ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 384 / ตอนที่ 385
ตอนที่ 384
วันที่ยี่สิบสี่เดือนสิบสอง
เกิ่งเหลียงขี่อาชารูปงามสีนิลมาถึงที่ประตูเมืองก่อน
แสดงป้ายคล้องเอวที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษ
พวกทหารเฝ้าประตูเมืองรีบเปิดประตูเมืองให้ทันที
สักพักเสียงฝีเท้าม้าก็ดังเข้ามาใกล้ขึ้น
เห็นเพียงชายหนุ่มที่ขี่นำมาอยู่บนหลังอาชาสีแดงพุทรา ด้านหลังมีคนขี่ม้าตามมากลุ่มหนึ่ง
วันนี้ลู่พั่นเพิ่งจะได้กลับมา
“คุณชายกลับมาแล้ว”
ลู่พั่นยื่นแส้บังคับม้าให้บ่าวรับใช้ในบ้านแล้วสาวเท้าไปทางเรือนของปู่ย่า
หลังจากที่เสี่ยวเฉวียนจื่อทำความเคารพมองส่งลู่พั่นเดินไปแล้ว ก็หันไปยิ้มแป้น
สายตาที่มองซุ่นจื่อเต็มไปด้วยความดีใจ
ถึงแม้เวลาอาจารย์อยู่บ้านจะชอบกลั่นแกล้งเขา แต่พออาจารย์ไม่อยู่ก็รู้สึกว่าชีวิตขาดรสชาติ
รู้สึกเหมือนรอมานานหลายเดือน เขาว่างงานเหลือเกิน ในที่สุดก็กลับมาแล้ว ก่อนหน้านี้ในจวนยังเดากันอยู่ว่าจะกลับมาไม่ทันขึ้นปีใหม่หรือเปล่า
“อาจารย์ ราบรื่นไหมขอรับ”
“อาจารย์เจ้าชื่อซุ่นจื่อ เจ้าว่าไม่ราบรื่นได้ไหมล่ะ[1] อย่าถามไร้สาระ”
เสี่ยวเฉวียนจื่อยิ้มตาหยี “อาจารย์ เดี๋ยวตรงนี้ข้าจัดการเอง ท่านรีบไปล้างหน้าล้างตาเถอะ”
พอเห็นเกิ่งเหลียง ก็เดินตามเข้ามาด้วย เสี่ยวเฉวียนจื่อจึงรีบพูดกับเกิ่งเหลียง “ลำบากรองผู้บัญชาการเกิ่งแล้ว จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วค่อยออกไปสิขอรับ”
เกิ่งเหลียงพยักหน้า พอดีกับที่เขาจะได้ไปถามพวกเพื่อนๆ ที่อยู่ในจวนว่าช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง
แต่กลับนึกไม่ถึงว่า ทั้งๆ ที่เป็นเวลาสับเปลี่ยนเวรของเหล่าโจว แต่เหล่าโจวกลับไม่อยู่
“ไปฟังเรื่องเล่าที่ร้านขนมข้างร้านหนังสือ เหล่าเกิ่ง พวกเขาเป็นบ้ากันหมดแล้ว ตอนเที่ยงก็ไม่อยู่กินข้าวในจวน หาเวลาสับเปลี่ยนเวร เอาแต่คิดถึงที่นั่น”
เรื่องเล่าเหรอ ดวงตาเกิ่งเหลียงเปล่งประกาย เริ่มเล่าแล้วจริงๆ “ฟังมานานแค่ไหนแล้ว”
“หลังจากเจ้าไปได้วันสองวันก็ไปฟังแล้ว”
เกิ่งเหลียงรีบถูสบู่ให้เกิดฟองแล้วเอามาป้ายที่คอ รีบร้อนอาบน้ำ “ไปนะ ไว้คุยกัน” เดินไปได้สองก้าวก็หันกลับมาถามอีก “เจ้าพักอยู่รึ”
“อือ”
“ไปด้วยกันไหม พวกเราสองคนตามไปทีหลังพอดี จะได้มีเพื่อน”
“ไปมาตั้งนานขนาดนี้เจ้าไม่กลับบ้านรึ”
“ฟังจบค่อยกลับ ไม่นานหรอก เจ้าบอกว่าเริ่มเล่าเวลานี้ทุกวันไม่ใช่เหรอ”
เกิ่งเหลียงลางานให้ตัวเองล่วงหน้าไว้เรียบร้อยแล้ว
“ท่านยาย”
“ไอ๊หยา รองผู้บัญชาการเกิ่ง รอมาตั้งนาน ทำไมเพิ่งกลับล่ะ รีบขึ้นไปข้างบนเร็ว”
ซุ่นจื่อเอง หลังจากที่กลับมาก็กลับบ้านไปนอนบนเตียงเตา นอนทีก็หลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืน
ส่วนลู่พั่นลำบากที่สุด
เยี่ยมเยียนปู่ย่ากับแม่เสร็จ พอได้ยินว่าท่านพ่อสามารถกลับมาบ้านได้ก่อนวันที่ยี่สิบแปดก็รู้สึกดีใจมาก ตามปู่ไปคุยที่ห้องหนังสือ
กว่าจะได้กลับเข้าเรือนตัวเองก็เป็นเวลาหลังจากนั้นหนึ่งชั่วยามกว่าแล้ว
บ้านตาส่งคนมาถามเขาว่า พรุ่งนี้ไปกินข้าวที่นู่นได้หรือไม่
ต่อมาก็ไปนั่งอยู่ในห้องหนังสือ สะสางงานของค่ายเสินจีที่กองไว้ หลังจากที่เขาไม่อยู่
จากนั้นเสี่ยวเฉวียนจื่อก็เอาบัตรเชิญยี่สิบกว่าเล่มมาให้ รวมถึงแจ้งข่าว
บัตรเชิญถูกโยนไว้ข้างหนึ่ง
ข่าวที่พวกพี่สาวฝากมาบอก ส่วนใหญ่สรุปใจความได้ว่า ‘น้องพี่ ไปนานขนาดนี้พี่คิดถึงจะแย่ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ไว้วันไหนจะกลับบ้านไปเยี่ยมเจ้านะ’
แต่กลับเป็นพี่สาวคนที่สามที่แตกต่าง นางให้ลู่พั่นไปเยี่ยมนางที่จวน คิดเสียว่าสงสารนาง ไปพรุ่งนี้เลยได้หรือเปล่า พรุ่งนี้พี่เขยของเขาจะกลับมาพอดี ให้เกียรติพี่เขยหน่อยจะได้ไหม
ลู่พั่นนึกถึงคำพูดของมารดา พี่สามท้องแล้ว
อาเจียน อายุก็ประมาณหนึ่งแล้วยังกลับจวนมาร้องไห้ตั้งหลายครั้ง หมดสภาพเลยจริงๆ
เขาเงียบไปสักพัก ให้ตอบกลับไปว่า จะไปบ่ายวันพรุ่งนี้ ตอนเที่ยงไปไม่ได้เพราะต้องไปบ้านท่านตา
จากนั้นลู่พั่นก็รีบร้อนไปที่ห้องอาหาร กินข้าวกับคนในครอบครัว
เขารู้ดีว่า ทุกครั้งที่มีเขากินเป็นเพื่อน ปู่กับย่าจะกินได้มากหน่อย
ตราบใดที่อยู่บ้าน เขาก็จะพยายามมาอยู่ด้วย
ขณะกินข้าว มารดาของลู่พั่นได้ถามขึ้น “หมินหรุ่ย ลูกรู้สึกหรือไม่ว่าบ้านเราคนน้อย ถึงได้กินข้าวอย่างไร้รสชาติ ลูกดูสิอาหารเต็มโต๊ะ แค่พวก…”
“ไม่รู้สึก” ลู่พั่นพูดตัดบททันที คีบกับข้าวเข้าปาก
ย่าของลู่พั่นหัวเราะออกมา
เพราะนางรู้ว่า ถ้าสะใภ้ของนางยังกล้าพูดมากกว่านี้ หลานชายของนางจะต้องตอบกลับมาแน่นอนว่า “ไร้รสชาติหรือว่ายังไม่หิว”
แต่ขณะที่หัวเราะอยู่ ทันใดนั้นย่าของลู่พั่นก็เม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง ถามตัวเองในใจ นี่เป็นเรื่องที่น่าหัวเราะรึ นางควรกลุ้มใจไม่ใช่หรืออย่างไร
ถ้านางยังหัวเราะอีก แล้วหลานชายคิดว่านางเข้าข้าง จะยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่ เขาก็จะยิ่งไม่รีบร้อนมีครอบครัว
เฮ้อ พูดตามตรงก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าหัวเราะอะไร ก็แค่เพราะหลานชายกลับมา นางมีความสุขจริงๆ
วันต่อมา ลู่พั่นออกจากบ้านตาไปยังจวนฉี
ทุกคนในจวนฉีต่างต้อนรับกันอย่างกระตือรือร้น
บางครั้งลู่พั่นรู้ดีแก่ใจว่าการที่เขามา ไม่ใช่แค่มาเยี่ยมพี่สาว แต่ก็เป็นการแสดงออกว่า พี่สาวของเขาตั้งท้องแล้ว ทุกคนห้ามทำให้นางน้อยใจ ต้องดูแลนางให้ดี ห้ามไม่ให้ความสำคัญกับนาง
ด้วยเหตุนี้ปกติลู่พั่นถึงไม่ค่อยอยากไปบ้านพี่สาว เพราะต่างก็เป็นครอบครัวใหญ่ทั้งนั้น มีคนทุกรูปแบบ
แต่ตราบใดที่ได้ยินว่าช่วงนี้พี่สาวคนไหนถูกรังแก หรือตั้งท้องอย่างพี่สาวคนที่สามนี้ ต่อให้เขาไม่อยากไปก็ต้องไปปรากฏตัวที่จวนนั้นอยู่ดี
ฉีตงหมิงเองก็เพิ่งกลับมา ยังคิดอยู่ว่าจะอาบน้ำก่อนค่อยไปที่จวนผู้สำเร็จราชการ นึกไม่ถึงว่าน้องชายของภรรยาจะชิงมาหาก่อนแล้ว
ในเมื่อน้องชายอุตส่าห์มาหา พวกเขาก็ต้องดื่มกันสักหน่อย
ตอนที่ลู่จือหว่านมือข้างหนึ่งจับสาวใช้ที่ช่วยประคอง มืออีกข้างจูงลูกชายที่เพิ่งเรียนหนังสือเสร็จออกไปหาพวกเขา สองคนนั้นก็ไม่อยู่แล้ว
กลับเป็นลูกชายนางที่ชี้ไปบนท้องฟ้า “ท่านแม่ ดูนั่น พลุ”
เวลานี้บนท้องฟ้ามีเส้นสีรุ้งปรากฏอย่างต่อเนื่อง
ลู่จือหว่านแอบมองบนอยู่ในใจ ก่อนสามีของนางเดินทางไกลก็เอาแต่คิดเรื่องนี้ คราวนี้ได้เรื่อง เพิ่งกลับจวนก็ลากน้องชายนางไป เจอหน้ากันยังคุยได้ไม่เท่าไรก็พากันไปจุดพลุตอนกลางวันแสกๆ แล้ว
ตอนที่ 385
หลังออกจากจวนฉี
ลู่พั่นที่อยู่ในรถม้าก็นั่งพิงผนังรถ นิ้วเรียวยาวเท้าศีรษะ ดูเหมือนกำลังพักสายตา ในความเป็นจริงสมองกำลังคิดว่าจะเอาพลุหลากสีไปใช้ที่ไหนได้บ้าง
พวกซ่งฝูเซิงเป็นคนทำ
จุดเมื่อตอนเปิดร้านขนม
ลู่พั่นลืมตาขึ้น ล้วงกระดาษที่ฉีตงหมิงให้เขาออกมาจากอกเสื้อ ในนี้เขียนคำอธิบายเกี่ยวกับส่วนประกอบไว้
กางกระดาษออก สิ่งที่เข้ามาในสายตาคือลายมือที่คุ้นเคย
เขาเคยเห็นมาก่อน
เขายังเคยเข้าใจผิดว่าเป็นลายมือของบุตรสาวซ่งฝูเซิง
พอเห็นรายการส่วนประกอบที่แสนจะธรรมดา ลู่พั่นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เกิดความรู้สึกแบบที่ว่า ‘ง่ายขนาดนี้ ทำไมไม่เคยมีใครทำออกมา มันพลาดตรงไหนกันแน่’
รถม้าจอดนิ่งสนิท ถึงแล้ว
ม่านถูกแหวกออก
“คุณชายขอรับ”
ใบหน้าของซุ่นจื่อปรากฏอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ครึ่งเดือนลู่พั่นเห็นใบหน้านี้ทุกวัน
“เจ้ามาได้อย่างไร”
ใบหน้าของซุ่นจื่อเต็มไปด้วยรอยยิ้ม คุณชายเป็นห่วงเขาอีกแล้ว อยากให้เขาพักผ่อนให้เต็มอิ่ม ยิ่งน้ำเสียงไม่ดีก็ยิ่งแสดงว่าเป็นห่วงเขามาก
“เรียนคุณชาย ข้าพักผ่อนพอแล้ว ท่านพ่อของรองผู้บัญชาการเกิ่งส่งคนมาหาข้าพอดี ในเมื่อตื่นแล้วข้าก็เลยมา”
“พ่อของเขามาทำไม”
“รองผู้บัญชาการเกิ่งไม่ได้กลับบ้าน เจ้าสามหน่อเรือนข้างๆ กลับมากันแล้ว พ่อแม่ของเขาร้อนใจมาก คิดว่ารองผู้บัญชาการเกิ่งจะเป็นเหมือนปีที่แล้วที่ได้รับบาดเจ็บหลบไปรักษาตัว จึงรีบมาสืบข่าวจากข้าขอรับ”
ซุ่นจื่อนำทางอยู่ข้างหน้า เตือนให้ระวังคานประตู
อันที่จริงลู่พั่นเดินตั้งแต่เด็ก ที่นี่เป็นบ้านของเขา จำเป็นต้องให้คนเตือนที่ไหนกัน แต่บ่าวรับใช้ของที่นี่ก็ปรนนิบัติกันจนชินแล้ว
ซุ่นจื่อเดินนำทางพลางพูดไม่หยุด “คุณชาย คุณชายลองเดาดูว่าข้าไปเจอตัวรองผู้บัญชาการเกิ่งที่ไหน”
ถามจบก็ไม่รอให้ลู่พั่นตอบ ซุ่นจื่อก็ชิงตีปากตัวเองก่อน ช่วงนี้ปากของเขาช่างหาเรื่องเสียจริง ถึงขั้นกล้าให้คุณชายเล่นทายคำถามกับเขา
“ร้านขนม ร้านขนมแห่งความสุขของย่าหม่า คุณชายลองเดาดูว่าที่นั่น ไม่สิ คุณชาย โอ๊ย วันนี้ปากข้ามันเป็นยังไงกันน้อ”
ลู่พั่นเม้มริมฝีปาก ดูท่ายังไม่ตื่นดี “พูด”
“เขากำลังนั่งจดเรื่องเล่าอย่างขมีขมัน ที่นั่นมีนักเล่าเรื่อง เขาไม่ยอมให้ผู้บัญชาการเกิ่งเอาบทไป ดูเหมือนที่นั่นจะครึกครื้นมาก พอข้าไปท่านย่าของแม่นางฝูหลิงก็เอาของกินมาให้ยกใหญ่ ข้าได้กินซาลาเปาฮั่นที่นั่นด้วย”
ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า
เสี่ยวเฉวียนจื่อได้ยินอาจารย์ของเขาพูด “คุณชาย ลองเดาดูว่าซาลาเปาฮั่นคืออะไร ซาลาเปาฮั่นก็คือ…”
จากนั้นอาจารย์ของเขาก็รีบไสหัวออกมา พูดพึมพำด้วยสีหน้ากลุ้มใจ “คุณชายให้เจ้าเข้าไปแทน”
คืนนี้ภายในเรือนของลู่พั่น พ่อบ้านสองคนพาพวกหญิงรับใช้สูงวัยรีบร้อนเดินไปยังเรือนหลัง
หญิงรับใช้สูงวัยถือหม้อกันคนละใบ
กลางดึก
“ตูม”
ใบหน้าลู่พั่นเลอะสี ร่างกายก็เลอะเทอะ ม้วนผมเป็นมวยไว้ด้านบน วิ่งออกมาจาก ‘ห้องทดลอง’ ที่ทำขึ้นมาใหม่
มารดาของลู่พั่นนั่งตัวตรงเอามือจับตรงหัวใจ
สาวใช้ก็ประคองย่าของลู่พั่น อาศัยแสงเทียนสลัวมองเห็นท่านผู้สำเร็จราชการกำลังถูกปรนนิบัติให้ดื่มน้ำ
วันที่สามหลังจากลู่พั่นกลับมา
ขณะที่เขากำลังสะสางงานกองพะเนินอยู่ในค่ายเสินจีก็เห็นเหมาจวิ้นอี้ พลาธิการของค่าย
ถ้าซ่งฝูเซิงอยู่ จะต้องจำได้ตั้งแต่แวบแรก นี่มันนายท่านที่สั่งอาหารมาเยอะแยะที่ย่านร้านอาหาร สำลักความเผ็ดไอจนปอดแทบจะหลุดออกมา สวมรองเท้าทหารวิ่งเหยาะๆ หนีไปคนนั้นไม่ใช่เหรอ
เหมาจวิ้นอี้รายงานต่อลู่พั่น “หลังปีใหม่จะส่งคนเรียกพวกเขามาลงนาม”
ลู่พั่นพยักหน้า ส่ายมือเพื่อให้เหมาจวิ้นอี้ออกไป
เสี่ยวเฉวียนจื่ออาศัยจังหวะที่ลู่พั่นดื่มน้ำชารีบพูดขึ้น “คุณชายขอรับ คุณชายเซี่ยกับคุณชายหลินรออยู่ที่ด้านนอก อยากนัดคุณชายกินข้าวกลางวันด้วยกันขอรับ”
“กี่ยามแล้ว”
“เรียนคุณชาย เที่ยงแล้วขอรับ”
ลู่พั่นยืนขึ้น สองคนนั้นรู้ว่าส่งถ้าหนังสือเชิญเขาคงไม่มีทางไป ก็เลยมาดักรอที่หน่วยงาน
โรงเตี๊ยมอีผิ่นเซวียน
ชั่วขณะที่เจ้านายเฉินเห็นลู่พั่น ดวงตาก็เปล่งประกาย เอ๊ะ คุณชายท่านนี้ไม่มานานแล้ว ช่วงนี้เห็นแต่คุณชายหลินกับคุณชายเซี่ย
รีบนำทางไปที่ห้องแรก
ในใจก็คิดไม่หยุด ก็ไม่รู้ว่าคุณชายลู่รู้หรือเปล่าว่าเขาสนิทกับซ่งฝูเซิง
รู้หรือเปล่าว่าเขากับซ่งฝูเซิงเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน
ภายในห้องส่วนตัว หลินโส่วหยางดื่มน้ำชาหนึ่งคำ กินต้มปลาหนึ่งคำ ดื่มน้ำชาหนึ่งคำ คีบเนื้อเข้าปากหนึ่งคำ เผ็ดจนไม่ไหวแต่ก็ไม่ยอมวางตะเกียบ
รู้สึกกินแล้วติด ยิ่งกินยิ่งอยาก
เซี่ยเหวินอวี่บุตรชายสายตรงของท่านโหวเซี่ยท่าทางผิดปกติยิ่งกว่า ยกชามขึ้น กินไก่เผ็ดพร้อมข้าวชามใหญ่ วางชามลง กินขาหมูผัดเผ็ด ทั้งยังโยนถั่วลิสงเข้าปากอยู่เรื่อยๆ
“หมินหรุ่ย เจ้ากินสิ นี่เป็นอาหารชนิดใหม่ ข้าจะบอกให้นะ…” เซี่ยเหวินอวี่แนะนำยกใหญ่ กลัวว่าลู่พั่นที่เพิ่งกลับเข้าเมืองจะไม่รู้ว่าช่วงนี้อาหารยอดนิยมคืออะไร
ลู่พั่นคิดในใจ ถึงข้าจะไม่รู้ชื่ออาหารพวกนี้แต่ข้ารู้ว่าพริกที่พวกเจ้ากินกันอยู่ใครเป็นคนขาย
นับตั้งแต่เทศกาลตงจื้อมาจนถึงตอนนี้ เพิ่งผ่านมาเพียงเดือนครึ่ง พริกก็ได้เข้ามาสู่โรงเตี๊ยมในเมือง กลายเป็นของโปรดของหลินโส่วหยางกับเซี่ยเหวินอวี่จอมตะกละ ต้องพูดเลยว่าพวกซ่งฝูเซิงก้าวหน้าขึ้นเร็วมาก
คนบางคนก็แบบนี้ ต่อให้ไม่มีคนช่วยเหลือ ตัวเองก็ย่อมพัฒนาขึ้นมาได้ในไม่ช้าก็เร็ว
ไม่ว่าจะโยนเรื่องที่ยากขนาดไหนให้คนแบบนี้จัดการ เขาก็จะพยายามทำให้ดี ไม่มีทางบ่น ไม่มีทางเอ่ยถึงความยากกับคนอื่นก่อน แต่จะไปคิดหาทางทำให้สำเร็จ
ก็เหมือนกับคราวก่อนที่เกิ่งเหลียงถามซุ่นจื่อก่อนที่จะไปล่าหมาป่า เขาได้ยิน
ร้อยกว่าคนไปที่นั่น ถ้ามีห้องพักไม่กี่ห้อง แถมยังบอกล่วงหน้าแค่วันเดียว ไม่เอาอะไรไปเลย ทางนั้นจะจัดการอย่างไร
เขาแสร้งเดินผ่านทำเป็นไม่ได้ยิน ตอนนั้นกลับคิดในใจ ถ้าเรื่องแค่นี้ซ่งฝูเซิงจัดการไม่ได้ เขาก็ไม่ใช่ซ่งฝูเซิงแล้ว
ดังนั้นพอกลับมา เกิ่งเหลียงรายงานกับเขาว่า กินดี อีกทั้งชาวบ้านยังให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ห้องที่พักก็มีแขวนป้ายคำว่า ทหารราษฎรรวมใจเป็นหนึ่ง ได้รับดอกไม้แดงจากพวกเด็กๆ เวลาแค่วันเดียวเตรียมการได้มากขนาดนั้น เขาไม่แปลกใจเลยสักนิด
ลู่พั่นชอบกินบะหมี่เปรี้ยวเผ็ดมาก ตะเกียบพุ้ยลงไปทีก็กินไปเกือบครึ่งชาม ทั้งยังเหลือบมองเสี่ยวเฉวียนจื่อ
เสี่ยวเฉวียนจื่อเตรียมออกไปสั่งอีกชาม หลินโส่วหยางส่ายมือพลางพูด “เปลี่ยนอย่างอื่นบ้าง หมินหรุ่ย เปลี่ยนอย่างอื่น”
เสี่ยวเฉวียนจื่อออกไปแล้ว
เหอะ แค่ดูสีหน้าก็รู้แล้ว ในใจของคุณชายบ้านเขาจะต้องคิดแน่นอนว่า ไม่เปลี่ยน
ตอนที่เสี่ยวเฉวียนจื่อกลับเข้ามาอีกครั้งก็ได้ยินคุณชายเซี่ยพูดคุยอย่างออกอรรถรสพร้อมประกอบท่าทางคล้ายคนเมาแล้ว
เซี่ยเหวินอวี่กำลังเล่าเรื่องที่ไปฟังเรื่องเล่ามา เขาเสียดายมาก เขาไม่ใช่กลุ่มแรกที่ไปฟัง ตอนนี้อยู่ในประเภทที่ไปฟังรอบเสริมที่โรงน้ำชา
ช่วงหลายวันมานี้เขากับเพื่อนสนิทสี่ห้าคน จะไปฟังเรื่องราวก่อนหน้าที่ห้องส่วนตัวในโรงน้ำชาก่อน จากนั้นถึงไปฟังตอนใหม่ที่ชั้นสองของร้านขนม
พูดตามตรง ฟังแบบนี้บางครั้งก็ฟังไม่เข้าใจ โดยเฉพาะอาวุธ หลังๆ มีเสียงประกอบ ตูๆๆ ปุ้ง บูม ปิ้ว คนที่ฟังอย่างต่อเนื่องมาตลอด แค่ฟังเสียงก็รู้ว่าอาวุธชนิดไหนออกโรง แต่เขาไม่รู้
แต่ก็ยังคงไปที่ร้านขนม สั่งของกินเล่นมาหลายอย่าง เช่น ไก่เส้นทอด ถั่วลิสง หรือแป้งผีผี ขนมเค้กสองสามชิ้น บางครั้งสั่งเหล้าข้าว บางครั้งสั่งน้ำชาธรรมดา นั่งฟังกับเพื่อนๆ เอาบรรยากาศ
เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวเฉวียนจื่อเห็นสีหน้าของคุณชายเต็มไปด้วยความสนใจ
สีหน้าแบบนี้ เมื่อก่อนมีน้อยมาก
อีกทั้งเขาได้ยินอยู่ๆ คุณชายก็ถามขึ้นว่า มีหนังสือไหม
คุณชายเซี่ย “ไม่ใช่หนังสือ มันเป็นเรื่องเล่า”
“แล้วเรื่องเล่าเขียนไว้ในไหน”
คุณชายเซี่ยยิ้มตอบ “ได้ยินว่าครอบครัวที่ร่วมเปิดร้านขนมกับพี่สามเป็นคนเขียนนะ ยายที่เป็นคนคิดเงินร้ายกาจสุดๆ ข้าให้ราคาสูงมากนางก็ไม่ยอมขาย ข้าบอกขอยืมอ่านหน่อย นางก็บอกว่าไม่มี ข้าจะทำอะไรนางก็ไม่ได้ เรื่องก่อนหน้านี้เอง ตอนนั้นข้าถูกพวกโส่วหยางหัวเราะเยาะ อายจะตาย”
———————-
[1] ซุ่นจื่อ แปลว่าราบรื่น