ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 381
เกวียนเริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้ง
พวกผู้หญิงในเกวียนคุยกัน
“คนพวกนั้นไม่มีซีอิ๊ว จะซื้อไปกินสินะ คราวนี้ยายไป๋คงได้ยิ้มร่า ซีอิ๊วเหม็นๆ ยังขายได้ตั้งสองเงิน”
“แน่นอน สองร้อยกว่าชีวิต กลางฤดูหนาวจะกินอะไรได้ ต้นหอมจิ้มซีอิ๊ว ผักกาดขาวแช่แข็งจิ้มซีอิ๊ว อย่างครอบครัวพวกเราบนโต๊ะมีอะไรบ้าง อยากกินอะไรก็มีใช่ไหมล่ะ” หญิงสูงวัยจากบ้านเศรษฐีที่ดินเล็กๆ พูดขึ้น
หญิงสูงวัยจากบ้านเลี้ยงหมูพูด
“ก็ไม่แน่หรอกนะ ข้าเห็นพวกเขาก็มีกินมีดื่มไม่ขาดแคลน กระดาษที่ติดหน้าต่างก็เป็นแบบที่ดีเลยทีเดียว ไม่มีรูโหว่ให้เห็น ข้าตั้งใจดูเป็นพิเศษ…
…ไม่แน่ว่าซื้อซีอิ๊วไปทำอย่างอื่น อาจซื้อไปทำอะไรขายข้างนอก…
…เมื่อวานพวกเจ้าได้กลิ่นไหม หอมอบอวลไปทั้งบ้าน นั่นเป็นกลิ่นน้ำตาล…
…เมื่อวานบ้านข้าพอตกเย็นคุยกัน คนพวกนั้นขยันขันแข็ง ตอนมาอยู่เข็นมาไม่กี่คันรถ ถามหาอะไรก็ไม่มี ตอนนี้เจ้าลองไปดูอีกครั้งสิ เวลาแค่ไม่กี่เดือนจัดการหามาได้หมดแล้ว”
มีผู้หญิงคนหนึ่งถามขึ้นทันที “เอ๊ะ? ลองนับเวลาที่พวกเขามาอยู่ สามเดือนแล้วหรือเปล่า”
“สามเดือนกว่าแล้ว ตอนนั้นที่พวกเขามา จึ๊ ลูกสาวคนที่ห้าของบ้านอาเล็กข้ากลับมาบ้านพอดี สามวันกลับมาเยี่ยมพ่อแม่สามีข้าที น้องห้าพอพูดทีก็จ้อไม่หยุด เจ้าลืมแล้วเหรอ”
“อ้อ ใช่ ข้านึกออกแล้ว ตอนนั้นน้องห้ายังบอกว่า หมู่บ้านที่นางแต่งเข้าไปอยู่ก็มีหลายครอบครัวที่ลี้ภัยมา มีอยู่ส่วนหนึ่งที่หน้าไม่อายเหลือเกิน ขโมยของในหมู่บ้าน พอถูกจับได้ก็อย่างนั้นแหละใช่ไหมล่ะ”
“ใช่ ตอนนั้นพวกเรายังบ่นยังเดากันอยู่เลยนะ ก็ไม่รู้ว่าคนพวกนี้จะขโมยของหรือเปล่า ต้องระวังไว้หน่อย เราสองคนยังตั้งใจไปที่บ้านสะใภ้เก้าเป็นพิเศษ ไปเตือนสะใภ้เก้า ใช่ไหมสะใภ้เก้า”
สะใภ้เก้าก็คือหญิงสูงวัยของบ้านเศรษฐีที่ดินเล็กๆ “อืม ยังเตือนให้ข้าเลี้ยงหมา เช่นนั้นพวกเขาก็มาอยู่ได้สามเดือนหกวันแล้ว”
“ทำไมเจ้าจำได้ดีขนาดนั้น”
“ตอนนั้นเสี่ยวเย่ว์บ้านข้ากลับมา หอบของเยอะแยะกลับมาให้ข้ากับปู่ของนาง พักอยู่สองวัน จริงสิ วันนั้นไปบ้านเจ้า ยังให้ลูกชายคนรองของเจ้าฆ่าหมูให้อยู่เลย” สะใภ้เก้าชี้ไปทางหญิงสูงวัยของบ้านขายหมู
ทันใดนั้นยายบ้านขายหมูก็พูดขึ้น
“สะใภ้เก้า พอพูดถึงเสี่ยวเย่ว์บ้านเจ้าข้าก็ได้แต่มองด้วยความอิจฉา แต่งไปได้ดิบได้ดีแล้วจริงๆ…
…ในบรรดาหมู่บ้านละแวกนี้ มีแค่นางคนเดียวที่แต่งไปอยู่เมืองเฟิ่งเทียน นั่นมันในเมืองเชียวนะ แถมสามียังเป็นทหาร สาวๆ บ้านอื่นไม่มีใครมีวาสนาเท่านาง…
…ข้าด่าซานซิ่งบ้านข้าไม่รู้กี่รอบแล้ว ถ้าเจ้าได้ครึ่งหนึ่งของพี่เย่ว์ของเจ้า ท่านย่าของเจ้ากับแม่จะให้ทรัพย์สมบัติติดตัวที่มีหน้ามีตา แต่เจ้าก็ต้องมีวาสนาแบบนั้นก่อน”
พอพูดถึงสามีของหลานสาวคนโตสะใภ้เก้าเป็นทหาร ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งถามขึ้นด้วยความสงสัย “สะใภ้เก้า เช่นนั้นสามีของเสี่ยวเย่ว์รู้จักกับทหารพวกนั้นที่มาล่าสัตว์ในหมู่บ้านเราเมื่อคราวก่อนไหม พวกเขาเป็นทหารกันหมดไม่ใช่เหรอ เจ้าเคยถามไหม”
อันที่จริงสะใภ้เก้ารู้ดีแก่ใจว่า ถึงแม้สามีของหลานสาวคนโตจะเป็นทหาร แต่เสื้อผ้ากับรองเท้าที่ใส่ดูเหมือนจะไม่ได้ดูดีอย่างที่พวกกลุ่มล่าหมาป่าใส่กัน
ตอนนั้นที่พวกกลุ่มล่าหมาป่าเพิ่งมา สามีของนางยังพูดกับลูกชายคนโตอยู่เลยว่า อยากออกไปยืนต้อนรับแถวแรก ว่างๆ จะหาเวลาพูดถึงหลานเขยคนโต ที่พูดก็ไม่ใช่อะไร แค่อยากให้ดูมีหน้ามีตาในหมู่บ้าน
นางกับสะใภ้ใหญ่ก็เตือนว่า จะไปทำตัวตีสนิททำไม รู้จักหรือไม่รู้จักแล้วอย่างไร รู้จักสิจะแย่ ไม่ได้พาครอบครัวออกไปต้อนรับเพื่อนร่วมงาน แบบนั้นไม่เท่ากับหาเรื่องใส่ตัวรึ
เพราะก็มีแค่นางกับสะใภ้ใหญ่ที่เคยเห็นชุดทหารที่หลานเขยคนโตใส่
เมื่อก่อนเวลาหลานเขยคนโตมาในหมู่บ้านล้วนแต่งตัวด้วยชุดธรรมดา ไม่เคยใส่ชุดที่ทางหน่วยงานแจกให้ ดังนั้นสามีกับลูกชายคนโตของนางจึงไม่รู้
แต่ตอนนี้เราจะพูดแบบนั้นไม่ได้ บอกว่าสู้พวกกลุ่มล่าหมาป่าไม่ได้ มันออกจะเสียหน้าไปหน่อย
“ไม่ได้ถามและก็ไม่ได้สืบ พวกเจ้าไม่ค่อยได้เข้าเมือง คงไม่รู้ว่าในเมืองมีหน่วยงานแยกออกไปเยอะแยะ ใช่ว่าพูดถึงใคร ชื่ออะไร บอกไปแล้วจะรู้จักกันหมด”
ผู้หญิงที่ถามพยักหน้าติดกัน “ก็จริง ยังไงเสียนั่นก็ในเมือง เมืองเฟิ่งเทียนเชียวนะ เมืองใหญ่โต เหมือนหมู่บ้านพวกเราที่ไหนกัน รู้จักกันหมดตั้งแต่ตะวันออกยันตะวันตกของหมู่บ้าน”
หญิงสูงวัยคนอื่นๆ ก็พากันเห็นด้วย อาศัยนั่งเกวียนคนอื่นก็ต้องเลือกพูดที่เขาอยากฟัง “นั่นสิ”
“ท่านย่า” ตรงประตูเมืองเฟิ่งเทียน เสี่ยวเย่ว์ที่ออกเรือนมาอยู่ไกลและได้ดีที่สุดทักทายขึ้น
“ไอ๊หยา เสี่ยวเย่ว์ ดูดีขึ้นเรื่อยๆ เลยนะ” เหล่าหญิงสูงวัยยังไม่ทันลงจากเกวียนก็เริ่มเอ่ยชม
สะใภ้เก้ายังไม่ทันลงจากเกวียนก็ร้อนใจรีบแนะนำ “เย่ว์ รอจนร้อนใจเลยหรือเปล่า คนนี้ยายหวัง เจ้ารู้จักแล้ว เจอในหมู่บ้านบ่อย คนนั้นยายสาม พอจำได้ไหม ส่วนคนนั้น”
เสี่ยวเย่ว์ขัดจังหวะ “ท่านย่า เบาเสียงหน่อย ดูสิคนมองพวกเรากันหมดแล้ว”
“อ่อๆ ได้”
เสี่ยวเย่ว์แค่พยักหน้าให้พวกยายๆ ในหมู่บ้าน จากนั้นก็ให้สาวใช้ที่อยู่ข้างกายเอาของในมือวางไว้บนเกวียน คนคุมเกวียนจะดูไว้ให้
“เอาอะไรมาให้อีก”
“พวกผ้าเจ้าค่ะ เดี๋ยวท่านย่ากลับไปก็ไปแบ่งให้ท่านแม่ของหลานกับพวกพี่สะใภ้ ท่านย่า อันที่แยกออกมานั่นของท่านย่า พวกเราไม่ถือไปเดินเล่นด้วย ไม่อย่างนั้นจะหนัก”
พวกยายๆ ที่ตามมาด้วยต่างรู้สึกเพียงว่า เอาพวกเด็กสาวในหมู่บ้านมามัดรวมกันยังสู้เสี่ยวเย่ว์คนเดียวไม่ได้
อย่ามองว่าเสี่ยวเย่ว์ไม่ทักทายพวกนาง อีกทั้งยังเหมือนดูถูกพวกนางด้วยซ้ำ แต่ก็ยังเป็นคนที่ยอดเยี่ยมในใจของพวกนาง หลานสาวที่รู้จักเอาของมาให้คนที่บ้าน ถ้าแบบนี้ไม่ดีแล้วแบบไหนถึงจะดีล่ะ
ไร้มารยาทแต่มีของขวัญมาให้ก็พอแล้ว
แน่นอนว่าของขวัญนั่นไม่ได้เอามาให้พวกนาง แต่ก็มีความรู้สึกร่วม รู้สึกว่าเสี่ยวเย่ว์กตัญญู อยากได้หลานสาวที่รู้จักเอาของมาให้คนในครอบครัวบ้าง
ที่หน้าร้านขนมโบราณของสกุลฉี
สะใภ้เก้ากับพวกยายๆ กำลังจะเข้าไปซื้อ
ใกล้ปีใหม่ มาทั้งที ในบ้านมีเด็กเยอะแยะก็ย่อมต้องซื้อติดไม้ติดมือกลับไปหน่อย มาทำอะไร ก็มาจับจ่ายซื้อของกันใช่ไหมล่ะ
ฐานะของพวกนางพอใช้ได้ ซื้อขนมแค่นี้ไม่มีปัญหา
เสี่ยวเย่ว์เข้าไปขวางไว้ “ท่านย่า อย่าซื้อร้านนี้ ตอนนี้ไม่ค่อยมีคนซื้อร้านนี้แล้ว คนในพื้นที่ช่วงนี้แห่ไปร้านเปิดใหม่กันหมด”
“ร้านเปิดใหม่ เจ้าเคยชิมไหม”
“หลานกินทุกวัน ดีมากเลยนะเจ้าคะ” สาวใช้ของเสี่ยวเย่ว์เหลือบมองแวบหนึ่ง คิดในใจ ไม่ใช่แบบนั้นเสียหน่อย
เสี่ยวเย่ว์มองพวกยายๆ ในหมู่บ้าน คำนวณเงินที่พกติดตัวมา กัดฟัน นางตัดสินใจแล้ว เพื่อให้พวกยายๆ กลับไปชมนางในหมู่บ้าน “ท่านย่า ไปเถอะ เดี๋ยวหลานซื้อให้ เอาไปให้พวกน้องๆ ชิมของแปลกใหม่ ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาคิดถึงพี่สาวคนนี้บ้างไหม”
พวกยายๆ ทำเสียงจึ๊ๆ “ไอ๊หยา เสี่ยวเย่ว์กตัญญูจริงๆ สะใภ้เก้า ทำไมวาสนาเจ้าดีแบบนี้ หลานสาวคนโตแบบนี้ถ้ามาอยู่บ้านข้า พวกเราก็มองเป็นสมบัติล้ำค่าเหมือนกัน”
สะใภ้เก้ารู้สึกว่าใบหน้าเปล่งปลั่งเป็นพิเศษ “เด็กคนนี้ชอบซื้อนั่นซื้อนี่ให้ที่บ้านอยู่เสมอ ห้ามยังไงก็ห้ามไม่อยู่”
ระหว่างทางเสี่ยวเย่ว์ก็แนะนำว่าร้านขนมร้านนั้นดีอย่างไร ปูพื้นด้วยแผ่นไม้ พื้นขัดเป็นเงา ประดับโคมอยู่ไม่น้อย ลูกค้าเยอะมาก
อีกทั้งคนที่ไปร้านขนมร้านนั้นก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะกล้าเข้าไป
เพราะของที่ขายอยู่ในนั้นราคาแพงเป็นพิเศษ ครอบครัวธรรมดาซื้อกินไม่ไหว มีแต่คนฐานะดีที่ไปกัน
พวกยายๆ ฟังแล้วก็ฮือฮา คิดในใจ อื้อหือ มันขนาดนั้นเลยเหรอ เช่นนั้นพวกนางก็คงซื้อไม่ไหว
ในใจคิดแบบนี้ จึงถามสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกมา “ถ้าพวกเราไม่ซื้อจะถูกไล่ออกมาไหม”
เสี่ยวเย่ว์พูด “ไม่หรอกเจ้าค่ะ ข้าจะซื้ออยู่แล้ว พวกท่านตามหลังข้าเข้าไป อย่าไปจับของในร้านส่งเดชก็พอ”
พวกยายๆ พากันพยักหน้า ถึงขนาดที่รู้สึกไม่ค่อยอยากเข้าไปแล้ว คิดอยู่ว่าหรือจะรออยู่หน้าร้านดี
เป็นสะใภ้เก้าที่เกลี้ยกล่อม “ไหนๆ ก็มาแล้ว เข้าไปดูสักหน่อย อย่ามัวแต่กลัว ดูนิดดูหน่อย มีอะไรต้องกลัว เขายังจะไม่ให้เราดูได้ด้วยรึ”
“ยินดีต้อนรับเจ้าค่ะ”
เมื่อประตูเปิดออก เห็นเพียงเหล่าหญิงสูงวัยที่แต่งตัวธรรมดาเดินตามหญิงสาวที่อายุน้อยมากคนหนึ่งเข้าไปด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ
หญิงสาวประคองหญิงสูงวัยคนหนึ่ง
หญิงสูงวัยเงยหน้าขึ้น
ท่านย่าหม่าที่นั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์คิดเงินก็เงยหน้าขึ้น
ทั้งสองคนสบตากัน