ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 377
ถูกต้อง เริ่นจื่อเซิงไม่รู้
เพราะเรื่องที่น้องชายมาหา เซี่ยเหวินฮุ่ยไม่เคยคิดจะบอกเขา
เริ่นจื่อเซิงคิดในใจ
นี่ก็คือความน่าเศร้าของเขา
มันเป็นความผิดพลาดตั้งแต่แรก
เนื้อตัวแทบไม่มีอะไร ข้างกายอย่าว่าแต่มีพ่อบ้านสักคนที่รู้ใจ แม้แต่เด็กติดตามข้างตัวสักคนก็ไม่มี
บุญหล่นทับหัวเขา ได้แต่งงานกับเซี่ยเหวินฮุ่ย
ทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านเป็นทรัพย์สินติดตัวมาตอนแต่งงานของเซี่ยเหวินฮุ่ยกับบ้านที่อี๋เหนียง[1]ของเซี่ยเหวินฮุ่ยควักเงินซื้อให้
ตั้งแต่สาวใช้ของเรือนในไปจนถึงบ่าวรับใช้ชายติดตาม หรือแม้กระทั่งคนเฝ้าประตู ล้วนเป็นคนที่เซี่ยเหวินฮุ่ยพามาทั้งนั้น
เป็นคนของนางทั้งหมด
ดังนั้น แต่ไหนแต่ไรมา ถึงแม้ทุกคนในบ้านจะเรียกเขาว่านายท่าน แต่เริ่นจื่อเซิงมักจะเตือนตัวเองเสมอว่า เขาไม่ใช่นายท่าน
นายท่านบ้านไหนกันที่ไม่รู้เรื่องน้อยใหญ่ภายในบ้านเลย
นายท่านบ้านไหนกันที่ต้องเชื่อฟังคำของฮูหยินทุกอย่าง
นายท่านบ้านไหนกันที่ฮูหยินอยากให้เขาได้ยินอะไร ต่อให้ไม่อยากฟังไม่อยากรู้ก็หนีไม่พ้น
ถ้าเรื่องไหนที่ฮูหยินไม่อยากให้เขารู้ เขาก็จะถูกปิดบังไปตลอด
อีกทั้งการเคลื่อนไหวทุกอย่างยามอยู่ข้างนอก ฮูหยินที่อยู่ในบ้านกลับรู้ทั้งหมด
ก็เหมือนกับครั้งนี้ที่เซี่ยเหวินฮุ่ยไม่คิดจะบอกเขา
ส่งเขาออกจากบ้านด้วยตัวเอง
เขาออกจากบ้าน ถ้าไปทำงานสำคัญอะไร เซี่ยเหวินฮุ่ยไม่บอกเรื่องที่พ่อเขาป่วยก็น่าจะเตือนนั่นเตือนนี่บ้าง แต่นี่เขาออกจากบ้านทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่มีงานที่ศาลาว่าการ ถึงคราวเขาได้พัก จึงออกไปเที่ยวเล่น ไปขี่ม้าที่นอกเมืองกับเพื่อนร่วมงาน
วันนี้ถ้าไม่บังเอิญกลับบ้านมาพอดี ได้เจอกับช่างของบ้านเก่าที่มานั่งรอเขาอยู่ตรงกำแพง เขาก็อาจจะยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเซี่ยเหวินฮุ่ยทำเรื่องแบบนี้ออกมาได้
เรื่องพวกนี้ เริ่นจื่อเซิงไม่รู้ควรพูดกับพ่อของเขาอย่างไรดี
อีกทั้งความไม่ราบรื่นในชีวิตของเขา เขาก็ไม่เคยเล่าให้ที่บ้านฟัง
“ท่านพ่อ ลูกกลับมาช้า ท่านพ่ออย่าโกรธ อย่าตำหนิ ท่านพ่อรีบหายย่อมดีกว่าอะไรทั้งนั้น”
เริ่นกงซิ่นเหมือนเด็กน้อยใจขึ้นมาทันที กำหมัดทุบเริ่นจื่อเซิงเบาๆ ทุบไปหลายทีก็ราวกับได้ระบายอารมณ์แล้ว ร้องไห้พลางพูดเสียงสะอื้น
“พ่อก็คิดว่าเจ้าเห็นพวกเราเป็นภาระ…
…คราวที่แล้วบ้านเจ้ามา บอกว่าข้าก่อเรื่อง ข้าเปล่าเสียหน่อย ลูกพ่อ ครั้งนี้พ่อไม่กล้าทำอะไรเลยทั้งนั้น ตาแก่เริ่นโหยวจินนั่นเอาตำแหน่งหลี่เจิ้งไปแล้ว พ่อก็ปล่อยให้เขาเป็นไป ต่อให้พ่อโมโหแทบบ้าก็ไม่กล้าทำอะไรเขา…
…เขาตรวจสอบบัญชีพ่อ พ่อก็ชดเชยเงินเข้าไป ก็แค่คิดว่าจะสร้างความเดือดร้อนให้ลูกชายคนโตไม่ได้ ไม่อยากให้เจ้ามากลุ้มใจเพราะพ่อ…
…คราวก่อนเจ้าปาแก้ว พ่อก็รู้ว่าเจ้าแอบโทษที่พ่อเป็นตัวถ่วง พ่อเองก็เสียใจ…
…แต่ครั้งนี้พ่อล้มป่วย ที่ให้น้องรองไปส่งข่าวก็ไม่ใช่เพราะอยากให้เจ้ามาช่วยจัดการอะไร ก็แค่อยากให้เจ้ากลับบ้านมาดูพ่อบ้าง ไปหาเจ้าสามครั้งแล้ว…
…พ่อบ้านของเจ้าไม่บอกรึ”
เริ่นจื่อเซิงพบว่า พอเริ่นกงซิ่นพูดเยอะๆ ก็จะหอบ คล้ายกับหายใจไม่ทัน จึงรีบลูบหลังให้เขา “ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ ค่อยๆ พูด คืนนี้ลูกไม่กลับ ลูกจะค่อยๆ ฟัง”
ทันใดนั้น หมอทั้งสองก็ต้มยาเสร็จแล้วมาเคาะประตู
เริ่นจื่อเซิงรีบใช้แขนเสื้อปิดหน้า จัดการตัวเองด้วยความลนลาน ไม่มีเวลาหยิบผ้าเช็ดหน้า และก็ใช้แขนเสื้อของตัวเองเช็ดน้ำตาให้พ่อ
เขานั่งอย่างสง่างาม ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาเป่าไอร้อนแล้วถึงพูดขึ้น “เชิญ”
จัดการให้เริ่นกงซิ่นนอนลงอีกครั้ง หลังจากเห็นพ่อตัวเองกินยาเสร็จจนค่อยๆ ผล็อยหลับไป
เริ่นจื่อเซิงถึงออกจากห้องด้านใน
กวาดตามองภรรยาที่เริ่นกงซิ่นแต่งเข้ามาภายหลังถอยไปสองก้าว หดคอตามสัญชาตญาณ
“น้องสะใภ้”
“เจ้าค่ะพี่ใหญ่ ข้าเข้าใจแล้ว”
ภรรยาที่เริ่นจื่อจิ่วแต่งเข้ามาอย่างถูกต้อง ได้รีบเข้าไปประคองภรรยาเล็กของเริ่นกงซิ่นเพื่อพาไปนอนที่อื่น
เริ่นจื่อจิ่วก็ถูกเริ่นจื่อเซิงเรียกให้ไปจัดการเรื่องหมอสองคนที่เขาพามากับบ่าวรับใช้ติดตาม
ส่วนตัวเขาไปที่เรือนด้านหลัง
เปิดประตูห้องที่เอาไว้สำหรับวางป้ายวิญญาณของแม่เขาโดยเฉพาะ
ถึงแม้ห้องนี้จะอยู่ด้านหลังแต่กลับเป็นห้องที่ดูมีเกียรติที่สุดในบ้านเริ่นกงซิ่น อีกทั้งตอนนี้มีแค่ภรรยาที่เริ่นจื่อจิ่วเข้าพิธีแต่งงานอย่างถูกต้องเข้ามาทำความสะอาดได้
รวมถึงเซี่ยเหวินฮุ่ย
แต่เซี่ยเหวินฮุ่ย นับตั้งแต่แต่งเข้าตระกูลเหรินก็ไม่เคยเข้ามาทำความสะอาดเลย
เริ่นจื่อฮ่าวกำลังคุกเข่าหน้าป้ายวิญญาณ
สักพักเริ่นจื่อจิ่วที่อยู่ด้านนอกก็ร้อนใจมาก เพราะเขาได้ยินเสียงหวดแส้ดังมาจากด้านในอย่างชัดเจน
แค่ฟังเขาก็เหงื่อแตกแล้ว
และก็พอจะได้ยินเสียงพี่ใหญ่ของเขาดูเหมือนจะด่าน้องสาม
“ข้าทำอะไรท่านพ่อไม่ได้ เพราะนั่นคือพ่อข้า…
…เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร เจ้าเป็นน้องชายแท้ๆ ของข้า แล้วจะทำตัวอันธพาลอย่างไรก็ได้เหรอ…
…คิดว่าข้าทำอะไรเจ้าไม่ได้ใช่ไหม…
…พ่อมีอยู่คนเดียว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรับให้ได้ ข้าจะบอกเจ้าให้ เริ่นจื่อฮ่าว แต่น้องชายอย่างเจ้า ข้าจะเอาหรือไม่เอาก็ได้”
พี่ใหญ่ยังพูดอีกว่า
“ท่านแม่ ดูแลน้องชายให้ดีไม่ได้ วันนี้ข้าจะให้เขาคุกเข่าอยู่ตรงนี้ และก็เพื่อเป็นการบอกท่านว่า นี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่จะตีเขา…
…วันหน้า เมื่อใดที่เขาคิดไม่ได้ ข้าก็จะตีเขาจนกว่าเขาจะทำตัวเป็นผู้เป็นคน จนกว่าจะพูดอะไรทำอะไรโดยผ่านการกลั่นกรองจากสมองเสียก่อน…
…เขาไม่ใช่เด็กแล้ว ถึงวัยที่ควรคุยเรื่องมีครอบครัวได้แล้ว…
…ถ้ายังไม่คุมเขาให้ดีอีก เกิดก่อความเดือดร้อนครั้งใหญ่ขึ้นมา วันไหนทำให้ทั้งครอบครัวติดร่างแห ท่านแม่ ข้าต่างหากที่ท่านจะนึกตำหนิใช่หรือไม่…
…เมื่อก่อน ใช่ ท่านควรนึกตำหนิข้า ข้ามัวแต่เรียนหนังสือ มัวแต่คิดไต่เต้าขึ้นไป ไม่สนเรื่องอะไรทั้งนั้น…
…พอหันกลับมาดูอีกครั้ง ข้ายุ่งอะไรกันแน่ และหลงเหลืออะไรบ้าง…
…เฮ้อ และก็เพราะข้าไม่ได้เป็นพี่ใหญ่ที่ดี ถึงทำให้บ้านเรากลายเป็นบ้านที่คนในหมู่บ้านมายืนด่ายืนหัวเราะหน้าบ้านได้”
ประตูถูกเปิดจากด้านใน
เริ่นจื่อจิ่วบากหน้าเดินเข้าไปหา “ท่านพี่”
“ไปหายามาทาให้เขา”
พอเริ่นจื่อเซิงออกไป เริ่นจื่อจิ่วเข้าไปในห้อง เอาตะเกียงส่องดูเขาก็ร้องด้วยความตกใจ “น้องสาม น้องสาม ไม่เป็นไรใช่ไหม ฟื้นสิ”
น้องชายถูกพี่หวดจนไม่เหลือสภาพแล้ว เดิมทีก่อนหน้านี้ก็ถูกคนพวกนั้นลงมือมาไม่ใช่เบาๆ ตอนนี้สลบไปแล้ว
เริ่นจื่อจิ่วรู้สึกหมดแรงขึ้นมาทันที
ครอบครัวของเขากลายเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ดูเหมือนจะเริ่มตั้งแต่โกงอาหารบรรเทาทุกข์ของคนพวกนั้น พี่ใหญ่ของเขาก็พลอยซวยไปด้วย
ครั้งแล้วครั้งเล่า เสียเปรียบขึ้นเรื่อยๆ
เท่าที่เขาดู ไม่ควรจะไปยุ่งกับคนพวกนั้น วันหน้าเดินเลี่ยงได้ก็เลี่ยง ความซวยจะได้ไม่ติดตัว
คืนนี้เริ่นจื่อเซิงรู้สึกสับสน
เพิ่งกลับถึงบ้านก็เจอกับพวกหญิงสูงวัยยืนด่าปาวๆ
นานแล้วที่เขาไม่ได้ยินคำด่าตามท้องตลาดแบบนี้
และก็นานแล้วที่ไม่เคยขายหน้ามากขนาดนี้ คนที่มากับเขาต่างได้ยินกันหมด
ยิ่งไปกว่านั้น นานแล้วที่เขาไม่ถูกคนอื่นชี้หน้า
พวกชาวบ้านชี้มาที่เขาพลางกระซิบกระซาบ ซึ่งเขาจะอาละวาดก็ไม่ได้
แต่ในยามปกติ มีใครบ้างที่กล้า
เริ่นจื่อเซิงเดินหาตะเกียง อยากออกไปสงบจิตสงบใจ
เขาคนเดียว ไม่มีบ่าวรับใช้ เดินตามถนนเส้นเล็กหน้าบ้านออกไปเรื่อยๆ
เดินไปๆ เขาก็ข้ามสะพานอย่างไม่รู้ตัว
เดินไปเรื่อยๆ เขาก็มายังอีกฟากของแม่น้ำ
ไม่กล้าเดินส่งเดช แค่ยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตู
เพราะได้ยินน้องรองบอกว่า คนกลุ่มนี้ขุดหลุมไว้
เริ่นจื่อเซิงเพิ่งจะหยุดยืนก็ได้ยินเสียงปรบมือกับเสียงชื่นชมจากข้างใน
“เล่าได้ดี”
จากนั้นก็เป็นเสียงหัวเราะ
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกโกรธมาก กำหมัดแน่น อึดอัดจนอยากขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
พ่อของเขานอนป่วยอยู่ น้องชายก็ถูกเขาหวดจนไม่เหลือสภาพ คนพวกนี้กลับยังหัวเราะได้อีก
——————-
[1] คำเรียกที่ลูกใช้เรียกอนุภรรยา ต่อให้เป็นแม่แท้ๆ แต่ถ้าแม่เป็นอนุก็ต้องเรียกด้วยคำนี้