ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 376
เฉียนหมี่โซ่วรู้สึกว่าตัวเองโดนด่าอย่างไม่ยุติธรรม
เขาก็แค่เห็นพวกท่านย่าไม่กินข้าว เดินออกมาข้างนอก พี่สาวกับท่านป้าก็เดินตามกันออกมาราวกับมีเรื่องสนุกอะไร จึงให้ซื่อจ้วงอุ้มเขาออกมา
เขาไม่ได้สั่งนะ
แค่ทำเสียงขึ้นจมูก ‘หืม?’ ตอนซื่อจ้วงส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วซื่อจ้วงก็อุ้มเขาขึ้นมา
อีกทั้งเขารู้ที่ไหนกันว่าพวกท่านย่าจะมาด่าคน
ถ้าเขารู้ล่วงหน้า เขาคงไม่มาหรอก เพราะเขารับปากพี่แม่ทัพเล็กเอาไว้
เฮ้อ หมี่โซ่วถอนหายใจแบบที่ไม่สมกับอายุ ผายสองมือน้อยๆ ออก
ต่อไปจะให้ทำอย่างไร ความจำดีเกินไปก็โทษเขาอย่างนั้นเหรอ จำได้หมดแล้ว อยากลบก็ลบไม่ได้
ต่อมาก็เอามือปิดปากแอบหัวเราะมีความสุขในขณะที่เฉียนเพ่ยอิงกับซ่งฝูหลิงไม่ทันสังเกต คิดในใจ
แมงกุดจี่คือแมงอะไร ไว้เดี๋ยวค่อยไปศึกษา ไปแดกขี้ไป ฮ่าๆๆ
สักพักพวกยายๆ ก็กลับมากัน
พอกลับมา ทุกคนก็ถาม “ด่าเป็นยังไงบ้าง”
“สะใจ คนทั้งหมู่บ้านมามุงดูพอดี พวกเราเลยด่าให้คนที่ไม่รู้เรื่องอะไรได้ฟังด้วย บางครั้งลงมืออย่างเดียวไม่มีประโยชน์ มันต้องด่าด้วย ให้คนได้รู้ว่ามันเรื่องอะไรกัน”
“ถูกต้อง ตบด่าตบด่า มันเป็นของคู่กัน ขาดการด่าไปมันคงไม่สะใจ”
ซ่งฝูเซิงยกชามใหญ่มาสองชาม ใช้ตะเกียบคีบผักกาดขาวห่อเต้าหู้เย็นเข้าปาก จากนั้นก็กัดหมั่นโถว กัดหนึ่งคำ หายไปหนึ่งส่วนสี่ พอฟังจบก็ถามอย่างคลุมเครือ “ทางนั้นยังไม่ตายใช่ไหม”
พวกยายๆ พากันหัวเราะ
ท่านยายกัวรับชามข้าวที่สะใภ้ใหญ่ยื่นให้ กินไปยิ้มไปแล้วตอบ
“ครอบครัวหน้าหนาแบบนั้น อาหารบรรเทาทุกข์พวกเราก็ยังคิดจะโกง คนหิวตายอยู่ตรงหน้า พวกเขาก็เลือดเย็นได้อย่างไม่แยแส มีเหรอที่แค่โดนด่าแล้วจะตาย…
…ถ้าเขาโดนด่าแล้วโมโหตายมันก็สมควรแล้ว วันหน้าพวกเราพี่น้องจะได้รวมกลุ่มกัน…
…หลี่เจิ้งคนไหนกล้าเอาเปรียบชาวบ้าน แม่จะไปด่าให้หมด เอาให้ตายเกลื่อน ไม่แน่ชาวบ้านอาจได้มีชีวิตที่ดีขึ้น…
…จะได้ไม่ต้องรับเคราะห์เพราะคนเส็งเคร็งแบบนี้”
คำพูดนี้เล่นเอาพวกผู้หญิงพากันหัวเราะครืน
พวกผู้ชายก็ยิ้มฮี่ๆ เหมือนคนซื่อบื้อ
เก่อเอ้อร์นิวสะกิดท่านยายกัว “เจ้ายังด่าไม่พออีกเหรอ ไม่เจ็บคอบ้างหรือ ล้างมือหรือยังจะกินข้าวน่ะ”
“มือข้าไม่สกปรก”
“ก็ต้องไปล้างอยู่ดี ล้างเสนียดออก”
ท่านยายเถียนตะโกนเรียกพวกท่านยายกัว “มา ข้ามีน้ำล้างมืออุ่นๆ พวกเจ้ามาล้างสักหน่อย”
ท่านย่าหม่าสะบัดหยดน้ำในมือ นางไม่เช็ด รับชามข้าวมาจากต้ายา นั่งลงตรงหน้าซ่งฝูเซิงกับท่านลุงซ่ง “จริงสิ รู้หรือเปล่าว่าทำไมพวกเราถึงกลับมาเร็ว”
“ทำไม”
“ลูกชายคนโตของเขากลับมาแล้ว เจ้านั่นน่ะ จึ๊ ชื่ออะไรนะ ไอ้ที่ชอบทำตัวหงอนั่นน่ะ”
ซ่งฝูหลิงเข้าใจทันที ท่านย่าของนางหมายถึง คนขี้ขลาด
นางพูดขึ้น “ท่านย่า เขาชื่อเริ่นจื่อเซิง”
“ใช่ เจ้านั่นแหละ เด็กๆ อย่างเจ้าความจำดี” ย่าหม่ากัดต้นหอมใหญ่หนึ่งคำ จากนั้นก็ซดน้ำแกงผักกาดขาว พอกลืนเสร็จถึงพูดกับพวกซ่งฝูเซิงต่อ
“พวกเรากำลังด่าอย่างติดลม คนในหมู่บ้านพากันหัวเราะ พวกผู้หญิงบางคนคงเห็นฟ้ามืด ยังไงซะก็มองเห็นไม่ชัดว่าใครเป็นใคร หัวเราะอย่างไม่สนอะไร ฮ่าๆ เลยไม่ได้ยินเสียงรถ ลูกชายคนโตบ้านนั้น สวมชุดผ้าต่วนมายืนตรงหน้าข้าอย่างกับผี”
ยายหวังแย่งพูด บอกทุกคน “คนพวกนั้น ทำตัวโอหังจะตาย พอเห็นพวกเราก็ทำจมูกฮึดฮัด ยังถามอีกว่า พวกเจ้าอาศัยอยู่ที่ไหน ทำไมถึงได้มาทำตัวอันธพาลที่หน้าบ้านของเขา บอกว่าพวกเรามายืนด่าป่าวๆ ไร้เหตุผลสิ้นดี”
ซ่งฝูเซิงเลิกคิ้ว “แล้วพวกท่านว่าไงต่อ”
เก่อเอ้อร์นิว “ข้าบอกเขาไปว่า เพราะอะไรก็ไปถามพ่อเจ้าสิ บ้านข้าอยู่ฝั่งนู้น ซ่งฝูเซิงหลานชายข้า”
ซ่งฝูเซิง “…”
ทันใดนั้นเฉียนเพ่ยอิงก็สำลักน้ำแกง “แค่กๆๆ”
“ท่านแม่ ไม่เป็นไรใช่ไหม” ซ่งฝูหลิงรีบหยิบน้ำให้
ขณะยื่นถ้วยน้ำให้ สองแม่ลูกก็สบตากัน พอสบตาเสร็จ แววตาก็มีรอยยิ้มที่รู้กัน
พวกนางขำภาพที่จินตนาการอยู่ในสมอง
ท่านพ่อของนาง เหล่าซ่งของนาง เวลานี้จะต้องคิดอยู่ในใจแน่ว่า เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย ทำอะไรกัน ลากข้าเข้าไปทำไม
พวกยายๆ ยังพูดอีกว่า
“ตอนนั้นพอคนในหมู่บ้านเห็นเริ่นจื่อเซิงปรากฏตัว แต่ละคนก็เงียบกริบ แต่พวกเราไม่กลัวเขา…
…ไหนยังจะนังแม่เล็กคนนั้นอีก ด่าพวกเราฉอดๆ ใช่ไหมล่ะ พอเห็นหน้าเขาก็รีบเข้าไปร้องไห้คร่ำครวญทันที…
…ไอ๊หยา ให้ตายเถอะ ก็แค่เจอลูกเลี้ยงคนโต ทำอย่างกับเจอสามีตัวเอง…
…ดูจากการทำตัว จึ๊ๆๆ ต่อให้ท้องนี้ไม่ใช่ลูกคนอื่น แต่พวกเราดูแล้วนะ ท้องหน้าก็ไม่แน่หรอก”
“ข้าจะบอกพวกเจ้าให้นะ พวกแม่เล็กน่ะ…”
ท่านลุงซ่งรีบห้าม “อะแฮ่ม พวกเด็กๆ ยังกินข้าวอยู่ พวกเจ้าพูดอะไรก็ระวังด้วย”
ในเวลาเดียวกันที่บ้านเริ่นกงซิ่น
เริ่นจื่อเซิงมาพร้อมกับหมอ
พอเขามาถึง หมอสองคนจากเมืองเฟิ่งเทียนก็เริ่มผลัดกันจับชีพจร
หลังจากที่หมอสองคนจับชีพจรเสร็จและหารือกันแล้ว เริ่นจื่อเซิงก็เชิญพวกเขาออกไปคุยที่ห้องโถง
“ท่านพ่อของท่าน เสมหะจับตัวสะสมอยู่ในปอด ร้อนในทำให้หยินในร่างกายพร่อง ถึงได้เกิดอาการอย่างตัวสั่น หน้ามืด เป็นตะคริว นอกจากนี้ยังตับร้อน ทำให้หูอื้อ ตาแห้ง หน้าแดง ขี้หงุดหงิด จัดยาให้กินสักหน่อย รักษาตัวสักระยะก็น่าจะดีขึ้นขอรับ”
เริ่นจื่อเซิงฟังจบก็โล่งอกขึ้นมาบ้าง หันไปทำท่าทางบอกให้น้องชายกับน้องสะใภ้พาหมอสองท่านนี้รวมถึงพวกผู้ช่วยไปต้มยา
“ท่านพ่อ” เริ่นจื่อเซิงเพิ่งเข้าไปในห้องก็พบว่าเริ่นกงซิ่นตื่นแล้ว
เขาจึงรีบสาวเท้าเข้าไปหา ไล่ภรรยาที่เริ่นกงซิ่นแต่งเข้ามาทีหลังออกจากห้องไป ประคองพ่อของเขาด้วยตัวเอง จากนั้นก็เอาน้ำให้ดื่ม
เริ่นกงซิ่นดื่มน้ำไปได้ไม่กี่อึก น้ำตากลับไหลออกมาไม่น้อย “เมื่อครู่พ่อคิดว่าพ่อตาฝาดไปแล้ว คิดว่าตัวเองฝันไป ฝันเห็นเจ้าใหญ่ คอแห้งจนทนไม่ไหวก็ยังไม่อยากลืมตา กลัวว่าจะไม่ได้เจอลูกชายแม้แต่ในฝันแล้ว”
แค่ไม่กี่ประโยคก็ทำเอาขอบตาของเริ่นจื่อเซิงเริ่มแดง จำต้องเรียกออกไปอย่างจนปัญญา “ท่านพ่อ ข้าเอง ข้ากลับมาบ้านแล้ว ท่านพ่อไม่ได้ฝันไป”
“อือ อืม ลูกชายคนโตของข้ากลับมาแล้ว กลับมาแล้วจริงๆ ในที่สุดก็กลับมาแล้ว” ขณะพูด ทันใดนั้นเริ่นกงซิ่นก็ผลักถ้วยน้ำออก แทบจะโผไปร้องไห้ในอ้อมอกของลูกชาย “เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อของเจ้า”
“ข้ารู้ ข้ารู้ทั้งหมด เมื่อครู่น้องรองก็บอกข้าแล้ว ท่านพ่อ ข้า”
“ไม่ เจ้าไม่รู้” เริ่นกงซิ่นพูดพลางเช็ดน้ำตา “เจ้าคิดว่าพ่อล้มป่วยจนเป็นแบบนี้เพราะเสียตำแหน่งหลี่เจิ้งไปอย่างนั้นเหรอ ไม่ใช่ จื่อเซิง แต่เป็นเพราะพ่อป่วยแล้วเจ้าไม่ยอมกลับมาเยี่ยม เจ้าได้จดหมายก็ยังไม่ยอมกลับมา เจ้าไม่เห็นข้าเป็นพ่อแล้ว เจ้าไม่เอาข้าแล้ว ข้ารู้ ฮือออ…”
“ไม่ใช่นะท่านพ่อ จะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร ท่านพ่ออย่าเพิ่งเอาแต่ร้องไห้ ฟังลูกพูดก่อน”
แต่พอเริ่นจื่อเซิงอ้าปากก็เงียบไปต่อ
เรื่องนี้จะเล่ายังไงดีล่ะ
บอกท่านพ่อว่า เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าพวกท่านพ่อเคยไปหาเขาที่บ้าน