ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 379
เมื่อก่อนทุกคนเกลียดเริ่นจื่อฮ่าวที่สุด เพราะทำให้ท่านลุงซ่งของพวกเขาโมโหจนหมดสติ
ต่อให้เป็นในชีวิตประจำวัน พูดตามความเป็นจริง ท่านลุงซ่งไม่ได้มีอิทธิพลอะไรมากนัก ให้ซ่งฝูเซิงเป็นคนตัดสินใจมาตลอด
แต่ผู้สูงวัยที่อาวุโสมากที่สุดคนนี้ ตราบใดที่ยังอยู่กับพวกเขา ต่อให้แก่ถึงขั้นที่ทำอะไรไม่ไหว ก็ยังคงเหมือนกับตอนที่ยังไม่ได้จากบ้านเกิด ยังคงอยู่กันเหมือนเดิม
อีกทั้งท่านลุงซ่งยังเป็นหลี่เจิ้งของพวกเขา พวกเขาเป็นครอบครัวใหญ่ หมู่บ้านของพวกเขาเมื่อก่อนนี้ยังไม่สูญหายไป
ออกเช้ากลับดึกทุกวัน ชายชรามักตะโกนไล่หลังพวกเขาเสมอ ‘รีบกลับมานะ’
แม้แต่พวกท่านย่าหม่ายังรู้สึกว่า ลุงซ่งตะโกนแบบนี้ทำให้พวกนางรู้สึกว่าตัวเองยังสาวอยู่ ยังทำไหว
ดังนั้นไม่ต้องสนว่าใครมาก่อกวน ถ้ามาทำให้ผู้อาวุโสของครอบครัวใหญ่โมโหจนหมดสติ จะไม่เอาเรื่องสุดชีวิตได้เหรอ
ต่อมาถึงรู้ว่าท่านลุงซ่งแกล้งทำ
แม้พวกเขาจะไม่ได้แค้นมากเท่าไรแล้ว แต่ก็ยังโกรธอยู่ดี
โกรธที่เริ่นจื่อฮ่าวพาคนมาหาเรื่องถึงที่ ดึงดูดคนมามากมายขนาดนั้น
พูดตามตรง ถึงขนาดที่ทุกคนไม่ได้กลัวว่าจะถูกพังบ้าน แต่กลับรู้สึกไม่พอใจที่มีคนมามากขนาดนั้น
ครั้งนี้ได้เรื่อง ต่อให้ตอนนั้นสถานการณ์วุ่นวายมาก คนในหมู่บ้านไม่มีเวลาสอดส่องรอบๆ แต่คนในหมู่บ้านที่มาก็ไม่ได้ตาบอด จะต้องสังเกตเห็น ‘โรงเพาะปลูกพริก’ ของพวกเขาที่แตกต่างจากหลังอื่นอย่างแน่นอน และจะต้องรู้ว่าบ้านไหนที่มีไอมีกลิ่นหอมๆ โชยออกมา
เมื่อก่อนพวกเขาแทบอยากปิดประตูบ้าน กินของดีอะไรก็ไม่อยากให้คนอื่นรู้ กักกลิ่นหอมๆ ไว้แต่ในบ้าน
ไม่อยากเป็นที่สะดุดตา ไม่อยากให้พวกคนในหมู่บ้านคุยกันว่าพวกเขาใช้ชีวิตกันอย่างไร
จบแล้ว ครั้งนี้เปิดเผยออกไปหมดแล้ว
ครั้งนี้หากไม่ได้เรื่องเล่าของพั่งยาช่วยเบี่ยงเบนความสนใจ พวกเขาคงนอนหลับไม่สบายกันจริงๆ
คิดในใจ ทำอย่างไรดี หงุดหงิดจะตายอยู่แล้ว คนในหมู่บ้านรู้กันแล้ว
ถูกต้อง คนในหมู่บ้านรู้แล้ว
คืนนี้หลายครอบครัวในหมู่บ้านปิดประตู นั่งบนเตียงเตาถกเรื่องพวกคนที่อยู่อีกฝั่งของแม่น้ำอย่างไม่ได้นัดหมาย
มีสารพัดเรื่องที่แต่ละบ้านคุยกัน
มีอยู่เรื่องหนึ่งที่พอพูดขึ้นมาก็เรียกเสียงหัวเราะได้
“วันนี้มันครึกครื้นจริงๆ เมื่อครู่ตอนแรกที่ยายพวกนั้นตะโกนด่า คนในครอบครัวเริ่นกงซิ่นแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ปิดประตูบ้านสนิทมิดชิด…
…ต่อมาสงสัยคงทนไม่ไหว ด่ารัวแบบไม่ซ้ำคำ คล่องปากจนจะร้องเป็นเพลง เมียใหม่ของเริ่นกงซิ่นที่ชอบเดินนวยนาดถึงได้ออกมา…
…ข้าว่านะ เมียของเหรินจื่อจิ่วน่ะไม่ธรรมดาของจริง มิน่าล่ะ ครอบครัวชาวสวนธรรมดาถึงทำให้เริ่นจู่จิ่วไปสู่ขอมาเป็นเมียได้ หึ สนุกเป็นบ้า ลูกสะใภ้ที่แต่งเข้าอย่างถูกต้องยังไม่ทันออกหน้า แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอยู่ในบ้าน แต่เมียใหม่กลับทำอวดดีออกมา…
…ข้าเดาได้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่านางไม่มีทางสู้ได้หรอก ยายแก่พวกนั้นแค่ดูก็รู้แล้วว่าพิษสงร้ายกาจ เป็นไงล่ะ โดนด่าเข้าไปเต็มๆ…
…ไอ๊หยา ด่าซะจนไม่เหลือชิ้นดี…
…เอ๊ะ ตาแก่ ฟังข้าพูดอยู่หรือเปล่า”
“ฟังอยู่ ฟังอยู่”
“เจ้าว่านังนั่นน่ะ เด็กในท้องของนางจะไม่ใช่ลูกของเริ่นกงซิ่นจริงๆ เหรอ…
…ตอนแรกที่ข้าได้ยินว่านางตั้งท้อง ข้าพูดจากใจเลยนะ มันน่าสงสัยอยู่หน่อยๆ…
…คนอายุขนาดนั้นยังไหวอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้…
…อย่างเขาไหว คนอื่นจะไม่ไหวเหรอ เจ้าอายุน้อยกว่าเขาสองปีเจ้ายังไม่ไหวแล้วเลย”
“เช่นนั้นจะเป็นลูกใครได้”
“แค่ก เจ้าว่าจะใช่ลูกของ…”
“หุบปาก อย่าพูดเหลวไหล บ้านเขาไม่น่าจะเละเทะกันขนาดนั้น ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ห้ามออกไปพูดส่งเดช ระวังเขาจะมาเอาเรื่องถึงบ้าน บ้านเราไม่ได้มีคนอยู่สองร้อยกว่าหรอกนะ”
สักพักชายสูงวัยคนนี้ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ “เมื่อครู่เจ้าว่าใครไม่ไหวแล้วนะ”
บางบ้านพอคุยขึ้นมาก็ออกอรรถรส พร้อมท่าทางประกอบ
โดยเฉพาะบ้านที่มีคนไปช่วยห้ามศึก เล่าให้คนในบ้านที่ไม่ได้ไปฟัง
“พี่ไปบ้านพ่อตาคงไม่รู้ วันนี้ฝั่งนู้นน่ะ คนพวกนั้นมีเรื่อง ไอ๊หยา ถ้าไม่ได้พวกเราไปห้ามนะคงตายไปหลายคนแล้ว…
…ข้าจะบอกให้นะ อีกทั้งในบรรดาคนพวกนั้นดูเหมือนจะมีคนที่เป็นวิชาตัวเบาด้วย จริงๆ นะ ข้าไม่ได้โกหก ไม่เชื่อถามเจ้าสี่ดู…
…ลอยผ่านหน้าข้ากับเจ้าสี่ไปเลย กระชากคอเริ่นจื่อฮ่าวในชั่วพริบตา…
…ก่อนหน้านี้ยังอยู่ตั้งไกล เขามาได้อย่างไร แวบเดียวเท่านั้น ข้ากับเจ้าสี่ยังมองไม่ทันเลย พี่ว่ามันชวนขนลุกไหมล่ะ”
บางบ้านก็พูดด้วยความอิจฉา “ดูคนพวกนั้นเอาละกัน พอเกิดเรื่องก็ไม่มีถอยไปหลบ มีแต่จะพุ่งเข้าหา ทำอย่างกับไม่ได้จะทะเลาะ แต่เหมือนจะเข้าไปเอาเงินมากกว่า เฮ้อ แล้วดูพวกเราสิ พอเกิดเรื่อง อย่าว่าแต่คนที่ไม่เกี่ยวข้องทางสายเลือดจะมาช่วยเลย ต่อให้เป็นญาติกันก็มีแต่จะคอยดูอยู่เฉยๆ หึ”
แต่ส่วนใหญ่จะพูดถึงเรื่องอื่น
พูดถึงของที่อยู่ในลานบ้าน
“เห็นหินก้อนใหญ่พวกนั้นที่พวกเขาสะสมหรือเปล่า ทำไมน่ะเหรอ ภูเขาลูกนั้น วันหน้าก็กลายเป็นของพวกเขาแล้ว เหมาเลย แบบนั้นทำอย่างกับจะเป็นราชันย์แห่งขุนเขา…
…เก็บมาสะสมมากขนาดนั้น พวกเขาจะสร้างบ้านหินตอนเข้าฤดูใบไม้ผลิหรือยังไง ไม่คิดจะเสียเงินสักเหวิน ไม่ซื้ออิฐสักก้อนเลยอย่างนั้นเหรอ…
…ลานบ้านใหญ่ขนาดนั้น ทั้งตัดต้นไม้ ทั้งเก็บก้อนหิน ใกล้จะไม่มีที่กองแล้ว”
พูดถึงกลิ่นหอมที่โชยรอบบ้าน
“ในที่สุดข้าก็รู้แล้วว่าทำไมพวกเขาถึงหายไปตั้งแต่เช้าจรดเย็น…
…วันๆ เข็นรถคันเล็กออกไป ถ้าไม่ลากแคร่เลื่อน ก็นั่งเกวียนสองเล่มนั้นออกไป…
…เมียของตาเกิ่งหมู่บ้านเรา ไหนจะพวกสะใภ้ซื่อบื้อพวกนั้นอีก ก่อนหน้านี้พยายามจะเข้าหายายที่ขี่เกวียนพวกนั้น เข้าไปทักทายว่า ออกไปเที่ยวกันอีกแล้วเหรอ นี่จะไปซื้ออะไรกันล่ะ…
…ทางนั้นตอบกลับมาว่า ไปซื้อของใช้ในบ้าน พวกนางก็เชื่อ…
…ตอนนั้นข้าไม่เชื่อหรอก…
…เจ้าดูเอาก็แล้วกัน…
…เที่ยวกับผีสิ พวกเขาจะต้องไปขายของกินอะไรข้างนอกแน่นอน…
…อีกทั้งของกินพวกนั้นมีน้ำตาลผสมอยู่ด้วย…
…ต้องใช้น้ำตาลมากขนาดไหนกลิ่นหอมหวานถึงได้ลอยฟุ้งเต็มบ้านขนาดนั้น ไหนจะกลิ่นถังหูลูอีก”
คืนนี้หญิงสูงวัยของหลายบ้านต่างรู้สึกว่าพวกนางฉลาดมาตั้งนานแล้ว พวกนางสังเกตมาก่อนแล้วว่าพวกคนฝั่งนั้นดูแปลกๆ
เพียงแต่พวกนางไม่ได้พูด
อย่างบ้านเศรษฐีที่ดินเล็กๆ บ้านอาเจ็ดสกุลเหริน บ้านเหล่าหวังที่เลี้ยงหมู พวกคนมีหน้ามีตาในหมู่บ้าน ด้านหนึ่งก็คุยกันถึงห้องมีเตาที่อยู่ด้านหลัง จะต้องทำของกินแน่นอน คุยกันว่าทางนั้นทำกันทุกวัน ขายที่ไหน ขายให้ใคร
อีกด้านหนึ่งก็คุยถึงบ้านที่ดูแตกต่างออกไปหลังนั้น
ใครก็ตามที่เคยเห็นต่างช่วยกันยืนยัน ข้างนอกล้อมด้วยเสาไม้ จงใจลงกลอนไว้ ไม่ต้องสนว่าข้างในปลูกอะไรหรือเลี้ยงอะไรไว้ จะต้องเป็นแหล่งทำเงินสำคัญของคนพวกนั้นอย่างแน่นอน
ในนั้นจะเป็นอะไรได้บ้าง
บางครอบครัวที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเริ่นโหยวจิน ได้นึกถึงคำพูดที่เริ่นโหยวจินเคยพูดไว้
ของที่คนพวกนั้นทำออกมาน่าจะเป็นของสำหรับคนชั้นสูง ถึงได้ปกป้องกันขนาดนั้น
เคยเห็นคนฝั่งนั้นต้อนรับพวกคนชั้นสูงเข้าไปใช่ไหมล่ะ รองผู้บัญชาการเกิ่งยังสุภาพกับซ่งฝูเซิงเลยใช่ไหมล่ะ
ถ้าคนในหมู่บ้านยังคิดไม่ได้อีก จะไปสืบเสาะให้ได้ ถูกจับได้ขึ้นมารับรองตายลูกเดียว
เริ่นโหยวจินไม่ใช่คนที่จะทำอะไรอย่างไม่มีเหตุผล
ขนาดเขายังพูดแบบนี้ย่อมไม่ใช่แค่ข่มขู่แน่นอน
เอาเป็นว่าคืนนี้คนในหมู่บ้าน แต่ละบ้านถกเถียงกันตั้งแต่เรื่องฝีมือต่อสู้ของคนฝั่งนู้นไปจนถึงสถานการณ์การเงินของคนฝั่งนู้น และก็ได้ข้อสรุปแบบไม่ได้นัดหมายว่า ‘สานสัมพันธ์ ต้องสานสัมพันธ์ไว้ อย่าไปหาเรื่องคนพวกนั้น’