ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 366
ด้านหลังร้านเค้ก
ท่านย่าหม่าคอยช่วยขนของลงและสอบถามข่าวคราว
“ขายได้เงินไหม? เป็นอย่างไรบ้าง คนเยอะหรือไม่? พวกข้าไม่มีเวลาออกไปดู…
…ช่วงกลางวันงานยุ่งมาก ไม่มีเวลาพักผ่อน…
…เมื่อครู่เพิ่งพูดถึง ให้ต้าเต๋อจื่อเติมน้ำใส่เต็มถังแล้วค่อยไปหาพวกเจ้า…
…ทำไมพวกเจ้าถึงเพิ่งเก็บแผง?…
…อย่าเพิ่งพูดเลย รีบเข้าไปในห้องก่อน นึ่งปัวปัวไว้แล้วอยู่ในครัว…
…เถี่ยโถว เจ้ารีบให้พี่สะใภ้ของเจ้าถือออกมา เพิ่งนึ่งกำลังร้อนเลย กินรองท้องไว้หน่อย”
ท่านย่าหม่าเป็นคนพูดมาก นางยังไม่ให้คนอื่นพูดอีก
หมั่นโถวที่ทำมาใหม่ก็เตรียมไว้ให้กับพวกซ่งฝูเซิง
เพราะวันปกติธรรมดาพวกท่านย่าหม่าจะปิดร้านตอนสามหรือสี่โมงเย็น พวกนางจะไม่ทำอาหารกิน แต่จะรีบกลับไปกินที่บ้าน
ในร้านเป่าจูกับต้าเต๋อจื่อจะทำแยกเป็นอีกส่วนหนึ่ง
บางครั้งพี่น้องคู่นี้ก็จะกลับบ้านไปทำกับข้าว
คนในเมืองมีบ้าน พวกเขาก็กลับบ้านไปผิงไฟในบ้าน ส่วนร้านก็ปิดประตูล็อคไว้
วันนี้พวกท่านย่าหม่าอยู่กินข้าวเย็นที่นี่เป็นครั้งแรก กินเสร็จถึงจะกลับบ้าน
ล็อคประตูด้านหน้าไว้ ไม่รับแขกแล้ว
ทุกคนมาที่ห้องครัวเล็กที่อยู่หลังเรือน
คนกลุ่มใหญ่มายืนล้อมวงอยู่หน้าหม้อใหญ่ พวกเขานั่งบนเก้าอี้เล็กๆ และคีบบะหมี่ที่อยู่ในหม้อ
ซ่งฝูเซิงหิวมาก แม้จะร้อนจนลวกปากแต่เขาก็กินบะหมี่ไปเกือบครึ่งชาม เขาส่งสัญญาณให้ต้าเต๋อจื่อกินเพราะเกรงว่าเด็กคนนั้นจะอายไม่กล้า “ในหม้อยังมี ตักขึ้นมากินเสีย เมื่อกินเสร็จแล้วน้ำซุปที่เหลือก็ไม่ต้องเก็บไว้ เททิ้งไปให้หมด”
ท่านย่าหม่าถือชามข้าว นางกินหมั่นโถวคำหนึ่งและกินบะหมี่ที่อยู่ในหม้อไฟ นางถามเป่าจู “อร่อยไหม?”
“อร่อยมาก มิน่าถึงขายดี” เป่าจูกินจนเหงื่อออกเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่กินพริก และเป็นครั้งแรกที่กินบะหมี่อยู่ในน้ำซุปอันเผ็ดร้อน มันทั้งเผ็ดและหอมอร่อยจริงๆ
ท่านย่าหม่าวางชามข้าวลงและเช็ดปาก “ใช่แล้ว พวกเจ้าขายได้เงินเท่าไหร่ นับเงินแล้วหรือยัง?”
ซ่งฝูเซิงยังไม่ตอบ เขายืนขึ้น หยิบชามข้าวของต้าเต๋อจื่อมา
เด็กคนนั้นถือบะหมี่ครึ่งชามกินไปสักพัก ให้คีบก็ไม่คีบ เขาจึงต้องลงมือเอง
ครั้งนี้กินข้าวกับพวกเขาก็ดูออกว่าต้าเต๋อจื่อยังเกรงใจ
สาวน้อยเป่าจูตัวอ้วนท้วม นางกินเยอะกว่าพี่ชายของนาง ตอนนี้นางยังไม่หยุดกิน
เขาตักจนเต็มชามให้กับต้าเต๋อจื่อ ซ่งฝูเซิงถึงตอบคำถาม “ยังไม่ได้นับ กลับไปถึงที่บ้านค่อยนับ”
ซ่งฝูกุ้ยยิ้มจนเห็นฟัน เขาตบกระเป๋าที่มัดติดบนร่างและพูดกับท่านย่าหม่ากับท่านยายเถียน “ท่านป้า ท่านฟังสิ เสียงดังกังวาลไหม”
เขาตบไปหนึ่งทีก็มีเสียงดังกรุ๊งกริ๊งออกมา ข้างในเป็นเงินทั้งหมด
คนที่อยู่ในร้านเค้กต่างพากันหัวเราะ
พวกเขาต่างพากันดีใจ “พวกเจ้าเปลี่ยนเศษเงินมาเป็นตำลึงเงินได้เมื่อไหร่กัน ถ้าเช่นนั้นก็ดีแล้ว ก็เหมือนกับพวกข้า รู้ไหมว่าวันนี้มีคนจองเค้กของพวกข้าไปแล้วเท่าไหร่? ที่ข้าพูดเป็นเค้กขนาดใหญ่ราคาสิบตำลึงขึ้นไป และยังมีการสั่งจองของว่างอีกหลายหม้อ รู้หรือไม่?”
หวังจงอวี้ก็หัวเราะตามพวกเขา
ตอนนี้เขาคิดว่าตัวของเขาเองก็เป็นคนของร้านขนมเค้กแล้ว
ซ่งฝูกุ้ย “ทั้งหมดเท่าไหร่?”
“สั่งจองกับพวกข้าเป็นจำนวนเงินหนึ่งร้อยเจ็บสิบสามตำลึงกับอีกเจ็ดเหรียญ ก่อนและหลังปีใหม่มาเอา จ่ายเงินมัดจำแล้ว”
“โอ้” ซ่งฝูกุ้ยถึงกับตกตะลึง
เกาเถี่ยโถวที่กินเผ็ดเก่งถึงกับสำลักน้ำซุป
เหล่าเด็กหนุ่มคนอื่นทั้งหลายก็ยิ้มตามพวกผู้หญิงที่ทำของว่างในร้านและเอ่ยชื่นชม “พวกเจ้าเก่งมาก เก่งกว่าพวกข้าเสียอีก”
ซ่งฝูเซิงก็ดีใจมากเช่นกัน เขาพูดด้วยรอยยิ้ม
“ใช่แล้ว ใกล้จะถึงวันฉลองปีใหม่แล้ว วันเวลาผ่านไปเร็วมาก…
…ข้าลืมไปว่า ช่วงก่อนปีใหม่และหลังปีใหม่ร้านขายของว่างของพวกเจ้าจะค้าขายดีมากกว่าเดิม…
…มีบางร้านหวังว่าช่วงเวลานี้จะสามารถสร้างรายได้มากมาย ถึงขนาดใช้ช่วงเวลานี้ สร้างเงินไว้ใช้จนถึงครึ่งปีได้…
…ต้องพยายามทำเต็มที่ พวกเจ้าถึงทำรายได้มากหน่อย…
…ท่านแม่ จงอวี้อยู่ที่นี่เพียงคนเดียว คนอาจจะไม่พอใช้ ข้ากลับไปจะให้ท่านลุงซ่งหาคนมาให้ท่านอีกสองคน ตอนกลางวันจะได้ช่วยกันทำงาน…
…เรื่องเงินเดือนไม่ต้องพูดถึง แต่ตอนปีใหม่ท่านก็อย่าลืมแสดงน้ำใจให้กับพวกเขา”
“ไม่มีปัญหา นั่นมันเรื่องเล็ก ฮ่าๆ”
ท่านย่าหม่านั่งหัวเราะอยู่บนเก้าอี้เล็กอย่างอารมณ์ดี หมั่นโถวในปากยังไม่ทันได้กลืนลงไป
เมื่อนางนึกถึงช่วงเวลาใกล้ปีใหม่ พวกคนมีชาติตระกูลทั้งหลายหยุดทำงาน นางก็รู้สึกดีใจมาก
ถึงตอนนั้นก็มีวันหยุดเจ็ดวัน พวกคนที่มีเวลาว่างก็จะไปมาหาสู่กัน
ส่งและรับของขวัญ จัดงานเลี้ยง
การจัดงานเลี้ยงก็ต้องมีของว่าง นางมีทั้งหมดสี่ร้าน นางเหมือนมองเห็นเงินจำนวนมากลอยมาหานาง
ครั้งนี้กลับไปจะต้องทำของว่างเพิ่ม ไม่ว่าจะต้องทำออกมาอีกกี่หม้อ ไม่ว่าลูกค้าจะสั่งจองเท่าไหร่ ถึงแม้จะเป็นช่วงปีใหม่ที่สั่งจองไปบ้างแล้ว พวกเราก็ไม่หวั่น
เพราะนางมีเครื่องปั่นน้ำผลไม้สองเครื่องกับเครื่องตีไข่
สัปดาห์ถัดมา
ก็เป็นดังที่ซ่งฝูเซิงกับท่านย่าหม่าคาดการณ์เอาไว้
ถึงแม้ว่าพวกซ่งฝูเซิงจะตั้งแผงลอยขายได้เงินมาเยอะ แต่ถ้ามาเทียบกับพวกท่านย่าหม่าแล้วก็เทียบกันไม่ได้
ยิ่งใกล้วันฉลองปีใหม่ ร้านขนมเค้กทั้งสี่ร้านก็มีกิจการคึกคัก
ธุรกิจร้านขนมเค้กเป็นไปด้วยดี เป็นเพราะพวกพ่อบ้านของจวนต่างๆ ต่างพากันกลัว
กลัวว่าร้านขนมเค้กจะปิดร้าน ไม่เปิดร้านขาย หรือกลัวว่าจะมีคนสั่งจองเยอะ พวกเขาไม่ได้คิว
กลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
อย่ามองว่าร้านขนมเค้กของท่านย่าหม่าเพิ่งจะเปิดร้านได้ไม่นาน คนที่ออกมาซื้อของเข้าจวนต่างทราบว่าร้านนี้ “ขี้เกียจ”
ในแต่ละวัน ร้านมีของว่างไม่เท่าไรก็เปิดร้านขาย ยุ่งแค่ช่วงกลางวัน พอถึงช่วงบ่ายๆ ก็ปิดร้าน ขายหมดแล้วก็ปิดร้านโดยไม่ลังเล
ร้านค้าแบบนี้ไม่เหมือนกับร้านค้าเก่าแก่หลายร้านทั่วไปที่ขยันค้าขาย
เจ้านายก็ต้องการสั่งจองขนมเค้กพิเศษแบบนั้น เพราะว่าฮูหยินใหญ่ของจวนฉีเชิญฮูหยินท่านอื่นกับพวกคุณหนูมาลองชิม ช่วงเทศกาลปีใหม่ก็อยากจะจัดรับรองแบบแปลกใหม่บ้างจึงต้องไปสั่งจองไว้ก่อน ถ้าไม่สั่งจองก่อนก็จะซื้อไม่ได้ พวกเจ้านายก็คงจะบ่นพวกเขาที่ทำงานไม่ได้เรื่องเป็นแน่
ดังนั้นพ่อบ้านที่รับผิดชอบซื้อของเข้าจวนต่างๆ ก็พากันมา
ท่านย่าหม่าจดบันทึกลงในสมุด นางสามารถจดจำได้ว่าจวนไหนสั่งจองอะไร ถ้าเป็นคนธรรมดาก็มองไม่เข้าใจ
อีกทั้งมีการสั่งจองจากลูกค้าหลายพื้นที่ มีการสั่งจองของตั้งแต่วันฉลองปีใหม่จนถึงวันที่สิบห้าของเดือนแรก ถ้าไม่เริ่มทำตั้งแต่ต้นก็ทำไม่ทัน
สั่งจองของว่างอะไรก็มี
แม้แต่แม่นางทั้งหลายในหอนางโลมก็ยังมาสั่งของกินที่ร้าน
ท่านยายกัวอยู่อำเภอถงเหยาถึงกับยิ้มจนเห็นฟัน นางถือรายการสั่งของกินและตะโกนบอก
“ท่านย่าหม่า พั่งยา แม่นางทั้งหลายมาสั่งจองของแล้ว เค้กสิบตำลึงหนึ่งก้อนและยังสั่งราคาสามสิบตำลึง ขนมปังกรอบม้วนก็ต้องทำเพิ่ม”
ซ่งฝูหลิงได้ยินเสียงก็เดินออกมาจากห้องเตาอบ นางมองท่านยายกัว ในใจก็คิด โอ้ สวรรค์ นางอยากจะหยุดพักผ่อนเจ็ดวันในช่วงปีใหม่นะ
แต่ว่า?
เฮ้อ ใช่สิ ผู้ชายพวกนั้นหยุดทำงานแล้ว แค่คิดก็รู้ได้ว่าหอนางโลมจะไม่ยุ่งได้อย่างไร?