ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 364 / ตอนที่ 365
ตอนที่ 364
ซ่งฝูเซิงกับเถ้าแก่เฉินเดินออกไปคุยเรื่องการจองเครื่องปรุงรส
คาดว่าเขาอาจจะต้องถกแขนเสื้อทำอาหารหลายอย่าง
เมื่อซ่งฝูเซิงเพิ่งเดินออกไป ก็มีชายสูงวัยคนหนึ่งเดินเข้ามาในเพิง
คุณลุงท่านนี้กล้าใช้จ่ายเงิน
เขาสั่งเนื้อแพะยี่สิบไม้ หมี่กึงยี่สิบไม้ บะหมี่หมาล่าหนึ่งชาม หลงเชาโส่วหนึ่งชาม ซอสหมาล่ารสเผ็ดหนึ่งชุด
และใส่ลูกชิ้นไก่ห้าไม้ลงไปในหม้อ ต้มลูกชิ้นหมูห้าไม้ ผักกาดขาวกับหัวไชเท้าสิบไม้และต้มปลาเล็กสองตัว
เขามองถุงที่วางอยู่บนโต๊ะยาว “ถั่วลิสงหรือ?”
ซ่งฝูกุ้ยบอก “ใช่แล้ว เป็นถั่วรสหมาล่า รสชาติอร่อยมาก มีรสเผ็ด”
“เอามาให้ข้าหนึ่งจาน”
ซ่งฝูกุ้ยนำสมุดมาจด เขาเรียนการวาดบันทึกลงในสมุดจดจากท่านย่าหม่า หากขายไปสิบไม้ก็ให้วาดวงกลม ยี่สิบไม้ให้วาดวงกลมสองวง หนึ่งชุดก็ให้วาดเป็นเส้นแนวนอน เขาถามและวาดไปด้วย
“ท่านจะกินหมดหรือ? ไม่ต้องสั่งมาเยอะขนาดนี้ก็ได้ ช่วงนี้พวกข้าออกมาตั้งแผงลอยบ่อย วันนี้ท่านอาจจะกินอย่างหนึ่ง พรุ่งนี้ค่อยสั่งกินอีกอย่างหนึ่งก็ได้”
ท่านลุงพูดด้วยรอยยิ้ม “กลิ่นนี้ลอยไปไกล ข้าก็เลยตามกลิ่นมา ถ้าไม่ลองกินทุกอย่างก็คงรู้สึกอดใจไว้ไม่ได้”
ซ่งฝูกุ้ยพยักหน้าอย่างยิ้มแย้ม “ท่านพูดถูก ยิ่งช่วงกลางวันที่กำลังยุ่งอยู่ คนที่มาที่นี่ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าตามกลิ่นหอมนี้มา”
“ตกลงนี่มันคืออะไรกัน? ทำไมต้องรอเปิดหม้อ ลมพัดกลิ่นมาก็รู้สึกแสบจมูก”
ซ่งฝูกุ้ยลงบันทึกเรียบร้อยแล้วเขาก็ให้ต้าหลังกับหลานชายคนโตของลุงซ่งทำงาน ให้เกาเถี่ยโถวย่างเนื้อเสียบไม้
มองเห็นลูกสี่ของท่านยายซ่งเอ้อร์กับหูจือที่กำลังเก็บชามตะเกียบที่เปื้อน เขาก็โค้งตัวส่งลูกค้าที่กำลังเช็ดปากหลังจากกินเสร็จ
เวลานี้เป็นช่วงที่เลยเวลากินข้าวแล้ว ในเพิงก็ไม่ค่อยมีคนแล้ว
ซ่งฝูกุ้ยถึงกับกล่าวคำขอโทษ “เมื่อครู่ยุ่งอยู่ ทำให้ท่านต้องคอยนานเลย”
ตอนนี้ไม่มีแขกคนอื่นแล้ว เขาจึงเดินมานั่งตรงหน้าท่านลุงและเอาเท้าเขี่ยถาดใส่ถ่านที่ให้แขกผิงไฟมาไว้ด้านหน้า ก่อนที่เขาจะตอบคำถาม
“นี่เรียกว่า พริก พริกของร้านพวกข้าเอง ถ้าท่านลองกินแล้วจะรู้ว่ารสชาติไม่เหมือนกับพริกไทย รสชาติมันแตกต่างกัน…
…พวกข้าทำไมถึงมีพริก?…
…โอ้ พูดไปก็เรื่องยาว เห็นท่านดูมีความเมตตา ข้าจะพูดความจริงกับท่าน เดิมทีพวกข้าไม่ใช่คนพื้นที่นี้ ท่านสามารถฟังสำเนียงการพูดของข้าได้…
…พริกของพวกข้า มีที่นี่ที่เดียว…”
เริ่มเล่าเรื่องให้คนอื่นฟังแล้ว
ซ่งฝูกุ้ยเล่าไป บะหมี่ของท่านลุงก็ทำเสร็จแล้ว เขากินไปแล้วฟังฝูกุ้ยเล่าเรื่องราวไปด้วย
ท่านลุงถามขึ้นมาบ้าง “พริกของเจ้านั้น จะต้องทำให้สุกถึงกินได้ใช่ไหม?”
“ไม่ต้อง พริกของพวกข้านั้นกินดิบก็ไม่มีปัญหาอะไร มีทั้งสีเขียว สีแดง เราสามารถกินได้เลย ทำเอามาทำเป็นน้ำจิ้มหรือจะล้างแล้วกินเข้าปากเลยก็ได้ แค่กัดเข้าไปก็ได้รสเผ็ดแล้ว…”
ท่านลุงพูดเสร็จเขาก็ชี้ไปที่หม้อไฟสีแดงๆ “แล้วถ้ากินดิบๆ รสชาติจะเหมือนกับหม้อไฟของเจ้าไหม? ถึงแม้จะอยู่ไกลก็ยังได้กลิ่น”
ซ่งฝูกุ้ยโบกมือ
“รสชาติไม่เหมือนกัน มันเหมือนกับผักที่เด็ดออกมากินดิบๆ แบบนั้น…
…เหมือนกับผักในสวนของเราที่เพิ่งเด็ดออกมาใหม่ๆ และล้างจนสะอาดแล้วนำมากิน มันจะไม่มีรสชาติหอม…
…แล้วสิ่งนี้ของพวกข้าคืออะไร? ทำไมถึงหอมมาก?…
…ทำไมวันนี้ถึงมีหลายคนพูดว่ามันหอมมาก แต่น้ำซุปของเจ้ามีราคาแพงกว่าร้านอื่น…
…จะไม่ให้แพงได้อย่างไร? ท่านลุง น้ำซุปนี้พวกข้าใช้น้ำต้มกระดูกหมูมาทำไงล่ะ…
…ไม่ต้องพูดถึงน้ำซุป แค่เครื่องปรุงของพวกข้า เครื่องปรุงนี้ก็ไม่สามารถบอกส่วนผสมท่านได้ละเอียดเพราะมันเป็นสูตรลับ แต่ข้าสามารถบอกกับท่านได้แค่ว่า พวกข้าใช้น้ำมันของที่บ้านแต่ละถังเทลงไป พอทำก้อนปรุงรสเผ็ดนี้เสร็จแล้วก็นำมันมาตากไว้ด้านนอก…
…เมื่อนำมาตากมันจะหดลง เหลือจำนวนไม่มากเท่าไหร่ และจะเกาะตัวกันเป็นก้อนเล็กๆ ก้อนหนึ่ง ทั้งหมดเป็นน้ำมัน…
…ท่านลองคิดดู เมื่อพวกข้าใส่เครื่องปรุงรสสูตรลับที่ทำขึ้นเองหนึ่งก้อนลงไปในหม้อ ในนั้นมีส่วนผสมดีๆ หลายอย่าง อีกทั้งน้ำซุปเป็นน้ำต้มกระดูก แล้วจะไม่ให้มีกลิ่นหอมได้อย่างไร?”
“เจ้าอยากจะบอกว่า กินดิบก็สามารถกินได้ กินดิบไม่มีรสชาติ แต่กินดิบก็มีรสเผ็ด เช่นนี้ใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว ท่านพูดได้ถูกต้อง”
ตอนที่ 365
ซ่งฝูกุ้ยพูดคุยกับท่านลุงอย่างถูกคอ
ท่านลุงได้ฟังก็มีสีหน้ายิ้มแย้มและสั่งเหล้าหนึ่งไห
เขาเชื้อเชิญซ่งฝูกุ้ยกับพวกหูจือร่วมดื่มด้วยกัน
และพูดขึ้นว่า “ข้าชอบฟังสำเนียงการพูดของพวกเจ้า พูดหลายประโยคหน่อย ถือว่าเป็นเพื่อนข้าตอนกำลังกินข้าว มิเช่นนั้นข้าอยู่ที่นี่เพียงคนเดียวก็รู้สึกแปลกๆ”
ซ่งฝูกุ้ยรู้สึกว่าคุณลุงคนนี้นิสัยดีมาก ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ดื่มเหล้าของลูกค้าที่เสียเงินซื้อมา แต่เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ก็รู้สึกอุ่นใจ
เขาทำตัวเป็นกันเอง พวกเขาก็ทำตัวเป็นกันเองหน่อย
เสียดายที่พริกไม่ได้ใส่ให้ลูกค้าคนอื่นมาก แต่ใส่ให้ท่านลุงเยอะหน่อยเพราะเขาสั่งมากินหลายอย่าง
เขาสั่งกำชับเด็กหนุ่มพวกนั้นทำกับข้าวเป็นพิเศษ
“เถี่ยโถว เจ้าโรยพริกบดใส่ลงไปบนเนื้อย่างของท่านลุงเยอะหน่อยนะ ส่วนหูจือใส่เครื่องปรุงรสหมาล่าให้ท่านลุงเยอะๆ ไม่ต้องไปเสียดาย”
ท่านลุงกินเนื้อปิ้งย่างไปคำหนึ่ง
แค่กัดไปคำหนึ่ง เขาก็ถึงกับไอแค่กๆ ออกมาไม่หยุด
ใจคิดถึง ต้องขอบคุณเจ้าแล้ว ข้ารู้สึกผิดหวังที่เมื่อครู่พูดชวนพวกเจ้าดื่มเหล้า นี่พวกเจ้าจะใส่พริกเยอะไปทำไม? “แค่กๆ”
ท่านลุงโบกมือ พริกเผ็ดจนไม่สามารถพูดออกมาได้ น้ำตาถึงกับไหลออกมา
ซ่งฝูกุ้ยรีบเทเหล้าให้ท่านลุง “เผ็ดไหม? ท่านกินเผ็ดไม่ได้หรือ?”
เมื่อท่านลุงเดินออกจากตลาดแผงลอย เขาก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปาก เวลาเดินก็ไอไปจนหลังโค้งงอ
แม้แต่คำพูดหนึ่งก็พูดออกมาไม่ได้
ผงพริกบดดูเหมือนจะเผ็ดมาก เขาได้แต่ยกมือโบกไปมาและควักเงินให้ก่อนจะเดินจากไป
เกาเถี่ยโถวชี้ไปที่ถาด ยังมีเนื้อย่างเสียบไม้เหลืออยู่ ท่านลุงไม่ได้กิน “ถ้าเช่นนั้นพวกเรากินไหม?”
ต้าหลังชี้ไปที่โถ “หมาล่าของเขาก็ยังกินไม่หมด”
หลายชายคนโตของท่านลุงซ่ง “ในหม้อนี้ก็ไม่ได้กินเยอะ ยังมีเหลืออีกตั้งหลายไม้ เขาเพิ่งจะกินเกี๊ยวไปสองลูกกับกินบะหมี่ไปไม่กี่คำ”
หูจือรีบนำไหเหล้าที่มีเหล้าเหลืออยู่อุ้มกลับไป เขาเทเหล้าเพิ่มก่อนจะนำมาตั้งขายใหม่
ซ่งฝูกุ้ยเหลือบมองเงินที่อยู่ในมือ นั่นเป็นตำลึงเงิน
อีกทั้งจ่ายเงินให้ไม่น้อย
ดูเป็นคนใจกว้างมาก เป็นเพราะอะไรกัน?
เขาพูดจาดีหรือ?
“ในเมื่อเหลือแล้ว ในช่วงที่มันกำลังร้อนอยู่พวกเจ้าก็กินเถอะ”
ซ่งฝูกุ้ยเพิ่งพูดจบ เด็กหนุ่มทั้งหลายก็รีบนั่งกินด้วยความดีใจ และรู้จักเก็บไว้ให้คนอื่นได้กิน
“ท่านลุงสามไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ พวกเราเหลือให้เขาสักสองไม้ ตอนนี้ถ่านยังติดไฟอยู่ เอาไปวางไว้ข้างบนให้มันร้อน”
เกาเถี่ยโถวกินเนื้อย่างเสียบไม้ที่อยู่ในมือ และหยิบสองไม้กลับไปวางบนตะแกรงปิ้งย่าง
เขาหันกลับมาตะโกนเรียก “ลุงฝูกุ้ย ท่านกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ มากินรองท้องก่อน”
ซ่งฝูกุ้ยยืนอยู่หน้าเพิงร้าน เขาถามขึ้นทันที “ท่านลุงคนเมื่อครู่นี้ พวกเจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าเขาอาจจะเป็นข้าราชการก็ได้?”
“เป็นไปไม่ได้หรอก การแต่งกายก็ไม่เหมือน” พวกเกาเถี่ยโถ่วกินไปก็ตอบคำถามไป
ซ่งฝูกุ้ยยิ่งกลับมาครุ่นคิดก็รู้สึกว่าตนเองคงคาดเดาไม่ผิด
เพราะท่านลุงคนนั้นเวลาไอ เขาควักผ้าเช็ดหน้าเนื้อดีออกมา
และยังมีตอนที่ท่านลุงคนนั้นไอ ไม่ทันระวังทำตะเกียบตกลงพื้น ตอนที่เขาก้มลงไปเก็บ ก็เห็นร่องรอยรองเท้าของท่านลุงคนนั้น
ถึงแม้จะไม่ค่อยได้สังเกตเท่าไหร่
แต่ทำไมเขายิ่งคิดก็รู้สึกว่า มันเหมือนรองเท้าของเกิ่งเหลียงที่เขารู้สึกชื่นชอบ
ลวดลายของรองเท้าค่อนข้างลึกมาก และมีลักษณะพิเศษ
ซ่งฝูกุ้ยยกเท้าของตนเองขึ้นมา เขามองฝ่าเท้าของตนเอง
ได้ยินมาว่าข้างบนเป็นคนแจก
ซ่งฝูกุ้ยเริ่มรู้สึกเป็นกังวล
ซ่งฝูเซิงกลับมา เขาก็ยอมรับผิด
ผิดตรงส่วนไหน เขาก็ไม่ทราบ
แต่เขารู้สึกว่าต่อไปเขาจะต้องพูดจาอย่างระมัดระวังขึ้นอีก ไม่พูดพล่ามมาก
โดยเฉพาะไม่รู้จักฝ่ายตรงข้ามดี ใครจะรู้ได้ว่าไม่นำพาความเดือดร้อนมาให้
ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าท่านลุงคนนั้นดูจิตใจดี ให้เงินก็เยอะ ไม่เหมือนคนมาหาเรื่อง
“รองเท้า?”
“ข้าลืมไปแล้ว ข้าเคยถามเรื่องพื้นรองเท้ากับพวกทหารที่ติดตามท่านเกิ่งเหลียงว่า เอา พื้นรองเท้ามาจากไหน ไม่ว่าจะวิ่งอย่างไรก็ไม่ลื่น พวกเขาบอกว่าข้างบนแจก ลวดลายของรองเท้าก็เหมือนกันมาก…
…และยังบอกอีกว่าแจกแต่เพียงพวกทหารเท่านั้น…
…แต่ท่านลุงคนนั้นดูมีอายุมากแล้ว เขาเป็นทหารในค่ายหรือ? อายุของเขาก็มากขนาดนี้ ถ้าเป็นทหารในค่ายก็คงมีตำแหน่งใหญ่โตน่ะสิ?…
…เขาสอบถามเกี่ยวกับเรื่องพริก ข้าก็ปากพล่อยพูดออกไป ต่อไปข้าจะปรับปรุง”
ซ่งฝูกุ้ยพูดไปก็ตบหน้าของตนเองไป
เกาเถี่ยโถวยื่นเนื้อแพะย่างสองไม้ที่เก็บไว้ให้กับท่านลุงสาม
“ลุงฝูกุ้ย ข้าคิดว่าท่านคิดมากเกินไปแล้ว พวกข้าหลายคนก็อยู่ด้วย ดูการพูดจาก็ไม่เหมือนเป็นข้าราชการ ได้ฟังก็รู้สึกว่าเป็นชาวบ้านธรรมดาหรือเป็นพ่อของทหารนายหนึ่งที่ไม่กล้าใส่รองเท้านี้ จึงยกให้พ่อของเขา”
และบอกกับซ่งฝูเซิงว่า “ตั้งแต่ท่านลุงคนนั้นเดินจากไป ลุงฝูกุ้ยก็รู้สึกไม่สบายใจ พวกเราไม่ได้ลักขโมยและไม่ได้ปล้นสะดม ไม่รู้ว่าเขาจะระวังไปทำไมกัน เขาคิดมากไปแล้ว”
ซ่งฝูเซิงเหลือบมองเกาเถี่ยโถว “เชอะ ข้าว่าเจ้านั่นแหละที่คิดน้อยเกินไป เรื่องนี้เจ้าควรจะเรียนรู้กับท่านลุงฝูกุ้ยของเจ้า ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามควรจะระมัดระวังไว้บ้าง”
“อ้อ ข้ารู้แล้ว”
ซ่งฝูเซิงก็หันมาปลอบซ่งฝูกุ้ย เขากินเนื้อย่างไปด้วยและพูดขึ้น “ไม่มีอะไรหรอก อย่าเพิ่งไปคิดมาก เขาแค่สอบถามว่ากินแบบดิบได้ไหม? ถึงแม้เขาจะมีเป้าหมายก็คงไม่ใช่เป้าหมายที่ไม่ดี รอดูต่อไปว่าเขาจะกลับมาหรือไม่”
เมื่อมองดูพระอาทิตย์แล้วก็พูดขึ้น “ไปเถอะ กลับไปที่ร้าน ต้าหลังนำหม้อออกมารื้อแผงลอยออกไปไว้ที่ท่านย่า นำบะหมี่ที่เหลือต้มลงไปในหม้อที่มีเครื่องปรุงรสเหลืออยู่ กินอิ่มค่อยกลับบ้าน กลับไปจะได้ไม่ต้องกินแล้ว และน้ำซุปที่เหลือจะได้ไม่เสียเปล่า”
ต้าหลังได้ฟังก็เก็บของไปด้วยและสอบถาม “ลุงสาม เถ้าแก่เฉินสั่งซื้อหรือไม่? สั่งจองเท่าไหร่?”
“ก้อนเล็ก จองหนึ่งร้อยก้อนก่อน”
คนในเพิงต่างดีใจ “ทำไมถึงสั่งจองเยอะขนาดนี้? หนึ่งร้อยก้อน พวกเราสามารถมีรายได้ยี่สิบห้ายี่สิบหกตำลึงนะสิ?”
ซ่งฝูเซิงสูดลมหายใจเข้าจมูก เขาเริ่มเป็นหวัด กลับไปคงต้องกินยาหลายเม็ด
“อืม เอาเงินจากเขายี่สิบห้าตำลึง ปัดเศษเงินออกแล้ว…
…ข้าบอกกับเขาว่าอย่าจองเยอะ เขาก็ไม่ฟัง…
…เขาบอกว่าสามารถวางได้หมด กลัวว่าพริกที่พวกเราปลูกมีจำนวนจำกัด ยังไม่ทันที่ข้าจะเสนอเมนูอาหารใหม่ออกไปก็ตั้งหม้อไฟเสร็จเรียบร้อยแล้ว และกลัวว่าของจะขาดแคลนส่งให้ไม่ได้…
…คงกังวลว่าโรงเตี๊ยมหลายแห่งในแต่ละท้องที่จะมาซื้อเครื่องปรุงของพวกเราจนหมดและไม่มีเหลือไว้ขาย…
…บอกว่าน้อยไป ลองดูว่าขายเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าขายดีเขาจะสั่งจองเพิ่มอีก ช่วงสองสามวันนี้พวกเราต้องหาเวลาในการผัดเครื่องปรุงรส”
หลายคนได้ยินเช่นนี้ก็ดีใจมาก พวกเขารีบจัดเก็บข้าวของและเก็บเพิง เช็ดโต๊ะ เก็บโต๊ะกับเก้าอี้ ชามกับตะเกียบก็ใส่ลงไปในถัง และเก็บสิ่งของอื่นๆ
ของเต็มทั้งห้าคันรถ พวกเขาเข็นรถไปยังร้านของท่านย่าหม่า
วันนี้เป็นวันแรกที่ออกมาตั้งแผงลอย พวกเขาถึงเอาสิ่งของมาเยอะ
ต่อไปก็จะดีขึ้นแล้ว
พวกเขาที่ออกมาตั้งแผงลอยอยู่ข้างนอกจะนำสิ่งของมาวางไว้ที่ร้านขนมเค้ก ถ้าขาดแคลนส่วนประกอบอาหารอะไรก็จะนำมาจากที่บ้าน
“ท่านย่าหม่า พวกเขากลับมาแล้ว” ต้าเต๋อจื่อที่อยู่หลังเรือนตะโกนบอก
ท่านย่าหม่าที่กำลังนั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์ได้ยิน นางก็รีบเก็บเงินที่กำลังนับอยู่เข้ากระเป๋าอย่างดี ก่อนจะออกไปต้อนรับ