ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 370 / ตอนที่ 371
ตอนที่ 370
หลี่ซิ่ว เก่อเอ้อร์นิว
คนหนึ่งเป็นแม่ม่ายลูกติด จัดอยู่ในประเภทที่เกิดความเปลี่ยนแปลงพร้อมจะแต่งงานใหม่ได้ง่ายๆ
อีกคนหนึ่งเป็นคนที่เมื่อก่อนไม่ค่อยยุ่งกับย่าหม่า ไม่ยุ่งด้วยมาเป็นสิบปี
ทั้งสองคนที่ ‘จัดเป็นกลุ่มพิเศษ’ นี้ต่างคิดแบบนี้ ไม่ไปจากทุกคน
คนอื่นจะให้เงินมากเท่าไรก็ไม่มีทางทำร้ายทุกคน
อีกทั้งไม่ได้ขัดสนอะไร เห็นตอนนี้พวกนางสร้างฐานะกันด้วยมือเปล่า แต่ก็กินอิ่มท้องกว่าตอนอยู่บ้านเกิด ชีวิตมีอนาคตยิ่งกว่า
เมื่อก่อนต่างคนต่างอยู่ มันจะไปดีได้อย่างไร
อย่าว่าแต่คนนอก ไม่มีหรอกคนที่จะมาให้เงินพวกนางจำนวนมากเพื่อทำร้ายทุกคน
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องว่าพวกนางจะหักหลังสำเร็จหรือไม่ ขโมยเมล็ดพันธุ์ออกมาได้หรือไม่ ถ่ายทอดฝีมือทำขนมออกไปได้หรือเปล่า
เอาแค่เรื่องที่ว่า เงินแบบนั้น คิดว่าใช้ได้ง่ายๆ เหรอ ตกกลางคืนเข้านอนไม่พลิกตัวไปพลิกมาเหรอ ตอนลี้ภัยแต่ละครั้ง ถ้าทุกคนไม่สามัคคีกันจะรอดมาได้เหรอ ช่วยชีวิตพวกพ้องกับช่วยชีวิตตัวเองมันจะต่างอะไรกัน
ตอนนี้หาเงินเก็บเล็กผสมน้อย ใช้เงินที่หามาได้อย่างสุจริต แบบนี้ไม่หลับสบายกว่าเหรอ อยู่กับทุกคนพอเจออุปสรรคก็จะได้มีคนช่วย ไม่ใช่หรือ
จะให้ทิ้งทุกอย่างเพื่อเงินน่ะเหรอ ไม่เอาหรอก
ใช่ว่าชีวิตจนตรอกถึงที่สุดแล้ว ขาดเงินจนต้องทำเรื่องที่ขัดต่อศีลธรรมแบบนั้นแล้วชีวิตจะต้องตาย
ดังนั้น การที่สองคนนี้คิดแบบนี้ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่น
ก็แสดงให้เห็นว่า หลังจากลี้ภัยจนมาอยู่ที่นี่ ทุกคนผ่านเรื่องราวต่างๆ มามากมาย ความผูกพันแตกต่างจากกับคนทั่วไปในหมู่บ้านและญาติๆ ขนาดไหน
อีกทั้งชีวิตก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
พอดีขึ้น ก็ยิ่งต้องสามัคคีเข้าไว้ เกลียดชังทุกอย่างที่จะมาทำลาย
พวกเขาสามารถทำให้ชีวิตไม่ต้องอดๆ อยากๆ ได้ในเวลาอันสั้น มีกินจนอิ่มท้อง ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนมาจากสามัคคีคือพลัง
แต่มีคนที่ไม่เข้าใจจุดนี้ ชอบมาเจ้ากี้เจ้าการกับพวกเขา มักดูถูกความสามัคคีของพวกเขาอยู่เสมอ
ซ่งฝูเซิงกลับมาพร้อมกลุ่มของเขา
วันนี้พวกเขากลับมาเร็ว เร็วกว่ากลุ่มอื่นๆ ที่แยกย้ายไปตามย่านร้านอาหารของแต่ละอำเภอ
และก็ไม่ได้รอพวกท่านย่าหม่า ล่วงหน้ากลับมาก่อน รีบร้อนจะกลับมาผัดเครื่องปรุง
คนที่เร่งสินค้ามีมากเหลือเกิน
และวันนี้ก็จะเป็นวันสุดท้ายที่พวกเขาเปิดแผงขาย
วันหน้า แค่ทำเครื่องปรุงไปขายก็พอแล้ว
พอเข้าหมู่บ้าน มีกลุ่มคนยืนอยู่ริมน้ำ พอเห็นซ่งฝูเซิงก็อึกอักอยากพูดบางอย่างแต่ไม่ได้พูด
ซ่งฝูเซิงเหลือบมองพวกเขาแวบหนึ่ง ไม่พูดอะไร และก็ไม่ได้คิดมาก
เพราะเมื่อก่อนเขาก็ไม่เคยคุยกับคนพวกนี้ ไม่เคยไปมาหาสู่กัน
พวกคนหนุ่มจากหลายครอบครัวนี้เป็นประเภทที่ไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน ไม่ใช่คนพูดมากอะไร ปกติไม่ค่อยได้เห็นหน้า
พอขึ้นสะพานก็ไม่พบความผิดปกติอะไร
แต่พอพ้นสะพานไปก็พอจะได้ยินเสียงเอะอะตรงบริเวณบ้านของพวกเขา ทะเลาะอะไรกันได้ยินไม่ค่อยชัด
ซ่งฝูเซิงกับคนอื่นๆ ต่างเร่งฝีเท้า รีบเข็นรถไปทางบ้าน
ไม่ต้องเข้าไปในลานบ้าน ภาพที่ปรากฏในสายตาก็คือคนกลุ่มใหญ่อยู่ในลานบ้านของพวกเขา
แบบนี้เรียกว่าเกิดเรื่องแล้ว
ชาวบ้านของหมู่บ้านเหรินจยาหลายคนก็มาอยู่ที่นี่ บ้างก็เกลี้ยกล่อม บ้างก็ห้ามปราม แยกสองฝ่ายออกจากกันไม่ให้เข้าไปมีเรื่อง ตะโกนว่า หัวหน้าตระกูลเหรินใกล้กลับมาแล้ว มีอะไรก็คุยกันดีๆ
เหรินกงซิ่นนอนอยู่บนพื้น เริ่นจื่อจิ่วกำลังเอามือวัดลมหายใจ ทั้งยังตะโกนออกไปท่ามกลางความวุ่นวายว่าให้รีบไปตามหมอมา
ส่วนเริ่นจื่อฮ่าว ลูกชายคนที่สามของเหรินกงซิ่น เวลานี้สิ่งที่ออกจากปากมีแต่คำด่า ด่ายกโคตรทั้งตระกูล พานักเลงกลุ่มหนึ่งที่ไม่รู้มาจากไหน กำลังหาเรื่องฝ่ายซ่งฝูเซิงอยู่ในวงล้อมของกลุ่มคน พวกชาวบ้านต่างพยายามห้ามทั้งสองฝ่าย
ซ่งฝูเซิงยังไม่ทันเข้าไปในลานบ้านก็ได้ยินเสียงลุงใหญ่ของเขาตะโกนขึ้น “พวกข้ายังต้องให้เจ้าชดใช้เงินด้วยซ้ำที่มาทำให้ผู้เฒ่าของเราโมโหจนเป็นลมไป เจ้ารอก่อน รอพวกเด็กๆ กลับมาก่อนเถอะ”
รถไม่ต้องเข็นมันแล้ว
ซ่งฝูเซิงกับพวกเกาเถี่ยโถวรีบวิ่งเข้าไปด้วยความเร็วดุจสายลม
ในขณะที่พวกชาวบ้านยังไม่ทันได้เห็นว่าอะไรเป็นอะไร ซ่งฝูเซิงเหลือบไปเห็นท่านลุงซ่งนอนอยู่บนพื้น จึงกระชากคอเสื้อของเริ่นจื่อฮ่าวจากทางด้านหลัง ตบจนหน้าหันไปสองที
ในใจเต็มไปด้วยความโมโห มาหาเรื่องถึงที่ใช่ไหม ฉวยโอกาสตอนพวกเราไม่อยู่
ตอนที่ 371
ตอนนี้คนในบ้านดูอ่อนแอไร้ทางสู้มาก พวกคนหนุ่มที่แข็งแรงอย่างแท้จริงไม่มีใครอยู่บ้านสักคน
ก่อนหน้านี้พวกผู้หญิงในห้องทำขนมต่างออกมากันด้วยความร้อนใจ ไม่อบขนมกันแล้ว
เฉียนเพ่ยอิงก็ถือกระบองเขี่ยกองไฟเดินออกมาจากโรงเพาะปลูกพริก เตรียมดูว่าถ้าเหตุการณ์ไม่ดีนางจะลุยเอง
ต้องทราบก่อนว่า ในสายตาของทุกคน นางได้รับการยอมรับว่าเป็น ‘คุณผู้หญิง’ แค่คิดก็รู้แล้ว
ถ้าไม่ติดว่าพวกซ่งฝูเซิงมาถึงทันเวลา คงได้ถูกคนรังแกถึงบ้านเข้าแล้วจริงๆ
อย่างไรเสีย เริ่นจื่อฮ่าวก็พาชายฉกรรจ์มาสามสิบเกือบสี่สิบคน ถ้าไม่ได้ชาวบ้านหลายคนที่หวังดีมาช่วยห้ามปราม พวกเริ่นจื่อฮ่าวคงได้เอาจอบฟันบ้านไปแล้ว
ทำไมพวกเด็กหนุ่มในครอบครัวไม่อยู่บ้านกันน่ะเหรอ
เพราะว่ามีการแบ่งเป็นออกเป็นสองกลุ่มนั่นเอง กลุ่มหนึ่งแยกย้ายไปตามแต่ละอำเภอ อีกกลุ่มเวลานี้กำลังนับเลขพลางลากก้อนหินขนาดใหญ่กลับมาจากริมเขา
วันนี้เถียนสี่ฟาพาคนไปลากก้อนหิน ขณะเดียวกันก็ได้พาไปขุดหลุมกับดักเอาไว้หลายหลุม จึงกลับมาค่อนข้างเย็น คิดว่าจะทำหลุมไว้ดักกระต่าย พรุ่งนี้มะรืนนี้ค่อยไปเก็บ
อีกทั้งซ่งฝูหลิงก็ไม่อยู่บ้าน
นางพาพวกเด็กๆ ตามลุงๆ อาๆ พวกนี้ที่ไปเก็บก้อนหิน ออกไปเล่นด้วย โดยอ้างเหตุผลที่ดูดีว่าเป็น ‘วิชานอกห้องเรียน’
ไปท่องโลกข้างนอก พาเสี่ยวหงออกไปเดินเล่น
ซ่งฝูหลิงขี่หลังม้า พวกเด็กๆ ร้องเจี๊ยวจ๊าวกันอย่างบ้าคลั่ง ตื่นเต้นไม่ไหว อยู่หน้าม้าหลังม้า วิ่งกลับบ้านพลางเล่นสงครามหิมะ
ซ่งฝูหลิงหันไปตะโกน “ปามาที่ข้าสิ ใครกล้าบ้าง”
ทันใดนั้นเอง ซื่อจ้วงที่กำลังลากแคร่อยู่ก็หูผึ่ง
เถียนสี่ฟาเดินอยู่หน้าสุด ทันใดนั้นก็หยุดมือที่ลากแคร่อยู่ ยกแขนเสื้อปาดเหงื่อ ตะโกนบอกพวกเด็กๆ “หยุดกันได้แล้ว เงียบๆ ให้ข้าฟังเสียงก่อน ทำไมเหมือนที่บ้านจะมีเสียงคนทะเลาะกัน”
จากนั้นไม่นานก็เห็นพวกซ่งฝูหลิงไม่เอาแล้วก้อนหิน แคร่ก็ทิ้งไว้ด้วย
ซ่งฝูหลิงไม่กล้าขี่ม้าเร็วๆ นางลงจากหลังม้า นางเองก็ไม่เอาเสี่ยวหงแล้ว รีบวิ่งหน้าตั้งกลับบ้านกันทันที
ในสายตาชาวบ้านของหมู่บ้านเหรินจยา พวกเขาเห็นเป็นแบบนี้
ซ่งฝูเซิงวิ่งเข้ามาในลานบ้านก่อน ตบปากเริ่นจื่อฮ่าวอย่างไม่พูดพล่ามทำเพลง อีกทั้งยังทำแบบสมดุล คือตบมันทั้งด้านซ้ายด้านขวา
ในขณะที่พวกเขายังไม่ทันได้ตั้งตัว รู้สึกว่าสิ่งที่พวกเขาเกลี้ยกล่อมมาก่อนหน้านี้ได้เสียแรงเปล่าในชั่วพริบตา เปลืองน้ำลายไปหนึ่งเค่อ ทั้งสองฝ่ายก็ใช้กำลังเข้าหากัน ชกต่อยกันอุตลุด
พวกนักเลงหลายสิบคนที่เริ่นจื่อฮ่าวพามา ตอนแรกมองไปก็ยังรู้สึกงงอยู่ ในมือมีจอบ บุคลิกท่าทางยังสู้พวกซ่งฝูเซิงไม่ได้
อีกทั้งพวกซ่งฝูเซิงที่เพิ่งกลับมาสิบกว่าคนนี้ ตอนเปิดฉากก็ไม่มีอาวุธ อีกฝ่ายมีจอบเชียวนะ แต่กลับกล้าหวดหมัดเปล่าพุ่งเข้าไป
ถ้าไม่เข้าไปจะเสียเปรียบ ดวงตาแดงก่ำหมดแล้ว ไอ๊หยา ดูก็รู้ว่าโมโหจนคลั่ง ประหนึ่งสัตว์ป่าคลุ้มคลั่ง
เห็นแบบนั้น ร้อนใจอยากพุ่งเข้าไปมีเรื่อง จึงเก็บอะไรแถวนั้นมาเป็นอาวุธ ไม่มีเวลาไปหาอาวุธดีๆ เก็บพวกไม้กระบองเขี่ยกองไฟขึ้นมาได้ จะเข้าไปสู้กับจอบของอีกฝ่าย
และก็ไม่สนว่าพวกคนที่มาช่วยเกลี้ยกล่อมจะโดนลูกหลงหรือไม่ เหวี่ยงสะบัดอาวุธไปทั่ว ใครเข้ามาก็สู้กับคนนั้น กดดันจนพวกเริ่นจื่อฮ่าวต้องถอยหลัง ไม้กระบองในมือกวัดแกว่งจนเรียกได้ว่าดุดันเอาเรื่อง
จากนั้นชาวบ้านของหมู่บ้านเหรินจยาก็หวาดผวาจนเกือบร้องไห้ อยู่ห้ามไม่ได้แล้ว เดี๋ยวพวกเขาจะซวยไปด้วย
เห็นเพียง แค่ชั่วพริบตาก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์แห่มาทางหน้าบ้าน
อีกทั้งกลุ่มชายฉกรรจ์กลุ่มนี้ยังชูมีดชูคราดแหลมคมขึ้นฟ้า ปรากฏตัวพร้อมเสียงตะโกนพร้อมเอาเรื่อง
แม่จ๋า ถ้าบอกว่าพวกผู้ใหญ่ทำตัวน่ากลัวแบบนี้ยังพอมีเหตุผล แต่พวกเด็กๆ ทำไมก็เอากับเขาด้วยล่ะ
ฟังดูนะ เด็กที่ยืนนำอยู่กำลังตะโกนว่า “ง้างธนู”
จากนั้นเพียงชั่วพริบตาก็ฟึ่บๆๆ เด็กๆ เรียงแถว ง้างธนูไปด้านหลัง เล็งเป้าหมายไปที่กลุ่มคน
เด็กคนที่อายุน้อยสุด อายุยังไม่ถึงห้าขวบเลยด้วยซ้ำ
พวกป้าอ้วนตกใจจนเนื้อแก้มสั่น ลากแม่สามีไปหลบอยู่ด้านหลัง ยืนอยู่ในกลุ่มคน ส่ายมือไปทางพวกเด็กเล็กไม่หยุด เบิกตาโพลงพูดติดๆ ขัดๆ “ยะอย่าๆ อย่ายิงพวกเรานะ พวกเรามาช่วยห้าม”
กลัวเหลือเกินว่าเด็กที่ยืนนำคนนั้นจะตะโกนว่า “ยิง” แล้ววินาทีถัดมาลูกธนูก็พุ่งฟึ่บๆๆ มาที่ตัวพวกเขา
แย่แล้ว สถานการณ์ไปกันใหญ่แล้ว
พวกผู้หญิงของฝ่ายซ่งฝูเซิงเข้ามาห้ามเด็กๆ จากนั้นก็อุ้มเด็กๆ วิ่งหนี เพราะมีลูกม้าสีแดงพุทราตัวหนึ่งอยู่ๆ ก็วิ่งมาจากข้างนอก เรียกได้ว่าวิ่งมาอย่างคึกคัก
เสี่ยวหงคิด ได้ยินว่าตีกันเหรอ มาแล้ว อย่าทิ้งกันสิ
แต่ไม่มีใครจูงมันขี่มัน ถ้ายังไม่ยอมให้มันดีดขาหลังอีก ก็จะถูกเลี้ยงจนกลายเป็นล่อแล้ว
เถียนสี่ฟาไม่สนใจจะทะเลาะกับพวกเริ่นจื่อฮ่าวแล้ว เขา หนิวจั่งกุ้ย ซ่งฝูหลิง สามคนช่วยกันลากเสี่ยวหง จับบังเหียนไว้ กลัวว่าเสี่ยวหงจะไปทำร้ายคนในครอบครัว และก็กลัวเสี่ยวหงคึกเกินไปจนเอาหัวพุ่งชนบ้าน ทำบ้านพังหมด
หมี่โซ่วเอาลูกธนูชี้พลางตะโกน “เสี่ยวหง ไป จัดการพวกเขา อย่าหยุด!”
เฉียนเพ่ยอิงคว้าตัวหมี่โซ่ว ฟาดก้นไปสองทีผัวะๆ แล้วอุ้มออกไป
ซ่งจินเป่าก็ถูกจูซื่อลากไว้แน่น เล่นเอาจูซื่อเหนื่อยจนเหงื่อแตก เด็กคนนี้แรงเยอะขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน อีกทั้งพอเห็นคนสู้กันทำไมถึงได้ตื่นเต้นไปกับเข้าด้วย จับจินเป่าไว้ยังต้องไปลากเอ้อร์หลังของบ้านลุงใหญ่ไว้ด้วย จูซื่อเหนื่อยแทบบ้า
ไม่กล้าให้เด็กๆ ยิงธนู เกิดไปทำคนอื่นพิกลพิการเข้าจะทำอย่างไร
ในขณะเดียวกัน ท่านลุงซ่งก็นอนต่อไปไม่ไหวแล้ว ค่อยๆ แอบลืมตาขึ้น สบตากับลุงใหญ่ของซ่งฝูเซิงที่ดูแลเขาอยู่ตลอด
ชายสูงวัยทั้งสองขยิบตาให้กัน ใช้สายตาสื่อสาร จะลุกหรือยัง หรือจะแกล้งทำต่อ
ถูกต้อง ท่านลุงซ่งแกล้งสลบ
มันเรื่องอะไรน่ะเหรอ
คือเรื่องเป็นอย่างนี้
อยู่ๆ เริ่นจื่อฮ่าวก็พาคนมา โวยวาย บอกว่าเขาไม่ใช่คนขี้ขลาด
ช่วงที่เขาไม่อยู่บ้าน พ่อของเขาถูกทำให้โมโหจนลุกไม่ขึ้น เห็นเขาตายแล้วอย่างนั้นเหรอ วันนี้ต้องมาคุยกันให้รู้เรื่อง
จากนั้นต้องการไถเงินค่ารักษาเริ่นกงซิ่นจากพวกเขา
พูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่าพวกเขาทำให้เริ่นกงซิ่นโมโหจนล้มป่วย พวกเขาต้องเป็นคนจ่ายค่ารักษา
ถ้าไม่ให้เงิน พอเห็นอะไรก็จะหยิบไป
หากเริ่นกงซิ่นมีอันเป็นไปก็จะให้พวกเขาชดใช้ด้วยชีวิต
ตอนนั้นท่านลุงซ่งฟังแล้วก็งงไปหมด
พวกเราไม่รู้ ไม่รู้ว่าทางนั้นคิดยังไง
ทำไมถึงกลายเป็นพวกเราทำคนล้มป่วยได้
ท่านลุงซ่งกับคนอื่นๆ ถึงได้มีปากเสียงกับพวกเริ่นจื่อฮ่าว
ถึงแม้พวกเด็กๆ ในบ้านจะออกไปกันเกือบหมด แต่พวกช่างไม้อย่างซ่งฝูสี่กับคนหนุ่มที่ใช้แรงงานก็ยังอยู่กันหลายคน พวกชายสูงวัยที่อยู่ในแปลงเพาะปลูกใต้ดินก็อยู่ พวกสตรีเด็กผู้หญิงที่ทำถังหูลูทำเสวี่ยเกาทำอาหารก็อยู่กันหมด
พูดให้ตรงหน่อยก็คือ พวกเราก็ไม่ได้กลัวจะมีเรื่อง อีกทั้งคำนวณเวลาอยู่ในใจ พวกเด็กๆ ที่ไปข้างนอกก็ใกล้กลับมากันแล้ว
ท่านลุงซ่งถามเริ่นจื่อฮ่าว
“สมองเจ้ามันกลวงหรืออย่างไร พ่อเจ้าป่วยแล้วมาหาพวกเราทำไม…
…อย่างเจ้าเป็นประเภทเพ้อเจ้อ และที่สำคัญเจ้าก็เพ้อเจ้อไปไกลมากแล้ว พวกเราอาศัยอยู่ทางฝั่งนี้ของแม่น้ำ ไม่ได้เจอพ่อของเจ้าเลย เจ้าคิดจะใส่ร้ายพวกเราเนี่ยนะ…
…พวกเราทำพ่อเจ้าโมโหจนลุกจากเตียงไม่ขึ้นหรืออย่างไร ทำไมเจ้าไม่ไปถามพี่ชายของเจ้าว่าใครทำ มาหาพวกเราทำไม คิดจะรังแกกันอย่างนั้นเหรอ”