ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 369
บนถนนทางเดินม้า
ห้วข้อการสนทนาในตอนนี้คงหนีไม่พ้นเพิงขายของตรงนั้น
ทำให้เถ้าแก่โรงเตี๊ยมเล็กๆ แถวนั้นถึงกับต้องกัดฟัน
ยิ่งใกล้ช่วงเวลาปีใหม่แล้ว
ช่วงเวลานี้ของทุกปี โรงเตี๊ยมเล็กๆ บนถนนสายนี้จะสร้างรายได้มากที่สุด
รถม้าและรถเกวียนต่างๆ ออกไปเยี่ยมญาติที่ต่างเมือง กัดฟันไม่พูดถึงคนกลุ่มนั้นเพราะไม่ใช่ลูกค้าที่จะแวะมาใช้จ่ายที่โรงเตี๊ยมเล็กๆ
พวกเรายังไม่พูดถึงคนต่างถิ่นที่มา
ชาวบ้านนอกเมืองที่พอมีฐานะหน่อย ช่วงเวลานี้ของทุกปีก็จะเข้ามาในเมืองเพื่อมาซื้อของจัดเตรียมในเทศกาลปีใหม่
เมื่อเข้าเมืองมาแล้วและรู้สึกหิว พวกเขาก็จะไปโรงเตี๊ยมเล็กๆ ที่อยู่บนถนนเส้นทางเดิน ของม้าเพื่อกินพวกบะหมี่เกี๊ยวรองท้อง ก่อนที่จะเดินทางต่อไป
แต่ตอนนี้ทุกคนตามกลิ่นหอมไปยังเพิงขายอาหารนั้น
ทั้งที่ในเพิงนั้นไม่มีที่ว่างให้นั่งแล้ว พวกเขาต้องต่อคิวรอ ส่วนโรงเตี๊ยมเล็กๆ เหล่านี้ก็ไม่มีคน มันน่าโมโหไหม
สิ่งที่น่าโมโหมากที่สุดก็คือ พวกคนมีฐานะที่อยู่บนรถม้าก็หยุดจอดอยู่ที่หน้าเพิง เมื่อก่อนไม่กินอาหารร้านเล็กๆ อย่างพวกเขา ตอนนี้ลงไปซื้อเครื่องปรุงรสกับคนพวกนั้น ซื้อครั้งหนึ่งก็จำนวนไม่น้อย พวกเขามองเห็นตอนควักเงินจ่าย
ซ่งฝูเซิง ไม่พูดถึงคนพวกนั้น แต่พวกเจ้าก็พูดถึงสองรอบ เห็นได้ว่าพวกเจ้าอิจฉาริษยา
เมื่อพูดถึงทหารเฝ้าเมืองก็ยิ่งน่าโมโห หลังจากเปลี่ยนเวรทำงานกันแล้ว พอเลิกงานก็เข้ามากินอาหารในเพิงแห่งนี้
“ข้าจะไปหาพวกเขา นี่ทำอะไรกัน พวกข้าไม่ต้องทำมาค้าขายกันแล้วหรือไง!”
โหยวเหล่าซื่อเปิดร้านอาหารบนถนนแห่งนี้ เขาเป็นคนอารมณ์ร้อน เขาสบถออกมา บอกกับเถ้าแก่ร้านอาหารทั้งหลาย
เมื่อพูดจบ เขาก็พาผู้ติดตามในร้านเดินกร่างออกไป พวกเขามุ่งตรงไปยังเพิงร้านของพวกซ่งฝูเซิง
เถ้าแก่หลายร้านมองหน้ากันก่อนจะตะโกนตามโหยวเหล่าซื่อ
“เหล่าซื่อ รีบกลับมา ใกล้จะปีใหม่แล้ว อย่ามีเรื่องกันเลย”
“เหล่าซื่อบอกพวกเขาด้วยว่า ให้หยุดตั้งแผงลอยบ้าง ออกมาค้าขายไม่ง่ายเลย พูดคุยกันดีๆ ก่อน อย่าเพิ่งลงไม้ลงมือ”
“เหล่าซื่อ อย่าทำร้ายร่างกายพวกเขาจนบาดเจ็บล่ะ แค่ขู่เท่านั้นก็พอ”
“เหล่า…”
เหล่าซื่อ นี่เจ้าออกมาหาเรื่องไหม? ทำไมเปลี่ยนสีหน้ามายิ้มแย้มให้กับคนพวกนั้น
“โอ้ เหล่าซื่อทำไมถึงควักเงินออกมาจ่ายละ”
ท่านลุงหวงที่เปิดร้านบะหมี่พูดขึ้น “เหอะ ช่างน่าประหลาดใจมาก ข้าจะออกไปดูหน่อย”
สักครู่ท่านลุงหวงก็รีบกลับมาและดึงภรรยาของเขาเข้าไปในร้าน
หลังจากที่ทั้งสองปรึกษากันแล้ว สักครู่ก็ถือเงินออกมาและรีบร้อนไปที่เพิงนั้น
หลายคนถามเขา “พวกเจ้าทำอะไรกัน? ไม่ใช่ไปหาเรื่องหรอกหรือ? นี่เหมือนไปหาเรื่องที่ไหนกัน”
ท่านลุงหวงก็พูดขึ้น “คนพวกนั้นนิสัยดี พวกเจ้าก็รีบไปเถอะ มิเช่นนั้นจะขายหมดแล้ว”
ของอะไรจะขายหมดแล้ว?
ผงพริกบดกับเครื่องปรุงรส
ซ่งฝูเซิงนั่งอยู่มุมหนึ่งของเพิง ด้านหน้าตั้งโต๊ะขนาดเล็กไว้ บนโต๊ะมีสมุดหนึ่งเล่ม เขาเขียนลงในสมุดและบอกกับโหยวเหล่าซื่อว่า
“ไม่เป็นไร ถ้าเจ้าอยากจะตั้งเป็นแผงลอยแบบพวกข้า ไม่จำเป็นต้องมาบอกข้าโดยเฉพาะ จะตั้งเป็นแผงลอยก็ทำไป”
โหยวเหล่าซื่อรู้สึกเกรงใจ เขาดูเหมือนมารังแกคน
เหมือนคนในพื้นที่รังแกคนนอกพื้นที่ “น้องชาย แล้วพวกเจ้าละ”
“พวกข้าไม่มีเวลาว่างมาตั้งแผงลอย พรุ่งนี้ไม่มาแล้ว นี่เงินทอนของท่าน ส่วนนี่เป็นก้อนเครื่องปรุงทำน้ำซุป วันนี้มีเหลือเพียงแค่นี้แล้ว ข้าขายราคาถูกให้กับท่าน และไม่ขายให้กับลูกค้าที่เดินทางผ่านแล้ว”
ซ่งฝูเซิงลุกขึ้นมาก็ยังถามเขาอีกว่า “ใช่แล้ว ท่านจะเอาเนื้อแพะย่างเสียบไม้หรือไม่? ตะแกรงปิ้งย่างของข้าสามารถขายให้ท่านได้”
โหยวเหล่าซื่อร้อนใจ “ข้าเอา แต่พูดถึงเรื่องเครื่องปรุงรสกันก่อน มีแค่สิบห้าก้อนไม่พอ ในบ้านของเจ้ายังมีอีกหรือไม่?”
“ไม่มีแล้ว ต้องรอ…
…ร้านขายเครื่องปรุง โรงเตี๊ยมอีกสองแห่งก็ยังต้องรอ…
…ไม่ปิดบังท่าน…
…ร้านอาหารเล็กๆ เหมือนกับพวกท่านในแต่ละอำเภอต่างก็ต้องรอ…
…ต้องใช้เวลารอครึ่งเดือนไปแล้ว ถึงจะสามารถซื้อได้…
…ถ้าเจ้าร้อนใจจริงๆ ไปหาที่ริมแม่น้ำของหมู่บ้านเหรินจยาได้ หาพวกแซ่ซ่งที่อาศัยอยู่ใกล้บริเวณริมเขา”
ท่านลุงหวงผลักโหยวเหล่าซื่อออกไป พูดคุยเกือบครึ่งวันแล้วยังไม่เสร็จเสียที เขาถามซ่งฝูเซิงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ถ้าข้าจะขายบะหมี่รสเผ็ดเหมือนกับเจ้า ต้องซื้ออะไรบ้าง?”
“ท่านลุง ท่านก็ซื้อผงพริกไปก็ได้แล้ว กลับไปก็ใส่น้ำมันเคี่ยวให้ทั่ว จำไว้ว่าต้องใส่น้ำมันเยอะหน่อย ใส่พริกน้อยหน่อย ในน้ำมันก็จะมีรสชาติเผ็ดร้อน เมื่อบะหมี่เสร็จแล้วก็ใส่น้ำมันพริกนี้ลงไปหน่อย พวกข้าขายผงพริกค่อนข้างแพงหน่อย ถ้าท่านตักพริกให้ลูกค้าเยอะ ท่านจะต้องขายชามหนึ่งราคาเท่าไหร่กัน ใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้ว พวกเจ้าคิดได้รอบคอบ จิตใจก็ดี แค่มองก็รู้ว่า…”
ยังไม่ทันที่ท่านลุงหวงจะพูดจบ ซ่งฝูเซิงก็ยกมือขึ้นทักทายคนที่เข้ามา “เถ้าแก่หวัง ท่านมาได้อย่างไร?”
ทั้งที่สั่งจองวันมะรืน เขาก็สามารถไปรับซอสปรุงรสที่ร้านขนมเค้กของท่านย่าหม่าได้เลย
เถ้าแก่หวังใจร้อน
หลายวันมานี้ โรงเตี๊ยมอีผิ่นเซวียนขายอาหารหลายรายการออกมา ปลาหม่าล่ากับอาหารอะไรที่ใช้น้ำต้มเนื้อแผ่นมีรสชาติเผ็ด ดึงดูดแขกหลายท่านมากิน
คนที่เคยกินแล้วก็บอกว่าติดใจ
และตอนนี้ก็มีเมนูใหม่เรียกว่า “หมาเหล่าทั่ง” มีผักสดวางอยู่บนโต๊ะ มีทั้งเห็ด เห็ดหูหนู หัวไชเท้า ผักกาดขาว และมีเนื้อแพะแบบแผ่นโดยที่ยังไม่ทำให้สุกก็ยกออกมาให้แขกได้ต้มกินเอง แต่กลับขายดีมาก เจ้าคิดว่าน่าประหลาดใจหรือไม่
เขาถูกเจ้าของโรงเตี๊ยมซักถามเกี่ยวกับซอสปรุงรสตลอดว่าทำให้เสร็จเร็วกว่านี้หน่อยได้หรือไม่?
เขาจะทำตามโรงเตี๊ยมอีผิ่นเซวียน ยกพวกผักไปตั้งขายไว้ที่โต๊ะ ไม่ต้องเสียแรงมาก อีกทั้งยังสร้างรายได้อีก
“เจ้าดูสิ ข้ารู้ว่าเจ้ารู้จักคุ้นเคยกับเจ้านายเฉินของโรงเตี๊ยมอีผิ่นเซวียนที่อยู่ตรงถนนใจกลางเมือง นี่เปรียบเทียบกันไม่ได้”
ซ่งฝูเซิงรีบพูดต่อ “ไม่ใช่ พวกเราเป็นแบบเดียวกัน เถ้าแก่หวัง ครั้งแรกที่ท่านแม่ของข้าเข็นรถออกมาขายขนม ตอนนั้นที่ถนนใจกลางเมืองมีเพียงโรงเตี๊ยมอีผิ่นเซวียนที่รับซื้อของกับนาง นางกลับบ้านไปก็พูดถึงเรื่องนี้กับข้าหลายครั้งแล้ว”
ทั้งสองคนเดินพูดคุยกันออกไป
คนอื่นก็ไม่ค่อยได้ยินแล้วว่า พวกเขาพูดคุยอะไรกัน
ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่อีกฝ่ายเร่งให้ส่งสินค้า
เจ้าจะลำเอียงไม่ได้
ซ่งฝูเซิงก็ยอมรับ ความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ธรรมดา แค่เห็นแก่หน้าท่านแม่ก็ต้องส่งของให้กับพวกท่านแน่นอน เขากัดฟันบอกว่า คืนนี้พวกข้าจะทำเครื่องปรุงรสให้กับโรงเตี๊ยมของท่าน
ดูสิ ขายดีขนาดนี้เชียว
หน้าตาของท่านย่าหม่าถูกคนนำความสัมพันธ์มาใช้ในการเร่งส่งของ
เมื่อซ่งฝูเซิงกลับเข้ามาในเพิง เขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นโหยวเหล่าซื่อยังไม่จากไป
“เจ้าจะขายตะแกรงปิ้งย่างให้กับข้าไม่ใช่หรือ? ใช่แล้ว เพิงนี้ของเจ้าขายไหม?”
“เจ้ามีร้านอยู่แล้วนิ”
“ตั้งเพิงอยู่หน้าร้าน”
ซ่งฝูเซิง “…” ทำเหมือนกับเขาทั้งหมด
ในสถานการณ์แบบเดียวกันก็เกิดขึ้นในอำเภออื่นอีก
เมื่อก่อนเคยขายกระเทียมเหลืองให้กับโรงเตี๊ยมเหล่านี้ และมีการสั่งจองเครื่องปรุงรสหม้อไฟกับผงพริก
ในนี้ยังมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งเล็กๆ อยู่สองเรื่อง
เรื่องหนึ่งเกิดขึ้นที่อำเภอจยา
เจ้าของโรงเตี๊ยมนั้นที่อยู่อำเภอจยาค่อนข้างเจ้าเล่ห์
เนื้อแพะเสียบไม้หอมมาก เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมก็พาพ่อครัวออกไปด้วย เขาทำเป็นพูดคุยกับลูกชายคนโตของท่านยายหวัง ส่วนพ่อครัวก็คอยแอบเรียนวิธีทำอยู่ข้างๆ
กลับมาก็ลองย่างดู แต่ผงพริกปรุงรสนี้ช่างน่าประหลาดมาก ถ้าไม่ใส่ลงไปก็เหมือนขาดอะไรไป
แท้จริงแล้ว เขาอยากรู้เรื่องส่วนประกอบของเครื่องปรุงรสหม้อไฟนี้มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการทำปลาหมาล่ากับน้ำซุปรสเผ็ดที่ใช้ต้มเนื้อว่าทำอย่างไร
นั่นถึงเป็นเป้าหมายที่สำคัญ
แต่เมื่อส่งคนไปสืบข่าวข้างนอกมาแล้ว ก็ไม่มีใครขายพริก คนพวกนั้นไม่ได้พูดจาโอ้อวดเลย มีร้านของพวกเขาที่มีพริกขายเพียงร้านเดียว
เมื่อไม่มีพริก ถึงจะรู้ส่วนประกอบทั้งหมดไปก็ไม่มีประโยชน์ไม่ใช่หรือ? เจ้าต้องมีส่วนประกอบทั้งหมดก่อน
ส่วนอีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นที่อำเภออวิ๋นจง
เป็นเถ้าแก่ที่เปิดร้านขายเครื่องปรุงรสหลายร้าน เขาเรียกซ่งฝูลู่ซึ่งมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของซ่งฝูเซิงออกไปพบ เขายื่นข้อเสนอให้กับซ่งฝูลู่ในการขายเมล็ดพันธุ์พริกให้กับเขา
ซ่งฝูลู่ “เจ้าอยากจะพูดอะไร? พวกข้าไม่ขายเมล็ดเพาะปลูก”
“ไม่ใช่ ข้าแค่อยากจะบอกว่า ไม่ทำให้เจ้าเหนื่อยเปล่า น้องชาย…”
ลูกชายคนโตของยายรองซ่งเข้ามาห้ามปรามจนไม่มีเวลาดูแลลูกค้าที่กินอาหารอยู่ในเพิง
เพราะซ่งฝูลู่เกือบจะลงไม้ลงมือและด่าทอกับคนอื่น “เจ้าเป็นใครกัน คิดไม่ดี ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปซอสปรุงรสของร้านข้าจะไม่ขายให้เจ้าอีกแล้ว เจ้าอยากจะซื้อเพื่อตุนสินค้าไปก็ไม่มีประโยชน์ ข้ามีอำนาจในการตัดสินใจ เจ้าไสหัวไปซะ!”
เรื่องนี้ตอนเย็นก็รับรู้ถึงหูของซ่งฝูเซิง
ซ่งฝูเซิงไม่ได้เรียกซ่งฝูลู่ว่า พี่ใหญ่ มาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ทะเลาะลงไม้ลงมือกันก่อนจะอพยพลี้ภัย
บางครั้งเขาเรียกคนนอกที่ไม่รู้จักว่า พี่ชาย แต่ก็ไม่ได้เรียกซ่งฝูลู่
ตอนค่ำออกไปหาปลา
ซ่งฝูเซิงตะโกนเรียก “พี่ใหญ่ หยิบถุงมาให้หน่อย” ปลาในแม่น้ำนับวันก็ยิ่งมีเหลือน้อยลง เพราะพวกเขาจับไปเกือบหมดแล้ว
ซ่งฝูลู่นิ่งงัน เขาครุ่นคิดว่าซ่งฝูเซิงกำลังเรียกใคร เขายังยื่นคบเพลิงส่องมองซ่งฝูเซิงด้วยความประหลาดใจ
หลังจากนั้น เขาถึงรู้ว่าซ่งฝูเซิงเรียกเขาเอง เห็นเขาชักช้าก็พูดออกมาว่า ปลาหนีออกหมดแล้ว
ซ่งฝูลู่อาศัยช่วงที่มีเวลาว่างไปหลุมใต้ดินเรียนรู้เรื่องพวกนี้กับท่านพ่อของเขา “ท่านพ่อ น้องฝูเซิงเรียกข้าว่าพี่ชายแล้ว”
ท่านลุงใหญ่ถึงกับถอนหายใจแล้วพูดขึ้นว่า “เดิมทีก็เป็นญาติพี่น้องกันอยู่แล้ว”
เขาตัดสินใจว่า เขาเป็นลุงใหญ่ ต่อไปเขาจะต้องคอยดูแลห่วงใยฝูไฉ ฝูสี่ ฝูเซิงหลานชายทั้งสามคนนี้
เขาสูญเสียน้องชายไปแล้ว หลานชายทั้งสามก็ไม่มีพ่อ เป็นเด็กที่น่าสงสารมาก น้องชายของเขาช่างอายุสั้นเสียจริง เฮ้อ
เขาซึ่งเป็นลุงใหญ่ ต่อไปจะต้องคอยดูแลพวกเขาเหมือนดั่งพ่อ คอยดูแลเหมือนกับฝูลู่ คอยใส่ใจหลานชายทั้งสามคนนี้
ท่านลุงใหญ่กำลังครุ่นคิดอยู่ในใจ เขายังไม่ทันได้กระทำออกมา ก็ทำให้ตนเองตื้นตันใจไปเสียก่อนจนขอบตาแดงก่ำแล้ว
บรรยากาศช่างดูอบอุ่นมาก
ท่านป้าใหญ่ได้ฟังก็รู้สึกว่า ถ้าไม่ใช่ญาติพี่น้องกันจะช่วยเหลือกันหรือไม่
แต่เมื่อผ่านหลายเหตุการณ์มา ตั้งแต่ตอนอพยพลี้ภัยจนเกือบอดตาย จนมาถึงตอนนี้ที่มีกินมีใช้ หลานชายทั้งสองก็ได้เรียนหนังสือ
ต้องยอมรับว่า ตั้งแต่ออกเดินทางครอบครัวของพวกเขาก็อาศัยพึ่งพาครอบครัวของน้องสะใภ้
คาดการณ์ได้ยากมาก หากตอนแรกไม่ได้ออกเดินทางมาด้วยกัน ครอบครัวของพวกเขาจะมีสภาพเป็นอย่างไร
ทุกครั้งที่ท่านป้าใหญ่อดไม่ได้ที่จิตใจคับแคบ นางก็จะคอยเตือนตนเอง
บางทีอาจจะไม่ใช่เพียงแค่เรื่องลูกชายขาดไปหนึ่งคน
ในใจของท่านป้าใหญ่ ถึงแม้จะต้องอพยพลี้ภัยจากบ้านเกิดเมืองนอน ต้องเริ่มต้นสร้างฐานะใหม่ แต่หลายวันมานี้นางถึงจะรู้สึกว่าดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข
ตอนนี้อย่าว่าแต่อิจฉาท่านย่าหม่าเลย อิจฉาไปก็ไม่มีประโยชน์
คนเราเมื่อแข็งแกร่งกว่าตนเองมากหรือน้อยกว่าหน่อย และยังแบ่งทรัพย์สมบัติที่มีอันน้อยนิดให้ แน่นอนว่าคงทำให้โมโหแน่เพราะองค์ประกอบก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก
แต่ตอนนี้นางแข็งแกร่งกว่าตนเองมาก ไม่เพียงแค่แบ่งเงินให้ใช้ ไม่แย่งวัวของนางและยังให้ความช่วยเหลือด้วย
พวกเราผ่านเรื่องมามากมาย หากทำเรื่องที่ไม่ดีกับคนอื่นนั่นไม่เป็นการทำร้ายตนเองหรอกหรือ
หากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น ทุกคนคงให้พวกเขาย้ายออกไป
นางไม่อยากย้ายออกไปเพราะรู้สึกว่าไปที่ไหนก็ไม่ปลอดภัย ไม่เชื่อใจคนอื่น
คนอื่นไม่รู้ว่าพวกนางเจออะไรกันมาบ้าง
ถ้าเคยพบเจอเหมือนกับพวกนางก็คงมีความรู้สึกเดียวกัน
ช่วงแรกที่พวกนางออกเดินทางอพยพลี้ภัย ก็พบคนขายผู้หญิงแลกกับอาหาร กินแม่และลูกของตนเอง พวกนางเห็นคนกินคนใกล้ชิดกับตาของตนเองมาแล้ว