ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 375
“กับข้าวเสร็จแล้วจะไปไหนกันเหรอ” ซ่งฝูกุ้ยที่ใบหน้าทายาแดงพูดขึ้น
สิ่งที่หลงเหลือให้เขาคือ แผ่นหลังของพวกยายๆ ที่เดินจากไป
เพราะว่าเมื่อบ่ายมีเรื่องกันก็เลยทำอาหารช้า กับข้าวเลยเพิ่งเสร็จ
ต้องผัดเครื่องปรุงรสก่อน เครื่องปรุงรสจำเป็นต้องทิ้งไว้ให้เย็น อีกทั้งต้องผัดจำนวนมาก พรุ่งนี้ต้องส่งของแล้ว
ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงทนหิว ผัดเครื่องปรุงรสออกมาให้เสร็จก่อนชุดหนึ่ง จากนั้นก็เตรียมของสำหรับชุดสองชุดสามแล้วถึงทำอาหาร
ในที่สุดอาหารมื้อนี้ก็เสร็จพร้อมกิน แต่พวกยายๆ กลับเดินหนี
ซ่งฝูหลิงกำลังนั่งอยู่บนเตียงเตา เกาหัวคิดเรื่องต่อไม่ออก
พอได้ยินเสียงข้างนอกก็โยนพู่กันทิ้ง มือข้างหนึ่งหยิบหมวกมาใส่หัว มืออีกข้างถือรองเท้าผ้าฝ้าย “ท่านแม่ ไปเร็ว”
เฉียนเพ่ยอิงกำลังถือผ้าขี้ริ้วที่เพิ่งซัก แอบงง “ไปไหน”
“ตามหลังท่านย่าไปดู จะต้องมีเรื่องสนุกแน่ และก็เพื่อกันไม่ให้ท่านย่าเสียเปรียบ เดินช้า ข้าจะได้รีบวิ่งกลับมาส่งข่าว ไปๆๆ เร็วเข้า”
ซ่งฝูหลิงดึงมือท่านแม่ จากนั้นก็เอาหมวกใส่ให้เฉียนเพ่ยอิง ดึงออกไปข้างนอก เดินไปพูดไป “ก็พอดี พวกเราสองคนยังไม่เคยเดินเข้าไปในหมู่บ้านเลย ลองเข้าไปดูสักหน่อยว่าเป็นยังไง”
ท่านลุงซ่งยืนอยู่ที่หน้าประตู มองไฟคบเพลิงที่อยู่ไกลๆ
ซ่งฝูกุ้ยถามอยู่ด้านหลังท่านลุงซ่ง “ท่านลุงซ่ง ดูเหมือนพวกนางจะไปรุมด่า ต้องให้ข้าตามไปดูไหม”
ท่านลุงซ่งทำหน้าเศร้า เขาไม่ได้สนว่ายายๆ พวกนั้นจะไปทำอะไร เขาสนใจแค่ว่า
“พั่งยาไม่อยู่บ้านแต่งเรื่องต่อ เมื่อบ่ายก็ออกไปเล่น ไม่เชื่อฟังเลยสักนิด พอนั่งลงเขียนอยู่ดีๆ ก็ออกไปอีกแล้ว จะต้องเขียนออกมาได้ไม่เท่าไรแน่ๆ แล้วกลางคืนจะฟังอะไร”
ยังได้หันไปถามซ่งฝูกุ้ย “หา? จะฟังอะไร”
…
ที่หน้าบ้านเริ่นกงซิ่น
เหล่าหญิงสูงวัยยืนกันหลายท่า
มีคนที่เท้าเอว
มีคนที่มือข้างหนึ่งเท้าเอว มืออีกข้างชี้ไปประตูบ้านเริ่นกงซิ่น
มีคนที่ด่าไปตบมือไป
“เห็นใครอ่อนแอน่ะหา นี่ยังดีนะที่ไม่ทำให้ผู้เฒ่าโมโหจนเป็นอะไรไป พวกเด็กๆ ในบ้านกลับมากันพอดี ไม่อย่างนั้น ทำไมน่ะเหรอ จะรื้อบ้านพวกเราแล้วใช่ไหม…
…ให้บ้านโทรมๆ กับพวกเรา เดี๋ยวคนนู้นจะมาพัง คนนี้จะมารื้อ พวกเจ้าเก่งกันนักเหรอ มาสิมา ออกมา ข้าจะดูสิว่าพวกเจ้าจะมาขี้รดบนคอข้าได้ไหม ไม่รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดีเลยหรือไง…
…ยังจะมาไถเอาเงินจากพวกเรา พ่อเจ้าจะตายหรือไม่ตาย คิดจะมาเอาเงินอะไรจากพวกเรา แถมยังมาบอกว่าพวกเราทำให้โมโห คิดว่าเก่งนักเหรอมาระรานคนอื่น จะบอกให้นะ หาเรื่องผิดคนแล้ว”
ท่านยายหวังพูดต่อ ให้ท่านย่าหม่าได้พักบ้าง
“นั่นสิ พวกครอบครัวสกปรกหน้าไม่อาย ก่อนออกจากบ้านไปหาเรื่องไม่รู้จักเยี่ยวส่องหน้าตัวเองก่อน…
…เจ้าพวกขี้ขลาดแต่ชอบทำตัวอวดดี แต่ละเรื่องที่ทำไม่มีความเป็นคน ขาดก็แค่ไปแย่งอาหารจากปากหมาแล้ว ไอ้พวกกากขี้วัว แมงกุดจี่…
…ลูกที่ออกมาแต่ละตัวก็เส็งเคร็งเหมือนสวรรค์ลงโทษ”
เก่อเอ้อร์นิวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ถุย บอกว่าพวกเขาเส็งเคร็งยังยกย่องเกินไปด้วยซ้ำ ผู้เฒ่าบ้านเราอายุมากขนาดนั้นแต่กลับปล่อยให้ไอ้ลูกหมาบ้านเจ้ามาชี้หน้าด่าบรรพบุรุษ บรรพบุรุษของพวกเราทำไมเหรอ เคยอุ้มลูกหลานพวกเจ้ากระโดดข้ามบ่อหรือไง อายุแค่นั้นมาด่าคนแก่ ปากไม่หัดสะสมบุญ ปากเป็นคXXเหรอ ไอ้ชาติหมา ไปแดกขี้หมาไป”
ตอนที่ซ่งฝูหลิงกับเฉียนเพ่ยอิงไปถึงก็ได้ยินประโยคสุดท้ายพอดี
สองแม่ลูกหลบอยู่มุมมืด
เฉียนเพ่ยอิงถามลูกสาวอย่างอึ้งๆ “ไปแดกขี้หมา หมายความว่าอะไร”
“ไปกินขี้ไป”
ซ่งฝูหลิงตอบเสร็จก็คิดในใจ
โอ๊ยให้ตายเถอะ จะยุคโบราณหรือยุคปัจจุบัน คนทั่วไปไม่มีใครด่าสู้พวกคนแก่ได้เลยจริงๆ
หน้าตาขึงขัง เท้าแยกออก มือเท้าเอว บุคลิกดุดัน คำพูดอะไรก็กล้ายืนด่าข้างนอกหมด
เอาตั้งแต่อวัยวะในร่างกายคน ด่าไปจนถึงสัตว์ แล้วค่อยโจมตีจุดอ่อนของอีกฝ่าย
ยังไม่ทันที่ซ่งฝูหลิงจะวิเคราะห์จบ ทันใดนั้นลานบ้านของตระกูลเหรินก็สว่างขึ้น คบเพลิงหลายอันถูกจุดขึ้น
ชาวบ้านที่ตามติดเหตุการณ์ พอเห็นคนถูกด่าออกมาแล้ว ก็ตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก
อย่างเช่นพวกป้าอ้วน ที่โยนถั่วเหลืองเข้าปากถี่กว่าเดิม
พอประตูใหญ่เปิดออก ภรรยาของเริ่นกงซิ่น หน้าแดงคอตันยืนอยู่บนพื้นสูง มองเห็นชาวบ้านที่มารุมล้อมไม่ชัด
นางสะบัดผ้าเช็ดหน้าในมือคล้ายกับไล่สิ่งสกปรก จ้องหน้าพวกยายๆ ที่มายืนด่า จากนั้นก็ด่ากลับ แตกต่างจากตอนปกติ
“ไสหัวไป๊ อย่ามาอ้างความอาวุโสแถวนี้ ถ้ากล้าทำให้ท่านพี่กับเด็กในท้องของข้าโมโหล่ะก็ ข้าจะเอาเรื่องพวกเจ้า เชื่อไหมล่ะ รีบไสหัวออกไปจากตรงนี้เสีย”
ตะโกนเสียงดังฟังชัดพร้อมมีท่าทางประกอบ ประโยคสุดท้ายพูดพร้อมสะบัดผ้าเช็ดหน้าอย่างแรง
ไอ๊หยา ใจกล้ามาก
“ถุย ข้าไม่เชื่อ รีบมาเอาเรื่องพวกข้าสิ เจ้ามันก็คนชั้นต่ำ คิดจะมาอวดเบ่งกับใคร คนอย่างเจ้าน่ะข้าเจอมาเยอะแล้ว”
“ถุย วันๆ อุ้มท้องโย้เดินเฉิดฉายไปมา แต่เท่าที่พวกข้านับวัน ตอนเจ้าเริ่มตั้งท้อง ช่วงนั้นสามีขี้ขลาดของเจ้าไปขายรำข้าวที่ชานเมือง เด็กในท้องเจ้าน่ะลูกใครเหรอ พูดไม่ออกใช่ไหม ไอ๊หยา ทุกคน ข้าไม่ได้จะอะไรนะ ข้าก็แค่เดาไปเรื่อย พวกเจ้าช่วยเป็นพยานให้ข้าด้วย”
“เจ้า พวกเจ้ามันยายแก่ชั้นต่ำ กล้าใส่ร้ายข้า!”
“ถุย ถ้าพวกข้าชั้นต่ำ งั้นเจ้าก็อีตัวชาติหมา”
“ถุย ดูอย่างเจ้า อายุยังน้อยก็มาแต่งกับตาแก่ชั้นต่ำไร้ยางอาย ดูก็รู้ว่าเจ้าน่ะต่ำกว่าใคร”
ซ่งฝูหลิงรู้สึกว่า เมื่อครู่นางยังสรุปได้ไม่ครอบคลุม
จริงๆ ควรสรุปแบบนี้
พวกยายๆ เปิดสงครามด่า เอาตั้งแต่อวัยวะในร่างกายคนด่าไปจนถึงสัตว์ แล้วค่อยโจมตีจุดอ่อนของอีกฝ่าย
สุดท้ายงัดท่าไม้ตาย สงสัยว่าทางนั้นทำเรื่องผิดศีลธรรม สงสัยว่าลูกในท้องเป็นของคนอื่น
เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ว่า พอด่าจนหนำใจสบายอกสบายใจแล้วจึงจากไป คนในหมู่บ้านก็จะลือกันไปจนน้ำลายท่วมทุ่ง ดีไม่ดียังจะทำให้ครอบครัวนั้นเกิดดราม่าครั้งใหญ่อีกด้วย
ซ่งฝูหลิงเอามือปิดตา ยอม ยอมใจจริงๆ
เฉียนเพ่ยอิงก็ยอมใจ แต่คนที่นางยอมใจคือซื่อจ้วง หันไปถามด้วยความสงสัย “อุ้มเขาออกมาทำไม”
หืม? ซ่งฝูหลิงเลิกปิดตา หันหน้าไป หมี่โซ่วกำลังฉีกยิ้มซื่อๆ อยู่ในอ้อมอกของซื่อจ้วง
พอถูกเห็นเข้า ก็พยายามฉกฉวยโอกาสสุดท้ายมองไปยังพวกยายๆ สีหน้าบ่งบอกอรรถรสในการรับชม
ย่อมให้อยู่ฟังต่อไปไม่ได้อีก
เฉียนเพ่ยอิงอยู่บนสะพาน เดินไปก็ตำหนิซื่อจ้วงไป
“บ้านเราไม่มีเจ้านายกับลูกน้อง ใครพูดถูกก็ฟังคนนั้น…
…ต่อไปถ้าเขาสั่งอะไรเจ้าอีก ก็ไม่ต้องไปสนใจเขา…
…เหตุการณ์แบบนี้ให้เด็กไปฟังได้เหรอ…
…เขาเพิ่งจะห้าขวบ ยังแยกแยะถูกผิดไม่เป็น ตามใจเขาได้อย่างไร…
…อีกอย่าง บ้านเราก็เป็นแค่ครอบครัวชาวสวน ไม่มีคุณชายน้อยอะไรทั้งนั้น หมี่โซ่วก็เป็นแค่เด็กทั่วไปในครอบครัว เจ้าเป็นพี่ชายของเขา…
…เจ้าเห็นพี่ชายบ้านไหนบ้างที่เชื่อฟังน้องชาย…
…ซื่อจ้วง วันหน้าเจ้าต้องจำไว้ อะไรที่เจ้าคิดว่าไม่ถูกก็ไม่ต้องทำ ข้าจะรอดูว่าเขาจะทำอะไรได้…
…ถ้าเขากล้าวางมาดเป็นเจ้านายเจ้า มาหาข้านี่ ข้าไม่สนหรอกนะว่าเขายังมีลุงอยู่อีกคน ไม่เชื่อหรอกกว่าข้าจะจัดการเขาไม่ได้…
…เด็กห้าขวบยังรู้จักรังแกคนอื่น รู้จักเลือกคนรังแก”
ซ่งฝูหลิงเดินอยู่กับน้องชาย สบตากับหมี่โซ่ว ความหมายในแววตาก็คือ สมควรโดนด่าแล้ว