ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 380
พวกป้าอ้วนถือกะละมังที่ข้างในใส่เต้าหู้ไว้ พอได้ยินเสียงรถม้าก็รีบเข้าไปถาม “มาหาบ้านไหน มาหาใครหรือ”
“พวกเรามาหาซ่งฝูเซิงแห่งหมู่บ้านเหรินจยา” เดิมทีคนคุมรถม้าอยากบอกว่า พวกเรารู้ที่
แต่ปากของเขาไม่ไวเท่าพวกผู้หญิงที่อยู่ตรงข้าม
“เดี๋ยวข้าพาไป ไปๆๆ อยู่ฝั่งตรงข้ามบ้านข้านี่เอง”
“หืม?”
“ไปสิ ตามข้ามา” พวกป้าอ้วนวางกะละมัง วิ่งเหยาะนำทางอยู่ข้างหน้า
เจ้านายเฉินจากร้านอีผิ่นเซวียนเปิดม่านมอง กระแอมหนึ่งทีเพื่อบอกให้คนคุมรถม้าเคลื่อนรถต่อ
หญิงสูงวัยบ้านหนึ่งที่อาศัยอยู่ริมน้ำผูกผ้าพันคอเดินออกมาพอดี เห็นสะใภ้เล็กของบ้านสกุลไป๋วิ่งนำรถม้ามาอย่างกระตือรือร้น สองมือซุกอยู่ในแขนเสื้อ จึงถามขึ้น “ใครน่ะ มาหาใคร”
พวกป้าอ้วนตะโกนตอบ “มาหาคนฝั่งนู้น ข้ากลัวเขาไม่รู้จักทางเลยนำทางให้ ยายสาม ดูรถม้าคันเบ้อเร่อนี่สิ ใหญ่โตไหมล่ะ”
ยายสามทำปาก ใช่ รถม้าใหญ่โตเสียจริง “ใครล่ะ มาจากไหนกัน”
พวกป้าอ้วนวิ่งกันจนหน้าแดง หันไปถามคนคุมรถม้า “พวกท่านมาจากไหนกัน”
ต่อมานางก็วิ่งพลางตะโกนกลับไป “ยายสาม มาจากเมืองเฟิ่งเทียน”
ยายสามพูดพึมพำเสียงเบา “ไอ๊หยา คนพวกนั้นรู้จักคนที่อยู่เมืองเฟิ่งเทียนด้วย ไม่ธรรมดา ข้าเคยบอกแล้วว่าคนพวกนั้นน่ะไม่ธรรมดา”
“พวกเจ้า มี คน มา หา!” พวกป้าอ้วนตะโกนอย่างแข็งขันยิ่งกว่าเอ้อร์เนียนปา
ซ่งฝูเซิงนึกไม่ถึงว่าจะมีคนมาหาแต่เช้าตรู่
เดิมทีเขาคิดว่าเป็นหัวหน้าตระกูลเหริน
อาจมาเล่าให้เขาฟังว่าจัดการกับคนหลายสิบพวกนั้นยังไง ไปถามหาความยุติธรรมที่บ้านเริ่นกงซิ่นให้เขายังไง
อันที่จริงซ่งฝูเซิงไม่สนใจเรื่องพวกนั้น มีเวลาสนใจที่ไหนกัน จะชดใช้หรือเปล่า ขอโทษไหม แล้วอย่างไรล่ะ
เขารู้แค่ว่า ถ้าครั้งหน้าคนในหมู่บ้านยังกล้าทำแบบนี้อีกพวกเขาก็จะอัดให้ อัดให้เหมือนหมู
ความเร็วในการออกจากบ้านจึงช้าหน่อย
เจ้านายเฉินลงจากรถมาก่อน พูดทักทาย “ข้าก็กลัวอยู่ว่าเจ้าจะไม่อยู่บ้าน”
“พี่เฉิน ทำไมเป็นท่าน มีธุระอะไรหรือ”
“อย่าให้พูดเลย ข้าเอาน้ำพริกของเจ้าไปให้เพื่อนที่เปิดโรงเตี๊ยมเมืองอื่น เจ้าว่าเรื่องนี้เป็นอย่างไรต่อ”
ซ่งฝูเซิงเหลือบมองพวกป้าอ้วนที่ฟังกันอย่างใจจดใจจ่อแล้วส่งสัญญาณให้เจ้านายเฉินเข้าบ้านก่อนค่อยคุยกัน
“แล้วนี่คือ?”
พวกป้าอ้วนเอามือซุกแขนเสื้อ ยิ้มแป้นพลางพูด “ไม่เป็นไรน้องซ่ง เข้าไปคุยตามสบาย ไม่ต้องรับรองพวกข้า”
ซ่งฝูเซิง “…” ใครจะอยากรับรองป้า พวกป้าควรกลับบ้านกันได้แล้วไหม
“ฝูกุ้ย ซ่งฝูกุ้ย”
จนปัญญาแล้ว ซ่งฝูเซิงเรียกขวัญใจสาวๆ ให้มาจัดการ
ทางที่ดีอย่าปล่อยให้ป้าๆ พวกนี้เดินเพ่นพ่าน ในโรงเพาะปลูกกำลังตัดพริกกันอยู่ ห้องทำขนมด้านหลังก็กำลังอยู่ในช่วงที่งานยุ่งที่สุด พวกเด็กๆ ในห้องชุมนุมก็กำลังหัดเขียนหนังสือ
พอซ่งฝูกุ้ยปรากฏตัวก็ถามพวกป้าอ้วน “พวกพี่มาที่นี่มีธุระเหรอ”
อันที่จริงพวกป้าอ้วนนั้นอายุน้อยกว่าเขาเยอะ
แต่ซ่งฝูกุ้ยก็ยังอยากจะเรียกพวกนางว่าป้าบ้าง ยายบ้าง พี่สาวบ้าง
และเมื่อเทียบกับซ่งฝูเซิง พวกป้าอ้วนก็ชอบที่จะพูดคุยกับซ่งฝูกุ้ยมากกว่า พวกนางไม่ชอบที่ซ่งฝูเซิงหยิ่งด้วยซ้ำ หยิ่งเหลือเกิน
แต่ซ่งฝูกุ้ยให้ความเป็นกันเองมากกว่า
กวักมือเรียกซ่งฝูกุ้ย “เจ้ามานี่”
“คือว่า น้องฝูกุ้ย เมื่อกี้ข้าได้ยินว่าบ้านเจ้าขายน้ำพริกเหรอ น้ำพริกอะไรเหรอ”
“หมายความว่าอย่างไร ยังได้ยินอะไรอีก”
“ข้าได้ยินอะไรแล้วไงล่ะ ดูท่าทางของเจ้าสิ…
…ข้าก็รู้นะว่าเจ้าไปซื้อของที่บ้านพี่สะใภ้สี่ของเจ้ามาไม่น้อย ซื้อของกินจากบ้านนางจนหมด ใช่ไหมล่ะ…
…ดูสิ แค่เห็นสีหน้าเจ้าข้าก็รู้แล้วว่าเดาไม่ผิด ข้ารู้ราคาด้วย…
…ข้าอยากจะพูดอะไรน่ะเหรอ เจ้าจะไปซื้อซีอิ๊วบ้านนางทำไม ซีอิ๊วของนางน่ะ ข้าจะบอกเจ้าให้ กลิ่นอย่างกับกลิ่นเท้า ไหนๆ ก็จะต้องเสียเงินซื้อแล้ว ควรเลือกที่มันหอมๆ สิ…
…ถ้าให้บอกว่าซีอิ๊วบ้านไหนเด็ดน่ะเหรอ บ้านข้าดังสุดในหมู่บ้านแล้ว…
…อีกทั้งบ้านข้าทำอะไรน่ะเหรอน้องชาย ที่ดินบ้านข้าปลูกถั่วทุกปี ปลูกเป็นสิบๆ หมู่ บ้านข้าเปิดร้านเต้าหู้ฝีมือเก่าแก่แล้ว พวกของกินที่เกี่ยวกับถั่ว จึ๊ น้องชาย เจ้าไม่นึกถึงบ้านข้าได้อย่างไร…
…เจ้าทำแบบนี้ไม่ถูก ทำตัวห่างเหินกับข้าเกินไปแล้ว”
ซ่งฝูกุ้ยกลั้นขำในใจ “ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่ว่าพวกเราทำตัวห่างเหิน เพราะพวกเรากับครอบครัวพี่สะใภ้สี่เป็น…”
“เจ้าไม่ต้องพูด ฟังข้า เมื่อวาน รู้ไหมว่าก่อนพวกเจ้ากลับมา ใครเป็นคนเรียกคนในหมู่บ้านมาช่วยห้ามศึก”
“ใคร”
“ก็ข้าน่ะสิ ไอ๊หยา ข้าแหกปากตะโกนเสียจนแทบจะมีควันออกจากปาก รีบตะโกนเรียกคน ไปเคาะประตูเรียกจนเกือบโดนหมากัด คนในหมู่บ้าน นอกหมู่บ้านรีบวิ่งกันมา ชนบ้างลื่นบ้าง ก้นจ้ำเบ้ากันตั้งหลายคน”
“เอาล่ะ” ซ่งฝูกุ้ยชี้พวกป้าๆ ที่หัวเราะกัน “พี่ก็ไม่ต้องพูดมากแล้ว ข้าเชื่อหมดแหละ ข้าเข้าใจแล้ว อยากขายซีอิ๊วใช่ไหมล่ะ”
ดวงตาของพวกป้าๆ เปล่งประกาย “อืม ซีอิ๊วบ้านข้ามีเยอะมาก ช่วยซื้อไปสักหน่อยสิ”
ซ่งฝูกุ้ยชี้ไปในหมู่บ้าน “กลับไปเตรียมของไว้ ข้าจะให้ราคาเดียวกับพี่สะใภ้สี่”
“เชื่อได้ไหม”
“ได้ ไปก่อน ข้าจะไปเรียกเพื่อนๆ”
“เช่นนั้นเจ้าจะซื้อเท่าไหร่”
ซ่งฝูกุ้ยแกล้งทำเป็นคิดก่อน เงียบไปสักพัก ขณะที่พวกป้าๆ กำลังหวั่นใจ ทันใดนั้นเขาก็ฉีกยิ้มกว้าง ส่ายมือพลางพูด “มีเท่าไรก็ซื้อเท่านั้น”
ท่าทางแบบนั้น ในสายตาของพวกป้าอ้วนก็คือใจป้ำมาก
“ได้เลย น้องฝูกุ้ย”
ป้าอ้วนพวกนี้ร้อนใจอยากหาของใส่ปาก ไม่ว่าจะตื่นเต้น เสียใจ ต้องขอให้ปากมีอะไรเคี้ยวไว้ก่อน
พอไม่ได้เคี้ยวแล้วมันหงุดหงิด ติดนิสัยไปแล้ว
ต่อให้ไม่ได้กิน เด็ดต้นไม้ใบหญ้ามาเคี้ยวก็ยังดี
ตอนนี้เลยเด็ดฟางมาเคี้ยวพลางวิ่งกลับบ้าน
ยังไม่ทันกลับถึงบ้าน อาของนางและก็เป็นแม่สามีในตัว ทำสีหน้าจนปัญญาพลางชี้ร่างอวบอ้วนของนางพร้อมตะโกนด่า “ทิ้งกะละมังไว้ริมน้ำแบบนี้เหรอ เจ้าวิ่งตามกลิ่นหอมไปฝั่งนู้นแต่เช้าตรู่เลยเหรอ”
จากนั้นก็บ่นพึมพำกับตัวเอง ไอ๊หยา ตะกละจริงๆ ดูสิ เคี้ยวฟางตุ้ยๆ ดูท่าถั่วในกระเป๋าก็คงกินจนหมดแล้วสินะ ยังไงล่ะ เดี๋ยวข้ายังต้องคั่วให้นางอีก
“ท่านแม่ ท่านแม่ ข้าจะเล่าอะไรให้ฟัง ไปเตรียมซีอิ๊วเร็ว ข้าขายให้ท่านได้แล้ว ได้เงินเยอะเชียวนะ”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ”
“ขายได้แล้ว คนฝั่งนู้นซื้อ”
แม่สามีของนางสะกิดพวกป้าๆ คนอื่น “ไปๆๆ เบาๆ เสียงกันหน่อย กลับไปคุยที่บ้านไป”
หญิงสูงวัยในหมู่บ้านหลายคนที่ว่างเหลือเกิน แต่ละคนผูกผ้าพันคอออกมาสุมหัวคุยกัน ไม่รู้จักหนาว
พอมองไป เวลานี้บนสะพานกำลังครึกครื้น
พวกซ่งฝูกุ้ยข้ามมาแบกซีอิ๊ว พวกป้าอ้วนกับเหล่าพี่น้องตะโกนเป็นเสียงเดียวกัน “ไม่ต้อง ลำบากทำไม เดี๋ยวพวกเราเอาไปส่งเอง”
ตอนที่เกวียนผ่านมาได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้พอดี
เกวียนบรรทุกเหล่าหญิงสูงวัยของหลายครอบครัวที่มีหน้ามีตาในหมู่บ้าน พวกนางเตรียมจะไปเดินเล่นในเมือง โดยอาศัยเกวียนของบ้านเศรษฐีที่ดินเล็กๆ
หญิงสูงวัยบนเกวียน บ้างก็พาลูกสะใภ้ไปด้วย ถามพวกยายที่ผูกผ้าพันคอพลางเอาคางชี้ไปทางสะพาน “นั่นทำอะไรกันน่ะ”
“ได้ยินว่าบ้านสกุลไป๋ขายซีอิ๊วหลายไหใหญ่ให้พวกฝั่งนู้นหมดแล้ว ดูสิ ดีใจยกใหญ่ กำไรไม่น้อยเลยนะ ก็จริง ก้อนเต้าเจี้ยวไม่กี่ตังค์ เปลี่ยนมือหน่อยก็กำไรไม่น้อยแล้ว”