ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 363
เมื่อถึงช่วงเวลาอาหารมื้อกลางวันแล้ว
สถานที่ราชการแต่ละแห่ง แต่ละท้องที่ต่างก็อยู่พักช่วงกลางวัน คนในยุคโบราณก็มีช่วงเวลาพักกลางวัน
อย่าว่าแต่ละตำแหน่งที่ต้องหยุดพักผ่อนเลย แม้แต่ข้าราชการใหญ่ที่เข้าไปในวัง ในตอน นี้ก็เป็นเวลาเลิกงานแล้ว
บนถนนใจกลางเมืองเฟิ่งเทียน ท่านย่าหม่ากำลังยุ่งอยู่ในร้าน ส่วนแผงลอยของกินของพวกซ่งฝูเซิง พวกเขาก็ยิ่งยุ่งอยู่กับการทำงานที่ตอนนี้ร้านมีลูกค้าคึกคักมากกว่าร้านของท่านย่าหม่าที่มีการเล่าเรื่องมากนัก
ใช่แล้ว หลังจากเปลี่ยนคนเล่าเรื่อง มีผู้ฟังการเล่าเรื่องเจ้าประจำบางคนคิดถึงซ่งฝูเซิง
ท่านย่าหม่าคอยยกอาหารไปให้โต๊ะไหน ลูกค้าโต๊ะนั้นก็มักจะถามถึงคนเล่าเรื่องคนก่อน
ผู้ฟังใหม่ที่เข้ามาฟังก็ไม่ได้มีแค่เหล่าทหาร ยังมีพวกคุณชายที่อยู่โรงเตี๊ยมข้างๆ ที่เข้ามาร่วมฟังด้วย
โรงเตี๊ยมสองชั้นมีเสียงชื่นชมออกมาว่าดีมาก พวกเขาจะไม่ประหลาดใจได้อย่างไร?
และมีลูกค้ามาจากโรงน้ำชาของเถ้าแก่ฉี ทั้งที่พวกเขาอยู่ที่นั้นฟังเรื่องเล่ายังไม่จบ แต่เมื่อได้ยินมาว่าที่นี่เล่าเรื่องราวได้รวดเร็วฉับไว เล่าเนื้อหาที่แปลกใหม่ พวกเขาก็รู้สึกประหลาดใจจึงตามมาดู
ท่านย่าหม่าก็คาดไม่ถึงว่า เถ้าแก่ฉีจะทำให้ธุรกิจของนางดีขึ้นขนาดนี้
นี่เป็นลูกค้าใหม่สองคน เมื่อได้ยินว่ามีคนสอบถามถึงคนเก่า เขาก็ถามด้วยความสงสัย “พวกเจ้ากำลังถามถึงใครหรือ?”
“ที่นี่มีคนเล่าเรื่องอยู่คนหนึ่ง วาจาดี เขาพูดได้ดีมาก ดีกว่าคนผู้นี้พูดเสียอีก”
“คนนั้นไปไหนแล้ว?”
ท่านย่าหม่าพูดด้วยรอยยิ้ม “เปิดขายอาหารอยู่ริมทาง ใช่แล้ว เหมือนกับร้านแห่งนี้ที่ขายของกินแปลกใหม่ เพียงแต่ร้านของพวกเขามีอาหารให้เลือกค่อนข้างหลากหลาย นายท่านทั้งหลาย หากมีเวลาว่างสามารถไปลองชิมดูได้นะเจ้าคะ”
พูดจบนางก็เพิ่งนึกได้ว่าคนที่มาร้านนางเป็นคนที่มีฐานะ พวกเขาคงไม่ไปนั่งกินอยู่ในเพิงริมข้างทาง
ลูกค้าร้านของนางไม่ใช่คนธรรมดาที่จะเข้ามา ท่านย่าหม่าก็พูดต่อ “มีเสี่ยวเอ้อร์คอยบริการส่งอาหาร”
พวกเขายังให้บริการส่งอาหารถึงที่
——
ถ้าพูดถึงวันแรกที่เปิดกิจการและมีลูกค้าเข้าร้านไม่ขาดสาย นั่นเป็นเพราะซ่งฝูเซิงเลือกสถานที่ได้ดี
ยกตัวอย่างเช่น ถนนร้านค้าอันคึกคักของอำเภอถงเหยา
ซ่งฝูเซิงเลือกสถานที่ที่อยู่ใกล้กับพี่สุย
พี่สุยคิดเข้าข้างตนเองว่า ถึงแม้ซ่งฝูเซิงไม่อยู่ คนที่มาก็คงจะเป็นพวกกัวคนโต ก็คงให้เขาคอยดูแล
แท้จริงแล้วที่ซ่งฝูเซิงเลือกสถานที่นั้นเพราะบริเวณด้านข้างมีโรงเตี๊ยมหลายหลัง
เขาต้องการบรรลุถึงเป้าหมาย ช่วงฤดูหนาว ยามลมเย็นพัดมา หน้าต่างของโรงเตี๊ยมไม่ ได้ทำด้วยกระจกแต่เป็นหน้าต่างกระดาษที่ลมสามารถพัดผ่านได้ กลิ่นหอมของเครื่องปรุงหม้อไฟที่ลอยมา เขาเชื่อว่าอย่างไรก็ต้องลอยเข้าไปในโรงเตี๊ยมและเข้าจมูกคนที่มากินข้าวอยู่ด้านในได้
คนที่ไปโรงเตี๊ยมอยู่บ่อยครั้ง พวกเขาไม่ขาดแคลนเงิน ถ้าเห็นของกินแปลกใหม่ก็ยอมที่จะควักเงินซื้อ
ซ่งฝูเซิงกำลังกังวลอยู่ว่าจะไปเรียกลูกค้าที่ไหน นี่ดีว่าอาศัยพื้นที่ที่มีโรงเตี๊ยมหลายแห่งในการดึงดูดลูกค้าให้เข้าร้านโดยที่ไม่ต้องใช้เงินในการโฆษณา แต่ใช้กลิ่นในการดึงดูดลูกค้าแทน
เขาไม่เชื่อว่ากลิ่นพริกที่เขามีเพียงแห่งเดียวจะดึงดูดผู้คนในที่นี้ไม่ได้
ที่นี่อยู่ทางตอนเหนือ หลังจากกินพริกก็ทำให้ร่างกายอบอุ่น และมีรสชาติไม่เหมือนกับพริกไทย
พริกไทยมีรสชาติไม่ค่อยอร่อย ใส่มากก็ขม และมีรสเผ็ดที่ไม่เหมือนกันกับพริก
นี่คืออำเภอถงเหยา
ถ้าเป็นเหมือนกับเขาเลือกสถานที่ตั้งขายของในเมืองเฟิ่งเทียนจะยิ่งพิถีพิถัน
ถนนเส้นทางให้ม้าเดินออกนอกเมือง
ได้ยินมาว่าสถานที่แห่งนี้มีผู้คนมาจากทั่วสารทิศ ไม่ให้ตั้งแผงลอยขายของที่ถนนใจกลางเมืองกลัวจะสร้างทิวทัศน์ที่ไม่ดีรบกวนสายตาพวกชนชั้นสูง แต่เมื่อพวกเขาอยากออกนอกเมืองก็มีเพียงถนนสายนี้ที่สามารถออกนอกไปได้
โดยปกติแล้ว ถนนสายนี้ต่อให้มีโรงเตี๊ยมและมีแผงลอยขายของกินหลายแห่ง พวกผู้ดีชนชั้นสูงทั้งหลายก็ไม่ใส่ใจหยุดม้าลงมาซื้อของกินแต่อย่างใด
แต่อย่าลืมว่าสิ่งที่เขาขายคือรสชาติเผ็ด
เครื่องปรุงรสหม้อไฟหอมมาก แม้ว่าพวกผู้ดีเหล่านั้นจะไม่ลงมาจากรถ แต่จมูกของพวกเขาก็ยังได้กลิ่นแน่นอน เพราะหน้าต่างรถม้าก็ไม่ได้ปิดตาย ได้กลิ่นหอมที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน พวกเขาก็ต้องแวะสอบถามด้วยความประหลาดใจเป็นแน่
เมื่อรู้สึกประหลาดใจกับสิ่งใด มันก็สามารถดึงดูดผู้คนให้มาสนใจได้
ลองดูเพจเว่ยป๋อในปัจจุบันสิ เมื่อมีเรื่องราวอะไรใหม่ๆ ก็มักจะมีคนเข้าไปดูและเพิ่มจำนวนคนเข้ามาเรื่อยๆ แบบนั้นเลย
เหตุผลเดียวกับเพจเว่ยป๋อใช่หรือไม่?
ขอเพียงมีคนจำนวนมากเข้ามา มีผู้ดี ชนชั้นสูงเดินทางผ่านมามากมาย จะต้องมีคนในนี้ใช้จ่ายเงินแน่นอน
วันหนึ่งมีรถผ่านไปเป็นร้อยคัน หากพวกเราสามารถหยุดรถได้สิบคัน ทำให้คนบนรถสิบคันนี้ประหลาดใจจนต้องสอบถามและลงมากิน พวกเราก็ถือว่าประสบความสำเร็จส่วนหนึ่งแล้ว
อีกอย่าง นี่ก็เป็นของกินที่ไม่ได้มีราคาแพงมากมาย เพียงแค่ซื้อซอสพริกคงไม่ทำให้พวกคนมีเงินทั้งหลายลำบากในการตัดสินใจซื้อ
เมื่อรถม้าคันแรกหยุด ซ่งฝูเซิงก็รู้ว่าลูกค้ามาแล้ว พวกเขาอาจจะซื้อเครื่องปรุงหม้อไฟหรือซื้อผงพริก
คนที่มาไม่ได้มีฐานะใหญ่โตมาก
ดูจากการแต่งกายแล้ว น่าจะเป็นพวกคหบดีมากกว่า
เขาชี้ไปที่เนื้อแพะที่เสียบไม้ “นี่เป็นเนื้ออะไร?”
“เนื้อแพะ”
“ใช้ไม้เป็นถ่านย่างหรือ?”
“ใช่แล้ว ย่างเนื้อแพะเสียบไม้ ใช้ถ่านไม้และใช้เหล็กในการทำตะแกรงก็สามารถย่างได้”
ซ่งฝูเซิงไม่กลัวคนอื่นจะทำเลียนแบบ ตะแกรงย่างเนื้อแพะต้องย่างอย่างไร เขาก็นำออกมาย่างข้างนอกโดยมีเกาเถี่ยโถวกับต้าหลังเป็นคนย่าง
เขาคาดหวังว่าคนที่เดินผ่านมาจะเฉลียวฉลาดพอที่จะเรียนรู้การปิ้งย่างจากเขา วันหนึ่งสามารถหาเงินได้เยอะ รีบลงมือหน่อย
ทำไมเขาถึงไม่กลัว ก็พวกเจ้ามีพริกเหมือนข้าไหมเล่า?
ถ้าเนื้อแพะเสียบไม้ไม่มีพริกจะอร่อยไหม? ถึงย่างออกมาได้ก็อาจจะขาดรสชาติไปบ้าง เจ้าก็ต้องมาซื้อพริกที่ร้านของข้าอยู่ดี
คนที่มาถึงต่างก็ชี้ไปที่หม้อที่มีสีแดงและสอบถามว่ามันคืออะไร
ซ่งฝูเซิงมาออกต้อนรับด้วยตนเองแล้วบอกกับพวกเขาว่ามันคืออะไร
และอธิบายว่าเป็นเครื่องปรุงรส เพียงท่านต้มก็จะได้ลิ้มรสชาติแสนอร่อย
หากท่านใส่น้ำมันงากับน้ำส้มสายชูลงอีกไปหน่อย ต้มเนื้อแพะหรือเนื้อหมูจนสุก แตะน้ำมันงาอีกนิด รสชาติก็จะยิ่งอร่อยมาก
ในฤดูหนาว ถ้าที่บ้านมีซุ้มนั่งจะยิ่งดีมาก รับรองเพื่อนสามถึงห้าคน นั่งอยู่ในซุ้ม มองทิวทัศน์ด้านนอก มีหิมะตกปรอยๆ ยิ่งดีใหญ่ ดื่มน้ำซุปร้อนๆ จะยิ่งรู้สึกดีเป็นพิเศษ
“แล้วนี่ ข้าจะซื้อไปอย่างไร?” เขาถามขึ้น
เขากังวลใจว่าจะเอาน้ำซุปกลับไปได้อย่างไร
ไม่สามารถจะเอาคนกับหม้อไปด้วยได้ อีกทั้งตอนนี้มีคนนั่งกินอยู่ในเพิง ในเพิงมีคนหลากหลาย เขาก็รู้สึกรังเกียจ
ซ่งฝูเซิงรอคำพูดประโยคนี้ พวกเขาขายเครื่องปรุงรสหม้อไฟ
หนึ่งก้อนเล็กสามารถกินได้หนึ่งมื้อ
แค่ซื้อเครื่องปรุงรสกลับบ้าน วิธีการทำก็ไม่ยุ่งยาก เพียงแค่ต้มน้ำซุปหรือต้มน้ำเปล่าก็ได้ นำก้อนปรุงรสนี้ใส่เข้าไป เมื่อน้ำเดือดก็ใส่เนื้อสัตว์กับผัก แค่นั้นก็เสร็จแล้ว
ลูกค้าท่านนี้ได้ฟังก็ให้ผู้ติดตามซื้อเครื่องปรุงรสหม้อไฟก้อนใหญ่
ที่เขาซื้อก้อนใหญ่เพราะที่บ้านมีคนสิบกว่าคน และสามารถนำไปต้มได้ห้าถึงหกมื้อ
เครื่องปรุงรสนี้ ถ้าเป็นคนกินเผ็ดก็สามารถใส่ลงไปเยอะหน่อย รสชาติจะเข้มข้นมากขึ้นไปอีก แต่ถ้ากินเผ็ดไม่เก่งก็ใส่ลงไปน้อยหน่อย ต้องลองกะปริมาณเอาเอง
ซ่งฝูเซิงรับเงินมาหนึ่งตำลึงครึ่ง ขายเครื่องปรุงรสนี่ นับดีกว่าการที่เขาต้องยุ่งวุ่นวายทั้งมาก เมื่อเทียบกับต้องคอยทำบะหมี่และย่างเนื้อย่าง รายได้ก็ดีกว่าและยังไม่ต้องใช้แรงมาก
ต้าหลัง เกาเถี่ยโถว หลานชายคนโตของท่านลุงซ่งมองไปยังรถม้าที่เคลื่อนจากไปและคิดในใจ
ลุงสามสุดยอดจริงๆ
ตอนอยู่ที่บ้าน ลุงสามก็บอกว่าในตั้งแผงลอยขายเพราะไม่มีวิธีอื่น พวกเขาไม่รู้จักพริก ต้องสอนพวกลูกค้าว่าต้องกินอย่างไร
เเต่ถ้าอยากหาเงินโดยไม่เสียเรี่ยวแรงมากและหาเงินได้ไว ก็ต้องคิดวิธีการขายเครื่องปรุงรสออกไปให้ได้
อย่างน้อยก็ต้องตั้งแผงลอยสักระยะหนึ่ง เพื่อให้พวกเขารู้ว่าร้านของเขาขายเครื่องปรุงหม้อไฟหมาล่าและยังขายพริกป่น พร้อมกับสอนวิธีการทำให้กับพวกเขา ต่อไปพวกเราก็สามารถพักผ่อนอยู่กับบ้านได้แล้ว
ลุงสามเก่งมาก
เพิ่งจะส่งรถม้าคันหลังไป
ในเพิงยังมีคนกำลังกินข้าว และมีลูกค้านั่งรอเนื้อแพะเสียบไม้ที่กำลังย่างอยู่ เถ้าแก่เฉิน ก็เดินมา
เถ้าแก่เฉินคิดว่า ครั้งก่อนเขากับซ่งฝูเซิงพูดคุยกันเกี่ยวกับธุรกิจพริก ในตอนนั้นเขาคิดว่าตัวเขาเองชื่นชมในความสามารถของซ่งฝูเซิงมากแล้ว
เพราะคิดว่าซ่งฝูเซิงนำพื้นที่ขนาดใหญ่มาใช้ในการเพาะปลูก อีกทั้งดูเหมือนเป็นการปลูกผัก ปลูกทั้งด้านหน้าและด้านหลังสวน หลังจากปลูกแล้วก็ขายราคาไม่แพง ขายให้คนนอกและเป็นผักแปลกๆ ที่ไม่เหมือนใคร ถึงแม้จะมีราคาแพงกว่าคนอื่นไม่กี่เหวิน แต่ไม่กล้าคิดเลยว่าแค่ครอบครัวหนึ่งซื้อไป เงินก็ทยอยเข้ากระเป๋าของน้องซ่งแล้ว ถ้าเช่นนั้นคงมีรายได้เยอะมาก
สามารถทำได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว
ไม่คิดว่าเขาจะประเมินซ่งฝูเซิงต่ำไป
“นี่คืออะไร?”
“เครื่องปรุงรสหมาล่า”
“ปัวปัว?”
“เด็กที่บ้านตั้งชื่อไปอย่างนั้น แท้จริงแล้วจะเรียกอะไรก็ได้ พี่เฉิน เชิญนั่งก่อน”
“ไม่นั่ง ข้าจะยืนดูสักหน่อย”
เถ้าแก่เฉินกำลังวิจัยการย่างเนื้อแพะ ลูกชิ้นไก่ ปลาต้ม โดยมีซ่งฝูเซิงยืนเป็นเพื่อนอยู่ ข้างๆ เขาก็พูดให้เถ้าแก่เฉินฟัง
“ข้ายังทำธุรกิจเล็กๆ นี้ได้ไม่ละเอียดรอบคอบนัก…
…ข้าไม่ปิดบังพี่เฉิน ที่นี่ข้าทำเนื้อสัตว์ หากทำปลาก็ แค่ใช้ช้อนตักเครื่องปรุงรสใส่เข้าไป ก็บอกว่าเป็นอาหารแล้ว…
…ที่จริงถ้าตั้งใจทำเมนูนี้ให้ประณีตอีกหน่อยก็คงจะมีรสชาติที่อร่อยมากขึ้น”
“อ้อ”
“ไม่เชื่อ? ท่านดูปลาเล็กของข้านี่สิ นี่เป็นปลาแช่แข็ง สดใหม่ ท่านลองดู ถ้านำมาผัดและใส่เครื่องปรุงเผ็ดเข้าไปสักหน่อย รับรองว่ารสชาติจะไม่เหมือนเดิม”
แววตาของเถ้าแก่เฉินเป็นประกาย เขาเหล่ตามองน้ำซุปเผ็ดที่อยู่ในหม้อและเดินเข้าไปดูเกาเถี่ยโถวย่างเนื้อแพะ
เถ้าแก่เฉินถามขึ้น “ย่างให้ข้าสองไม้ได้หรือไม่?”
เขาเป็นเพื่อนของท่านลุงสาม ไม่มีปัญหาแน่นอน แต่สองไม้จะพอหรือ?
สองไม้ก็พอ
สักครู่หนึ่ง เกาเถี่ยโถวก็ย่างเสร็จ เขากำลังจะโรยพริกด้านบน เถ้าแก่เฉินก็โบกมือยิ้มและเอ่ยขึ้น “ไม่ต้องใส่เพิ่ม ข้าขอลองชิมดูก่อน”
ซ่งฝูเซิงนั่งอยู่ด้านข้าง เขาได้ยินก็ขมวดคิ้ว
ไม้ที่สอง เถ้าแก่เฉินบอก “เจ้าใส่เถอะ เพิ่มพริกเข้าไปหน่อย”
หลังจากกินเสร็จไปสองไม้ เถ้าแก่เฉินก็นั่งอยู่ตรงหน้าซ่งฝูเซิง เขามือขึ้นแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “น้องชาย พี่อยากคุยกับเจ้าหน่อย”
ซ่งฝูเซิงหัวเราะ เขาคิดในใจ ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านจะต้องมาเจรจากับข้า
เจ้าสามารถเปิดโรงเตี๊ยมที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในเมืองเฟิ่งเทียนได้ เจ้าจะเป็นคนโง่เขลาได้อย่างไร เจ้าจะไม่ซื้อเครื่องปรุงรสได้หรือ
ซ่งฝูเซิงยินดีต้อนรับร้านที่มาสั่งจองซื้อเครื่องปรุงกับเขาที่นี่
ถ้าคนพวกนี้ทำไม่เป็น เขาก็สามารถให้ข้อเสนอแนะและช่วยคิดเรื่องรายการอาหารได้
เพื่อการร่วมธุรกิจในระยะยาว ถ้าให้ดีโรงเตี๊ยมแต่ละแห่งสามารถขายอาหารรสเผ็ดได้ทุกวัน และต้องใช้พริกของเขาตลอด
ถ้าเป็นเช่นนั้น ความคาดหวังของเขาที่จะนั่งอยู่บ้านเพื่อรอรับเงินคงอยู่ไม่ไกล