ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 374
กลุ่มสุดท้าย คนในหมู่บ้านก็ไปกันหมดแล้ว
หัวหน้าตระกูลเหรินถอดหมวกผ้าฝ้ายออก เช็ดเหงื่อบนศีรษะ รีบวิ่งมาแทบตายในที่สุดก็จบลงสักที
หัวหน้าตระกูลเหรินตบบ่าซ่งฝูเซิง อึกอักเหมือนอยากพูดอะไรแต่ก็ไม่พูด จากนั้นก็หันไปถามท่านลุงซ่งด้วยความเป็นห่วงว่าเป็นอย่างไรบ้าง ต้องให้ไปเชิญหมอมาไหม แล้วต่อมาถึงตามหลังพวกชาวบ้านออกไปด้วย
เขายังมีเรื่องต้องทำ
เด็กหนุ่มพวกนั้นที่หามา คิดจะไปทั้งแบบนี้น่ะเหรอ
ไม่มีทาง
เขาให้พวกชายฉกรรจ์ของหมู่บ้านคุมตัวเอาไปไว้ที่หอบรรพชน
เขาอยากถามดูว่า เป็นพวกอันธพาลจากหมู่บ้านไหน ต้องไปคุยกับหลี่เจิ้งของหมู่บ้านเหล่านั้นสักหน่อยว่าให้คุมเจ้าพวกตัวสร้างความเดือดร้อนพวกนี้ให้ดี
นอกจากนี้ เขาต้องไปที่บ้านเริ่นกงซิ่นด้วย
เมื่อครู่เริ่นจื่อฮ่าวตามพี่ชายคนรองของเขาออกมา หน้าตาละห้อย ทำตัวหดแม้แต่จะตดยังไม่กล้า
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าไม่เคยมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น
ในหมู่บ้านใช่สถานที่ที่เขาจะไปสร้างความวุ่นวายตรงไหนก็ได้อย่างนั้นรึ
คิดว่าพ่อตัวเองยังเป็นหลี่เจิ้งอยู่หรืออย่างไร
หาเรื่องใส่ตัว
กลับเป็นพวกซ่งฝูเซิงที่หลังจากทุกคนกลับไปแล้ว ดูเหมือนจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติในชั่วพริบตา
ทั้งๆ ที่ตอนสู้กัน ทุกคนก็บาดเจ็บกันอยู่บ้าง
บางคนมือกับแขนเลือดออก บางคนถูกข่วนที่ใบหน้า มีรอยเลือด
แต่ทุกคนกลับทำเหมือนไม่มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น
หลังจากที่พากันเข้าไปถามไถ่อาการท่านลุงซ่ง ท่านลุงซ่งก็บอกว่าแกล้งทำ ขู่พวกเขา กลัวพวกเขาทำร้ายพวกเราถึงได้นอนลงไป ยิ่งไปกว่านั้น ยังทำท่าทางเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ ใครจะไปทำอะไรก็รีบไปทำ
ช่วยกันทำแผล จัดการรถเข็นที่อยู่หน้าประตู
ถามพวกเด็กๆ ว่าวันนี้ตั้งใจเรียนหรือเปล่า
เกาถูฮูหยิบขวดยาออกมา ช่วยทายาแดงพลางถาม “วันนี้ขายหมดไหม เปิดแผงขายวันสุดท้าย มีลูกค้าสั่งจองอีกหรือเปล่า”
พอถามแบบนี้ ทันใดนั้นเถียนสี่ฟาก็นึกขึ้นได้ว่าก้อนหินที่ลากกลับมายังอยู่ด้านนอก
รีบเรียกพวกซื่อจ้วงให้รีบไปลากกลับมา
ซ่งฝูลู่ก็ตีหัวตัวเอง รถเข็นอยู่ที่ฝั่งนู้น
ไม่มีเวลาตอบ รีบพาคนข้ามแม่น้ำไปเอารถเข็นที่ทิ้งไว้หน้าทางเข้าหมู่บ้าน
เมื่อไปถึงริมน้ำ ชาวบ้านปากไวที่แจ้งข่าวพวกเขาว่าที่บ้านเกิดเรื่องคนนั้น ยังคงอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน หนาวจนน้ำมูกไหล สองมือซุกไว้ในแขนเสื้อเพื่อให้อบอุ่น
ถามเขาว่าทำไมไม่กลับบ้าน
เขาบอกว่า “เฝ้ารถให้พวกเจ้าน่ะสิ ได้ยินว่าพวกเจ้าจัดการพวกเขาจนหงอไปเลยเหรอ เร็วเข้า รีบมาเข็นรถไป ข้าจะรีบไปส่องที่หอบรรพชน”
ภายในห้องชุมนุม ได้เริ่มทำการผัดเครื่องปรุงรสเผ็ดกันอีกแล้ว กลิ่นฉุนตลบไปหมด
คนที่ยกถาดเข้าไปทุกคน ตอนออกจากห้องชุมนุมมาต่างยืนจามน้ำมูกไหลอยู่ตรงหน้าประตู แทบอยากยืนอยู่ข้างนอก ไม่อยากเข้าบ้าน อยากสูดอากาศเย็นเข้าไปไล่กลิ่นฉุนในจมูกก่อน
ผ่านไปสักพัก สองกลุ่มที่ไปอำเภอจยากับเมืองถงเหยาก็กลับมา
ท่านยายหวังชี้หน้าซ่งฝูกุ้ยพลางถาม “หน้าเจ้าไปโดนอะไรมา แถมยังทายาด้วย รู้ไหมว่ายาแดงมันแพงขนาดไหน แผลถลอกกิ่งไม้บาดแค่นี้ไม่ต้องไปทาหรอก”
ซ่งฝูกุ้ยเอามือปิดหน้า “แผลถลอกกิ่งไม้บาดที่ไหนกัน ท่านป้า ข้าไปสู้กับคนมาแล้วถูกข่วน ถ้าไม่ทายาเกิดเป็นแผลเป็นขึ้นมาจะทำอย่างไร เดิมทีหน้าของข้าก็ยิ่งไม่หล่ออยู่ด้วยนะ”
“อะไรนะ เจ้าถูกใครข่วน เจ้าถูกพวกผู้หญิงคนไหนในหมู่บ้านรุมข่วนมาล่ะ”
ซ่งฝูสี่ทนฟังต่อไปไม่ไหว จึงอธิบายให้พวกเขาฟังอย่างละเอียด
เขาอยู่ตั้งแต่ต้นจนจบ จัดอยู่ในประเภทปืนใหญ่แนวหน้า
สองกลุ่มที่ไปอำเภอจยากับเมืองถงเหยาฟังจบก็ก่นด่าทันที
พวกผู้ชายรู้สึกเสียดายที่มาไม่ทัน ไม่อย่างนั้นจะจัดการเด็ดหัวพวกที่ถือจอบเข้ามาให้เหมือนหัวหมู
กลุ่มสุดท้ายที่กลับมาคือพวกท่านย่าหม่า
ไอ๊หยา ท่านย่าหม่างานยุ่งเหลือเกิน
ใกล้ขึ้นปีใหม่แล้ว คนที่ปกติกินหรือไม่กินขนมเค้ก ยอมเสียเงินซื้อขนมเค้กหรือไม่ ตอนนี้เฮโลกันมาซื้อไปลองคนละชิ้นสองชิ้น
ที่กลับมาเย็นก็ไม่ใช่เพราะรอขายหมด เพราะขายหมดนานแล้ว
แต่เพราะรอคนมาสั่งสินค้าต่างหาก ลงรายการ ยืนยันให้แน่ใจว่าสั่งกี่ก้อน เอาอะไรบ้าง ถ้าไม่จ่ายเงินมัดจำก็จะไม่ทำให้
บางคนช่วยมาเป็นธุระให้คนอื่น ก็ต้องรีบวิ่งกลับไปหาเจ้านายเพื่อยืนยันให้แน่ใจ
รายการขนมที่อยู่ในร้านทั้งสามฉบับน่ะเหรอ พอตกบ่ายก็ถูกยืมไปหมดแล้ว ให้เจ้านายสั่งจากในรูป อย่าเอาแต่บอกว่าให้ไปจัดการมา ให้จัดการอะไรล่ะ ในร้านไม่รับสั่งแบบนี้ ส่งเดชเกินไป จะขายให้อย่างไรกัน
หลังจากท่านย่าหม่ากลับมา สิ่งแรกก็คือไม่ต้องทำอย่างอื่น นั่งขัดสมาธินับเงินอยู่บนเตียงก่อน เอารายได้ของทั้งสี่ร้านในวันนี้มานับ
นับจนยิ้มหน้าบาน “ขายดิบขายดี”
ต่อมาก็ลงรายการ
ช่วงหลายวันมานี้มีงานนี้เพิ่มเข้ามา ทำให้เวลาประชุมของพวกพี่ๆ น้องๆ ต้องยืดออกไป เพราะสามอำเภอที่เหลือก็รับรายการสั่งจองมาเหมือนกันใช่ไหมล่ะ
ยังคงคำพูดเดิม ใกล้ปีใหม่ คนปกติที่ไม่ว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อขนมเค้ก ต่างก็มาซื้อกันหมด บ้างก็ไม่ได้ซื้อไปกินเองแต่กะจะเอาไว้เป็นของขวัญในช่วงเทศกาล
“วงกลมยุ่งเหยิงที่เจ้าวาดนี่มันหมายความว่ายังไง” ท่านย่าหม่าเงยหน้าถาม
ท่านยายกัวชะโงกหน้าดู “อ๋อ หนึ่งวงก็หนึ่งก้อน ในนี้วาดไว้กี่วงก็จำนวนก้อนเท่านั้น วาดไว้ด้วยกันก็คือหนึ่งบ้านซื้อ”
เข้าใจแล้ว ท่านย่าหม่าเขียนลงไปในสมุดพลางพูดโดยไม่เงยหน้า
“อย่าหาว่าข้าว่าเจ้าเลยนะยายกัว เจ้าลงบัญชีแบบนี้ยังสู้ยายหวังกับเหล่าเก่อไม่ได้เลยนะ ยุ่งเหยิงไปหมด เจ้ากลับมาแล้วอธิบายให้ข้าฟังมันก็ได้อยู่หรอก แต่ข้ากลัวว่าเจ้าจะจำชื่อลูกค้าไม่ได้แล้วจะเอาของให้ผิด”
“ไม่มีทาง เหล่าฉีช่วยข้าจำอยู่ นางน่ะจำคนแม่นมากเลยนะ แล้วก็ข้าก็วาดไว้แล้วนี่ไง อย่างชุดนี้ของคนแซ่โจว ข้าก็วาดรูปคนตัวเล็กๆ เดินออกจากประตู ของคนแซ่หลิว ข้าก็วาดคนตัวเล็กๆ เดินเข้าร้าน แบบนี้ไงล่ะ”
“ไม่ต้องเหนื่อยขนาดนั้น ยายกัว เจ้าเรียนเขียนอักษรเถอะ ดีไหม เอาแต่วาดมันยุ่งยากจะตาย จำเก่งไม่สู้เขียนเป็น หาเวลาว่างลองขีดๆ เขียนๆ ต่อให้หนึ่งเดือนเขียนได้แซ่เดียวก็เถอะ นานวันเข้า สะสมไปเรื่อยๆ ก็ไม่ใช่คนไม่รู้หนังสือแล้ว”
คำพูดของท่านย่าหม่าที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นคำพูดดั้งเดิมที่ปกติซ่งฝูหลิงชี้แนะท่านย่าหม่าอยู่เสมอ
อันที่จริงพวกยายๆ ไม่ชอบเรียน หลายสิบปีผ่านมา ชินกันแล้ว เรียนลำบากจะตาย
แต่ซ่งฝูหลิงมักพูดกับท่านย่าหม่าแบบนี้
“ท่านย่าทำแบบนี้ไม่ดีนะ…
…มันจะเป็นการจำกัดความก้าวหน้า…
…วันหน้าเกิดท่านย่าซื้อบ้านได้ กลายเป็นฮูหยินผู้เฒ่าดูแลบ้าน แต่กลับไม่เข้าใจบัญชีใช้จ่ายที่บ่าวรับใช้เขียน แบบนี้พวกเขาก็หลอกท่านย่าได้สิ…
…อีกอย่าง เกิดท่านย่าอยากเขียนจดหมาย มีความลับ อย่างเช่นอยากแอบบอกข้าว่าท่านย่าเก็บเงินได้เท่าไรแล้ว เรื่องใหญ่แบบนี้จะให้คนอื่นเขียนก็ไม่ได้หรือเปล่า”
ตอนนั้นท่านย่าหม่าก็จินตนาการตาม พูดถูก ก็จริงอย่างว่า
เมื่อเป็นแบบนี้ นางจึงเริ่มพยายามหัดเขียน
นี่ไงล่ะ ท่องจำมันเข้าไปก็เขียนได้ตั้งหลายแซ่ พอเป็นแบบนี้ก็เริ่มรังเกียจคนอื่นที่เอาแต่วาดรูป
แต่หลังจากท่านย่าหม่าลงรายการของท่านยายกัวเสร็จก็ยิ้มออกมา พอใจจำนวนสั่งจองมาก ยกนิ้วโป้งให้ “เยี่ยมมาก”
ต่อมาก็หยิบกระดาษสองแผ่นที่เก่อเอ้อร์นิวยื่นให้ บันทึกลงในสมุด
เมื่อจดเสร็จแล้วพวกยายๆ ก็นั่งอยู่บนเตียงอุ่นแล้วถึงได้ถามท่านย่าหม่า “ตอนกลับมาเห็นแผลที่หน้าฝูกุ้ยหรือเปล่า”
“ทำไมเหรอ”
“กะแล้วว่าเจ้าไม่เห็น ถูกคนข่วนมาน่ะสิ ยังไม่รู้ใช่ไหมล่ะว่าบ้านเรามีเรื่องกับคนอื่น”