ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 378
“ใครน่ะ!”
เริ่นจื่อเซิงนึกไม่ถึงว่าเขาเพิ่งยืนได้ครู่เดียว ภายในบ้านยังมีเสียงสนุกสนานอยู่ แต่เขากลับถูกพบได้เร็วขนาดนี้
หยิบตะเกียงที่อยู่ด้านหลังออกมายกเพื่อให้ความสว่าง ความโกรธบนใบหน้าหายไปในชั่วพริบตา สีหน้ากลับมาเป็นปกติทันที
“ข้าคือเริ่นจื่อเซิง”
ไม่นานซ่งฝูเซิงผูกเชือกรองเท้าเสร็จก็เดินออกมา
ในมือของซ่งฝูเซิงมีตะเกียง
ทั้งสองคนยืนเผชิญหน้ากันตรงหน้าประตูบ้าน
“น้องชายของข้าอายุยังน้อย นิสัยบุ่มบ่าม วันนี้ทำเรื่องผลีผลามไม่ผ่านการกลั่นกรองจากสมอง หลังจากข้ากลับมาได้ฟังเรื่องนี้ก็ได้สั่งสอนเขาไปแล้ว โปรดอภัยให้ด้วย”
ซ่งฝูเซิงโมโหจนขำ คราวก่อนพ่อเจ้าอายุมากแล้ว ร่างกายไม่แข็งแรง จึงทำอะไรเลอะเลือนไปบ้าง
ครั้งนี้เจ้ามาบอกว่าน้องชายอายุยังน้อย น้องชายเจ้าห้าขวบหรืออย่างไร
ซ่งฝูเซิงพูด “พวกเราถือคติต่างคนต่างอยู่มาแต่ไหนแต่ไร ให้อภัยได้ก็ให้อภัยมาตลอด แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพอมีคนมารังแกถึงบ้าน ทำคนแก่โมโหจนเป็นลม แล้วเรายังจะทนนิ่งดูดายได้ วันนี้ลงมือหนักไปหน่อย หึ ก็ขออภัยท่านด้วยเช่นกัน”
เริ่นจื่อเซิงรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าท่าทีของซ่งฝูเซิงแตกต่างจากครั้งก่อนอย่างเห็นได้ชัด ครั้งนั้นตอนมีเรื่องอาหารบรรเทาทุกข์ เขายังไม่พูดจาประชดประชันแบบนี้ น้ำเสียงก็เหมือนเจือไปด้วยความไม่พอใจ
ทำได้เพียงพยักหน้าเล็กน้อย รีบจบบทสนทนาให้เร็วที่สุด “ขออภัยจริงๆ”
ซ่งฝูเซิงก็พยักหน้าเล็กน้อยตอบ “โปรดเห็นใจเช่นกัน”
“เดินระวัง”
“ไม่ส่ง”
เริ่นจื่อเซิงโมโหมาก
ระหว่างทางเดินกลับเขาครุ่นคิด
ก็แค่ได้รู้จักกับจวนผู้สำเร็จราชการไม่ใช่เหรอ หึ พวกขี้ข้าทำตัวอวดดี
แต่ขี้ข้าของจวนผู้สำเร็จราชการออกทะเลไปแล้ว ต้องดูว่าเจ้านายตัวจริงยอมรับพวกเจ้าหรือเปล่า
พอกลับถึงบ้านเริ่นจื่อเซิงก็ถามเริ่นจื่อจิ่วออย่างละเอียดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้
เริ่นจื่อจิ่วก็เล่าให้ฟังทีละเรื่อง
พูดในสิ่งที่รู้ออกมา
เริ่นจื่อจิ่วพูดเรื่องที่วันนั้นหิมะตกหนัก มีขุนนางใหญ่รูปงามเข้ามาในหมู่บ้าน ไปที่อีกฟากของแม่น้ำ
ได้ยินว่าอยู่กินข้าวที่นั่น ช่วงเที่ยงถึงกลับไป
คนผู้นั้นขี่ม้าตัวใหญ่ เหน็บกระบี่ตรงเอว มีบ่าวรับใช้ติดตาม สวมชุดคลุมขนจิ้งจอก อายุยังน้อยมาก แต่ดูจากสายตาและบุคลิกท่าทาง ไหนจะม้าที่ขี่ก็รู้แล้วว่าไม่ธรรมดา
จากนั้นก็เล่าเรื่องที่วันนั้นบ้านสกุลไจ๋มีคนถูกหมาป่ากัดตาย เดิมทีอยากไปเอาเรื่องฝั่งนั้น แต่ท่าทีของพวกมือปราบในตอนนั้น แต่ละคนก็แค่ขวางพวกคนที่ไปเอาเรื่องคล้ายกับหยอกเล่นกัน
อีกทั้งตอนนั้นมีมือปราบหลุดพูดขึ้นมาว่า ทางฝั่งนู้นมีคนที่ช่วยพูดแทนพวกเขาได้ จะเรื่องไหนก็จัดการได้ รีบฉวยโอกาสนี้ไปบอกสิ แล้วจะได้รู้ว่าจุดจบของการไปรบกวนท่านผู้นั้นคืออะไร เล่นเอาพวกคนที่สกุลไจ๋เรียกมาเอาเรื่องต่างตกใจกลัวจนต้องกลับไป
“พี่ใหญ่ หลังจากคุณชายคนนั้นกลับไป ต่อมาดูเหมือนทางอำเภอจะเรียกซ่งฝูเซิงที่อยู่ฝั่งนั้นไปหา แต่นี่ข้าก็แค่ได้ยินมา”
“ได้ยินใครพูดมารึ”
“ตอนนั้นพวกเราก็ไม่แน่ใจ แต่ต่อมาหลังจากเริ่นโหยวจินได้เป็นหลี่เจิ้งแล้ว เขาก็หลุดพูดมาเอง ยังบอกอีกว่าข่าวต่างๆ เขารู้ช้ายิ่งกว่าพวกคนที่อยู่ฝั่งนั้น คนทางนั้นต่างหากที่รู้เรื่องของทางการดี ทั้งยังเตือนคนในหมู่บ้านว่าพยายามอย่าไปหาเรื่องพวกเขา อย่าไปที่นั่นบ่อย”
ตอนที่เริ่นจื่อเซิงได้ยินแบบนี้ก็หรี่ตาลง
นั่นสิ นายอำเภอหูไม่ได้ส่งข่าวให้เขา
อีกทั้งทางอำเภอยังสั่งปลดพ่อของเขาอย่างรวดเร็วแบบผิดปกติ
ทำไมเขาถึงได้เลอะเลือนแบบนี้ ลืมจุดนี้ไปเลย
รูปงามรึ ขุนนางใหญ่อย่างนั้นรึ
ในสมองของเริ่นจื่อเซิงปรากฏเพียงลู่พั่นที่เคยเจอแค่สองสามครั้ง
เขากับลู่พั่นเคยพบกันแค่สองสามครั้ง อีกทั้งยังเป็นแบบเห็นจากระยะไกล ครั้งแรกที่จวนโหว ส่วนครั้งอื่นเป็นเพราะลู่พั่นขี่ม้าผ่านริมถนน ไม่เคยได้มีโอกาสเข้าไปคุยสักครั้ง
คนแบบนั้น ใช่ว่าเขาเข้าไปแนะนำว่าตัวเองเป็นใครแล้วจะพยักหน้าให้เขาได้
แต่คนที่มาใช่ลู่พั่นจริงเหรอ
มันออกจะเกินจริงไปหรือเปล่า
ไม่น่านะ เขาไม่มีอำนาจสั่งการอะไร บุตรชายของจวนผู้สำเร็จราชการจะไปอยู่ที่สถานที่โกโรโกโสฝั่งนั้นตลอดช่วงเช้าได้อย่างไร
เริ่นจื่อเซิงรู้สึกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาทันที มีข่าวมากมายที่เขาไม่รู้
และก็รู้สึกเศร้าเหลือเกิน ทำงานอยู่ในเมืองเฟิ่งเทียนมาหลายปีขนาดนี้ ดูเหมือนใช้ชีวิตอยู่ในแวดวงนั้น ในความเป็นจริงกลับไม่เคยเหยียบเข้าไปอย่างแท้จริง
ดังนั้น แวดวงคนชั้นสูงที่แท้จริงเป็นอย่างไร นิสัยใจคอเป็นแบบไหน แม้แต่โอกาสจะได้คุยด้วยยังไม่มี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเข้าใจคนพวกนั้น
“เล่าต่อสิ”
“พี่ใหญ่ ตอนนี้เริ่นโหยวจินยืนคนละฝั่งกับบ้านเรา คอยจับผิดทุกเรื่อง วันนี้เป็นเพราะเขาเห็นท่านพ่อป่วยหนักจริงๆ ถึงได้ไม่ตามมาเอาเรื่อง เขาสนิทกับคนพวกนั้น เขาถึงได้ขึ้นเป็นหลี่เจิ้งอีกครั้งไงล่ะ พี่ไม่รู้หรอก ตอนนั้นได้ยินท่านพ่อถูกปลดในหอบรรพชน ผมเผ้ายุ่งเหยิง ถูกหามมาที่บ้าน”
“เอาที่มีประโยชน์ เล่าเรื่องคนพวกนั้น”
เริ่นจื่อจิ่วเกาหัวภายใต้สายตาจับจ้องของเริ่นจื่อเซิง
“อืม จริงสิ มีกลุ่มล่าหมาป่ามากลุ่มหนึ่ง ถูกส่งมาจากเมืองเฟิ่งเทียน ได้ยินคนในหมู่บ้านเล่าว่า คนพวกนั้นก็รู้ข่าวก่อนเหมือนกัน คนที่เป็นหัวหน้ากลุ่มล่าหมาป่าชื่อเกิ่งเหลียง เป็นรองผู้บัญชาการ พี่ใหญ่ รองผู้บัญชาการคือตำแหน่งอะไรเหรอ พี่เคยได้ยินคนนี้ไหม รู้จักกันไหม”
เริ่นจื่อเซิงกดขมับ
เอาล่ะ เวลานี้เขาจำต้องยอมรับว่า ไม่ต้องสนว่าคนรูปงามคนนั้นใช่ลู่พั่นหรือเปล่า ขี้ข้าจวนผู้สำเร็จราชการที่อยู่ฝั่งนั้น ทำพูดไป ดูท่าทางคนพวกนั้นจะเป็นประเภทที่ว่าได้รับการยอมรับจากเจ้านายอย่างแท้จริง
และก็เข้าใจแล้วว่า มิน่าถึงมีท่าทีแข็งข้อแบบนั้น กล้าเอาเรื่องตั้งแต่ตอนเรื่องอาหารบรรเทาทุกข์จนถึงตอนนี้ที่ไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย มิน่าล่ะ
“ยังมีอีกไหม”
“พี่ใหญ่ ยังจะมีอะไรอีกล่ะ ที่ข้านึกออกก็มีแค่นี้แหละ…
…แค่นี้ แถมเป็นเพราะเมียข้าออกไปข้างนอกสองครั้ง บางเรื่องนางไปได้ยินมา…
…น้องสามเพิ่งกลับมา ท่านพ่อเรายังมาเป็นแบบนี้…
…พวกเราออกไปไหนไม่ได้ ต้องคอยอยู่เฝ้าเขา กลัวว่าอยู่ๆ เขาจะเป็นลมล้มหัวแตกแล้วไม่มีคนอยู่ดูแล…
…ข่าวที่ข้าได้มาตอนนี้เกรงว่าจะสู้พวกคนในหมู่บ้านไม่ได้ด้วยซ้ำ”
เริ่นจื่อเซิงพูด “นับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เจ้าออกไปข้างนอก หาคนที่แปลกหน้าหน่อยแล้วสืบให้กระจ่าง เข้าใจไหม”
“อืมๆ วางใจได้” เริ่นจื่อจิ่วพยักหน้าต่อเนื่อง ต่อมาก็เอะใจ รีบพูดขึ้น
“เดี๋ยวนะพี่ใหญ่ พี่ถามเรื่องพวกนี้ไปทำไม…
…บอกตามตรงเลยนะ บ้านเราพอเจอคนพวกนั้นทีไรก็เสียเปรียบ อัปมงคลของแท้…
…น้องสามน่ะ ก็เพราะข้าไม่ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง แถมเขายังมองคนพวกนั้นเป็นอันธพาลที่ลี้ภัยมาถึงได้ไปก่อเรื่องเข้า พากลับมาบ้านก็ถูกอัดจนเป็นสภาพนั้นแล้ว…
…วันนี้ทั้งคำนับทั้งขอโทษ ท่านพ่อเองก็หมดสติตามไปด้วย เกือบสิ้นลมหายใจ ปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นอีกไม่ได้แล้วจริงๆ…
…ถึงแม้ข้าจะรู้ว่าพี่ใหญ่ไม่มีทางกลัวพวกเขา ยังไงเสียก็มีช่องทางเข้าหาจวนโหวได้มากมาย พี่ใหญ่เองก็เป็นลูกเขยที่แต่งอย่างถูกต้องของจวนโหว ส่วนพวกเขา ไม่ต้องสนหรอกว่าจะรู้จักคนชั้นสูงแบบไหน ไม่มีทางที่จะได้ไปเป็นลูกเขยหรอก อย่างมากก็แค่ขี้ข้าที่มีหน้ามีตาหน่อย สู้พี่ใหญ่ไม่ได้อยู่แล้ว…
…แต่ก็อย่าไปอะไรเลย เลี่ยงปัญหาได้ก็เลี่ยง พี่ใหญ่ว่าไหม”
เริ่นจื่อเซิงไม่อธิบายอะไรมาก
ตอนนี้เขาทำอะไรไม่ได้จริงๆ เพียงแต่ไม่ว่าเรื่องไหน รู้เขารู้เรา เก็บข้อมูลให้มากหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร
ณ อีกฟากของแม่น้ำ
หลังจากเริ่นจื่อเซิงไปแล้ว ซ่งฝูเซิงก็ไม่ได้เข้าบ้านทันที เขามองออกไปไกลท่ามกลางความมืดมิดและความหนาวเย็น
ตอนนี้ที่หน้าบ้านมีเขาอยู่คนเดียว ซ่งฝูเซิงยังด่าออกมาโดยไม่สนภาพลักษณ์ มาทำวางมาดใส่ใครน่ะ
“ฝูเซิง?” ลุงซ่งตะโกนด้วยความระมัดระวัง
“อ้อ ท่านลุง”
“เจ้ายังคุยกันอยู่เหรอ”
“เปล่า ไปนานแล้ว”
“หา” ลุงซ่งถอนหายใจยาว ปรับน้ำเสียงกลับมาเป็นปกติ “เขามาทำไม สงสัยต้องเพิ่มเหล็กแหลม น่ารำคาญ ทำไมไม่ถูกเหล็กทิ่มนะ”
ซ่งฝูเซิงบอก “เขามาขอโทษ ขอให้พวกเรายกโทษให้น้องชายเขา”
ท่านย่าหม่าออกมาได้ยินพอดี
“ถุย…
…เจ้าควรตอบเขาไปว่า วันหน้าพวกเราว่างๆ เอาจอบไปจามบ้านเขาบ้างแล้วขอให้เขายกโทษให้…
…เจ้าว่าเขาจะยกโทษไหมล่ะ…
…พูดได้ไม่อายปาก เขาก็แค่อาศัยว่ามีพ่อตาใหญ่โตไม่ใช่เหรอ ทำมาพูดขอให้คนอื่นเห็นใจ…
…เกิดเขาไปทำคนอื่นบ้าง ไม่มีพ่อตาหนุนหลัง ก็แบบนี้เหมือนกันแหละ ออกไปได้ถูกคนทุบตาย”