบออกนอกเมืองเพื่อกลับไปกินข้าวที่บ้าน แต่ได้กลิ่นหอมนี้ที่ลอยมาแต่ไกล
สองคนปรึกษากันว่าจะลงจากรถเพื่อไปดูว่าขายของกินอะไร
เขาชี้ไปที่ซอสหมาล่ารสเผ็ดและถามขึ้น “มันคืออะไร?”
และชี้ไปที่ลูกชิ้นไก่ ผักกาดขาวกับหัวไชเท้าที่เสียบไม้วางอยู่ด้านนอก “กินอย่างไร?”
“ใส่หม้อต้มให้เดือดท่านก็กินได้แล้ว อย่าดูถูกผักกาดขาวกับหัวไชเท้าเสียบไม้ น้ำซุปเผ็ดร้อนจะเกาะติดกับผักทั้งหมด เมื่อนำออกมากินจะมีรสชาติดี หอมอร่อยมาก ไม่ด้อยไปกว่าเนื้อสัตว์เลย”
รสชาติไม่ด้อยไปกว่าเนื้อสัตว์ คำพูดนี้ดูเหมือนพูดจาเหลวไหล มันจะอร่อยเหมือนเนื้อสัตว์ได้อย่างไรกัน
ชายวัยกลางคนสองคนนี้หิวมาก หลังจากสอบถามมาแล้วก็ชี้ไปที่เนื้อแพะเสียบไม้ที่อยู่ในมือเกาเถี่ยโถว หนึ่งคนหนึ่งไม้ เมื่อไม่มีที่นั่งก็นั่งกินบนรถเกวียนของตนเอง เมื่อยื่นไม้แหลมมาให้ยังกล่าวชื่นชมว่า “เหล้าร้านของเจ้าก็รสชาติดีเช่นกัน”
“ท่านเป็นคนรู้จริง นี่เป็นเหล้าที่หมักเอง พ่อตาของข้ามีฝีมือในการหมักเหล้าและมีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือไปทั้งใกล้และไกล เขาเปิดร้านขายเหล้า”
“ร้านเหล้าของเจ้าชื่ออะไร? ร้านไหนในเมือง?”
“ในเมืองนี้ ไม่มีร้านไหนเลย”
ครั้งนี้ซ่งฝูเซิงถูกคนอื่นมองว่าเป็นคนขี้โม้
เขาก็ไม่ได้อธิบายอะไรมากนักเพราะในเพิงมีคนตะโกนเรียกให้คิดเงิน
“นี่! เจ้าอย่าเพิ่งไปสิ เหล้าที่นี่ซื้อกลับไปได้ไหม?”
ซ่งฝูเซิงได้ยินก็หันกลับมาโบกมือ “ไม่ขาย ไม่ขาย หวังว่าท่านจะเข้าใจ หมักเหล้าไว้ไม่มาก คนในเพิงยังไม่พอดื่ม รอรอบหน้าท่านเดินผ่านมาทางนี้ ถ้าตอนนั้นมีเหล้าเยอะ ข้าจะขายให้ท่านนะ”