ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 383
ภายในร้านขายผ้า
เหล่าหญิงสูงวัยพวกสะใภ้เก้า เมื่อครู่เห็นๆ อยู่ว่าเถ้าแก่เนี้ยคนนี้พูดคุยยิ้มแย้มกับท่านย่าหม่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความเป็นกันเอง
แต่พอพวกนางเข้ามาในร้านขายผ้า เถ้าแก่เนี้ยคนนี้กลับไม่แม้แต่จะลุกขึ้น กลายเป็นสาวใช้คนหนึ่งที่มาต้อนรับพวกนางแทน
เสี่ยวเย่ว์มองท่านย่าของนาง ร้อนใจที่ท่านย่าของตัวเองไม่รู้อะไรเลย ปล่อยให้ความสัมพันธ์ที่ดีแบบนี้หลุดลอยไปได้อย่างไร
พูดตามตรง ถึงแม้นางจะเป็นคนในพื้นที่ แต่ก็ไม่ได้รู้เรื่องร้านค้าในถนนกลาง
ในเมืองเฟิ่งเทียนที่กว้างใหญ่แห่งนี้ สามีของนางเป็นเพียงคนทำครัวเล็กๆ ในค่ายทหาร ไม่ได้โดดเด่นอะไรสักนิด
แต่นางเคยได้ยินคนพูดว่า ร้านค้าที่อยู่บนถนนกลางแต่ละร้านล้วนมีภูมิหลัง
ส่วนเรื่องอื่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ชาวบ้านอย่างนางจะรู้ได้
ทันใดนั้นเสี่ยวเย่ว์ก็ถามขึ้น “ข้าเห็นหน้าคุ้นๆ เมื่อครู่เจอกันในร้านขนมหรือเปล่า”
สาวใช้ที่อยู่ตรงโต๊ะคิดเงินหันไปมองเถ้าแก่เนี้ย
เถ้าแก่เนี้ยยืนขึ้น จำต้องออกมาต้อนรับ “เมื่อครู่ข้าไม่ได้สังเกต พวกท่านต้องการผ้าอะไรหรือ”
เสี่ยวเย่ว์ลูบผ้าเนื้อดี แสร้งทำเป็นดู แต่กลับถามขึ้น “เมื่อครู่ข้าได้ยินพวกท่านคุยกันถึงอำเภอจยาหรือไม่ ในร้านขนมคนเยอะ ข้าจึงไม่ได้ฟังอะไรอีก ส่งขนมไปที่อำเภอจยาได้ด้วยหรือ”
เถ้าแก่เนี้ยยิ้มพลางพูด “ไม่ใช่ส่ง บ้านเจ้าก็อยู่อำเภอจยาด้วยรึ บังเอิญจริง บ้านพ่อแม่ข้าอยู่ที่นั่น หากเจ้าอยากซื้อขนมก็ไปซื้อที่สาขาย่อยได้ ร้านขนมร้านนั้นมีอยู่ที่อำเภอจยา อำเภออวิ๋นจง เมืองถงเหยา”
ทันใดนั้นสะใภ้เก้าก็พูดแทรก “นางเปิดสี่ร้านเลยหรือ”
พอออกจากร้านขายผ้า เหล่าหญิงสูงวัยก็คล้ายกับถูกสกัดจุดอีกครั้ง เงยหน้ามองฟ้า
จากนั้นไม่ต้องสนว่าจะซื้ออะไรแล้ว พวกนางรวมถึงเสี่ยวเย่ว์เดินกันอย่างเหม่อลอย
พอแล้ว ยังต้องเดินทางอีก ไม่เดินแล้ว
เสี่ยวเย่ว์ดึงแขนเสื้อท่านย่า ขอคุยด้วยก่อน อย่าเพิ่งขึ้นเกวียน
“ท่านย่า เดี๋ยวกลับไปท่านย่าต้องไปทำดีกับทางนั้นเข้าไว้นะ นี่จะปีใหม่แล้วใช่ไหมล่ะ ไปมาหาสู่สักหน่อย”
สะใภ้เก้าเป็นหญิงสูงวัยที่ทระนงตนมาก พูดเชิงปฏิเสธ “หมายความว่าอย่างไร ย่าต้องหิ้วของไปเยี่ยมที่บ้านรึ เจ้าเลิกคิดไปได้เลย ต่อให้นางจะเปิดสักกี่ร้าน ย่าก็ทำแบบนั้นไม่ได้ ไม่ได้รู้จักไม่ได้สนิทจะให้ย่าไปเหรอ”
“ไม่ได้ให้ท่านย่าหิ้วของไปหาแบบเป็นทางการขนาดนั้น แค่ให้ท่านย่าหาโอกาสช่วงก่อนปีใหม่หรือในเดือนอ้ายไปหาที่บ้าน ชวนคุยนั่นนี่ เอาของในบ้านติดไม้ติดมือไปหน่อยก็พอ…
…ท่านย่า รู้หรือเปล่าว่า การที่จะสามารถเปิดร้านสองชั้นบนถนนกลางในเมืองเฟิ่งเทียนได้จะต้องรู้จักคนชั้นสูงแบบไหน…
…ท่านย่าผูกสัมพันธ์กับคนแบบนี้ ย่อมดีกว่าคลุกคลีกับพวกคนที่ไม่ได้มีอะไรใช่หรือไม่…
…ยิ่งไปกว่านั้น นางเปิดได้ถึงสี่ร้าน…
…พวกท่านย่าอายุมากแล้วย่อมมีเรื่องให้ชวนคุย ประเดี๋ยวเดือนอ้ายข้าก็จะกลับไปด้วย”
สะใภ้เก้าครุ่นคิด ตัดสินใจแล้ว “ได้”
บรรยากาศบนเกวียนแตกต่างจากตอนมา ไม่มีการชวนคุยอะไรกันอีก
หญิงสูงวัยแต่ละคนค่อนข้างเหม่อลอย
ระหว่างทางกลับ ผ่านไปได้ครึ่งทางแล้วทันใดนั้นก็มียายคนหนึ่งถามขึ้น “รู้แค่ว่าคนพวกนั้นขายขนม แล้วขนมที่ขายคือขนมอะไรล่ะ”
“ใช่ๆๆ สะใภ้เก้า ตอนนั้นอยู่ในร้านมัวแต่มองนาง ไม่ได้มองขนม เจ้าเปิดให้พวกเราดูหน่อยสิ”
“ได้” สะใภ้เก้าเปิดขนมที่หลานสาวซื้อให้ ทั้งยังเตือนว่า “ระวังนะ อย่าทำเละล่ะ”
พอเปิดออก เหล่าหญิงสูงวัย “…”
ช่างเปิดหูเปิดตาเสียจริง ขนมที่มีสีสัน
“นางขายแพงทีเดียวนะ”
“เจ้าดูสิ ไม่แพงได้เหรอ ขนมชิ้นเดียวทำเป็นดอกไม้ด้วย”
สะใภ้เก้าพูด “ไม่ได้ฟังที่หลานสาวข้าพูดรึ คนทั่วไปนางยังไม่ลดให้เลยนะ แต่ลดให้เราสิบหกเหวิน”
พอพูดถึงสิบหกเหวิน เหล่าหญิงสูงวัยก็รีบพูดขึ้น “ใช่ๆๆ นี่ก็เกรงใจกันพอสมควร จึ๊ เมื่อครู่นางก็ไว้หน้าพวกเราอยู่นะ”
“ใช่ นางก็ดีนะ ยังเรียกให้พวกเรานั่งลงดื่มน้ำด้วย เพราะเห็นพวกเรารู้จักกันประมาณหนึ่งหรือเปล่า”
ต่อมาพอกลับถึงหมู่บ้านเหรินจยา เหล่าหญิงสูงวัยก็แยกย้าย หิ้วถุงเล็กถุงน้อยรีบเดินกลับบ้าน
แต่ละคนพอกลับเข้าบ้าน ประโยคแรกที่พูดคือ “นี่พ่อ แม่จะเล่าให้ฟัง…”
มีท่านยายคนหนึ่ง สามีตายไปแล้ว คำพูดของนางคือ “ลูก แม่จะเล่าให้ฟัง เดาสิว่าวันนี้แม่ไปเห็นอะไรมา…”
เหล่าหญิงสูงวัยยังได้ตกลงกันไว้แล้วว่าอย่าเอาเรื่องนี้ไปพูดส่งเดช
พฤติกรรมแต่ละอย่างของทางนั้น ได้แสดงออกไว้แล้วว่าไม่ชอบโอ้อวด ดังนั้นอย่าไปล่วงเกินคนอื่นจะดีกว่า
พวกนางเองก็ทำได้จริงๆ เพียงแต่อีกไม่กี่วันต่อมา เรื่องนี้ก็ถูกลือออกไป ลือกันไปถึงนอกหมู่บ้าน
แล้วมันพลาดที่ตรงไหนกันนะ
“แม่ผัวข้าบอกว่า ห้ามข้าไปเล่าให้คนนอกฟัง เจ้าก็ปิดปากให้สนิทล่ะ”
“วางใจๆ ข้าปิดปากสนิทแน่นอน”
“นี่ๆ สะใภ้ใหญ่บ้านเศรษฐีที่ดินเล่าให้ข้าฟังว่า พวกคนฝั่งนู้นน่ะ เปิดร้านขนมสี่ร้าน…
…พรุ่งนี้เจ้าไปเมืองถงเหยาก็ลองไปสืบหาร้านขนมที่ดังที่สุดช่วงนี้ ป้ายด้านบนแปลกตามาก มีรูปวาดด้วย วาดเป็นรูปยายจัดจ้านคนนั้นที่อยู่ฝั่งนู้น นั่นแหละร้านที่พวกนางเปิด…
…ข้าจะบอกให้นะ ข้าเล่าให้แค่เจ้าฟัง อย่าเอาไปบอกใครล่ะ”
“ได้ข่าวหรือยัง ยังเหรอ ข้าจะบอกให้นะ พวกคนที่ลี้ภัยมาอยู่หมู่บ้านเราน่ะ วันนั้นข้ายังพูดกับเจ้าอยู่เลย พวกคนที่วันนั้นสู้เอาเป็นเอาตายน่ะ ไอ๊หยา ร้ายกาจไม่เบา เก่งกันสุดๆ เปิดร้านขนมสี่ร้าน เป็นห้องแถวด้วยนะ ขายแพงทีเดียว ขนมชิ้นคำเดียวพวกเราซื้ออาหารกินได้ตั้งสิบวัน”
“หมู่บ้านเรา คนที่รวยที่สุดคือบ้านเริ่นกงซิ่นอย่างนั้นเหรอ เช่นนั้นเจ้าก็ตกข่าวแล้ว ข้าจะบอกให้ ไม่ถูก พวกคนแซ่ซ่งนั่นต่างหากที่รวย เปิดร้านขนมตั้งสี่ร้าน…
…เมืองเฟิ่งเทียน มีร้านอยู่ในเมืองเฟิ่งเทียนด้วย ได้ยินว่าอยู่ถนนกลางอะไรนี่แหละ เอาเป็นว่าเป็นถนนที่มีร้านค้าเยอะๆ ห้ามเอาเกวียนเอาม้าไปผูกไว้ส่งเดช”
“เจ้าถามถึงใคร คนที่ลี้ภัยเหรอ เจ้าอย่าเอาแต่พูดว่าลี้ภัย พูดจาไม่น่าฟัง มีคนลี้ภัยที่ไหนเป็นแบบพวกเขาบ้าง พวกเขามีร้านขนมตั้งสี่ร้าน เจ้ามีไหมล่ะ ข้าไม่พอใจอะไรน่ะเหรอ ข้าฟังแล้วไม่พอใจ ข้ากับซ่งฝูเซิงน่ะสนิทกัน ซี้กันสุดๆ”
…
ช่วงไม่กี่วันมานี้เวลาที่พวกซ่งฝูเซิงออกไปขายน้ำพริก
“พี่ซ่ง มาๆๆ เดี๋ยวพวกเราช่วย”
พวกป้าอ้วนกินถั่ว ท่าทางดีอกดีใจ
นางกับสะใภ้สี่จัดอยู่ในกลุ่มที่ให้ความช่วยเหลือกลุ่มแรกๆ อีกทั้งจัดอยู่ในประเภทที่ว่าพวกซ่งฝูเซิงจะเป็นฝ่ายทักทายก่อน
นางเองก็เริ่มทำให้เป็นที่สังเกต จงใจยืนอยู่หน้าบ้านไม่พูดอะไร
ซ่งฝูกุ้ยตะโกนตั้งแต่อยู่ไกลๆ “พี่ไป๋ พี่วั่งเฟิงล่ะ พี่ข้ายังไม่กลับมาเหรอ”
พวกป้าอ้วนตอบ “ยังเลย ต้องวันที่ยี่สิบแปดเขาถึงจะกลับ พวกเจ้าจะออกไปกันอีกแล้วเหรอ ไม่เป็นไร ข้าช่วยดูบ้านให้ ใครมาถ้าหาไม่เจอข้าจะพาไปเอง”
สะใภ้สี่เหลือบมองป้าอ้วนที่กลั้นยิ้มแทบไม่อยู่ แต่นางเองก็ถามพวกซ่งฝูกุ้ย “ครั้งนี้เอาไปส่งเยอะหรือเปล่า ถ้าเยอะก็ให้คนบ้านข้าไปช่วยได้”
ซ่งฝูกุ้ย “ไม่ต้องๆ ไว้เจอกันนะ พี่สะใภ้สี่ พี่ไป๋ กลับมาค่อยคุยกัน”
เข็นรถน้ำพริกออกไปสิบกว่าคัน
ช่วงนี้ เวลาท่านย่าหม่าขนชะลอมเปล่ากลับมาก็มักจะเจอพวกสะใภ้เก้า รวมถึงพวกหญิงสูงวัยที่ไม่รู้ว่าชื่ออะไร
“กลับมาแล้วเหรอ”
“อืม พวกเจ้ากินข้าวกันยัง”
“อ่อ หิวแล้วใช่ไหมล่ะ รีบกลับบ้านไปสิ ถ้าที่บ้านไม่ได้เตรียมข้าวก็ตะโกนมานะ บ้านข้ามีซาลาเปาไส้ถั่วเพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ”
“ได้” ท่านย่าหม่ามีท่าทีที่เป็นกันเองมาตลอด แต่สามารถควบคุมให้อยู่ในระดับที่พวกสะใภ้เก้าเข้าไม่ถึง ไม่สนิทถึงขั้นที่จะไปเยี่ยมเยียนที่บ้านได้
ทุกคนสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของคนในหมู่บ้าน
แต่ก็เหมือนกับที่ไม่อยากถามถึงเรื่องหลังจากทะเลาะกัน ไม่ได้ให้ความสนใจว่าท่าทีของพวกคนในหมู่บ้านจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่
ไม่ว่าง
ความกลุ้มใจของท่านย่าหม่าในหลายสิบปีก่อนหน้านี้คือ
ทุกครั้งที่ใกล้ขึ้นปีใหม่ ต้องคิดว่าวันสิ้นปีจะกินอะไร
คิดว่าจะทำเสื้อผ้าให้ลูกชายคนโตหรือลูกชายคนรองดี
คิดว่าเสื้อผ้าเก่าๆ ของใครต้องปะ ต้องซ่อม จะได้ประหยัดเงินออกมาซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้หลานคนโต คนรอง คนเล็ก สักชุด
ตอนนั้น ถ้าไปตลาดตอนช่วงส่งท้ายปี คืนก่อนหน้าก็จะหลับไม่ค่อยสบาย
คิดนั่นคิดนี่อยู่ในใจ ไปตลาดจะซื้ออะไรบ้าง อะไรที่ประหยัดไม่ได้ อะไรที่ต้องถามราคาก่อนค่อยว่ากัน นอนพลิกตัวไปมาทั้งคืน คิดแต่ว่าทำอย่างไรถึงจะประหยัดเงิน แต่ซื้อของมาได้เยอะๆ
แต่ความกลุ้มใจในปีนี้ของนางก็คือ
เมื่อไรนางจะได้ไปซื้อๆๆ
พอเห็นลูกค้าหอบหิ้วของเข้ามาในร้านขนม ซื้อของมามากมาย นางก็เกิดอาการตาร้อน
พูดอยู่หลายรอบว่าเดี๋ยวว่างๆ พวกเราออกไปเดินซื้อของกัน แต่ส่งลูกค้าออกไปคนแล้วคนเล่าก็ยังมีคนเข้ามาในร้านอย่างไม่ขาดสาย
พอพวกนางขายเสร็จปิดร้าน ร้านอื่นก็ปิดแล้วเหมือนกัน
มีเงิน อยากซื้อให้คนนี้ อยากซื้อให้คนนั้น แต่กลับไม่ว่างไปซื้อ