ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 388
คนที่มาฟังเรื่องเล่าหลายคนล้วนถามกันอยู่สองคำถาม
หนึ่ง ใครเป็นคนเขียนตำนานเทพเรื่องนี้
สอง ใครเป็นคนทำแบบจำลอง
คนในร้านตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ลูกชายคนที่สามของข้า อาสามของข้า อาสามของหลานข้า
ต่อให้เป็นเกิ่งเหลียงถามว่าใครทำแบบจำลองบนรถเข็นนั่น
คนในร้านก็ตอบเขาแบบเดียวกันว่าซ่งฝูเซิง
แต่ถ้าเป็นซุ่นจื่อถามสองคำถามนี้ คนในร้านก็จะไม่ปิดบังแล้ว
ซุ่นจื่อเป็นใคร เขาเป็นตัวแทนของแม่ทัพเล็ก
แม่ทัพเล็กเป็นใคร เป็นคนที่ใกล้ชิดกับพวกเขามาก เป็นคนที่ทุกคนรู้สึกว่าสามารถแบ่งปันพริก ขนมเค้ก และสามารถบอกเกี่ยวกับเรื่องเล่าได้
ไม่ต้องปิดบัง
ต่อให้นิยายเรื่องนี้เขียนโดยเด็กสาว อาจโดนดูถูก แต่ทุกคนแน่ใจว่า แม่ทัพเล็กไม่มีทางดูถูก
ดังนั้นวันนี้ซุ่นจื่อถึงได้เดินเตร็ดเตร่มาเที่ยวชม วันพักผ่อนใช่ไหมล่ะ เลยออกมาเที่ยวหน่อย
เขาไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนนอก ซุ่นจื่อช่วยท่านย่าหม่าเก็บเงินอยู่ที่ชั้นสอง ช่วยเก็บจานต่างๆ รู้ว่าใกล้ปีใหม่แล้วท่านย่าหม่ายังไม่ได้ซื้อข้าวของ เขาก็บอกว่า “ออกไปซื้อเถอะ ข้าจะดูร้านให้ ไม่มีทางเกิดเรื่อง”
ทุกคนไม่มองเขาเป็นคนนอกยิ่งกว่า เป็นกันเองสุดๆ
ก่อนช่วงพักกลางวันให้ซุ่นจื่อกินข้าวกับพวกเขา กลัวว่าพอยุ่งขึ้นมาก็จะไม่มีแม้แต่เวลาหาอะไรรองท้อง ทำน้ำแกงเผ็ดให้ซุ่นจื่อ เติมข้าวให้เขาสองรอบ
ซุ่นจื่อจึงรู้มากกว่าคนอื่น ถามอะไรทุกคนก็ตอบไปตามความจริง ขาดก็แค่บอกว่าในบ้านมีเงินเก็บเท่าไรแล้ว
ต่อมาตอนนี้ลู่พั่นอยากรู้ขึ้นมาแล้ว เขาจึงได้ทราบว่าซ่งฝูหลิงเป็นคนแต่งเรื่องเล่าเรื่องนี้ และเป็นคนทำแบบจำลอง
ยังรู้อีกว่าทำไมซ่งฝูหลิงต้องทำแบบจำลอง
คำตอบจะว่าอย่างไรดีล่ะ ลู่พั่นฟังจบก็เกิดความรู้สึกที่แปลกประหลาด
ตอนแรกก็เพื่อไม่ให้ชั้นสองว่างเปล่า ถึงได้เริ่มแต่งเรื่องเล่าจากจินตนาการเรื่องนี้
เขียนไปก็เริ่มติดลม จะต้องเขียนให้ดี พอภาษาเป็นอุปสรรค อธิบายไม่เข้าใจ ก็เลยต้องทำแบบจำลอง เล่าไม่ดี งั้นก็ประกอบท่าทาง ถึงได้เกิดเป็นโต๊ะแบบจำลองขนาดใหญ่นี้
ได้ยินว่าโต๊ะแบบจำลองนี้ไม่ได้ทำกำไรแม้แต่น้อย เป็นเพียงของประกอบฉากที่วางให้ทุกคนได้ดู แต่กลับใช้เงินทำไม่น้อยเลยทีเดียว
ซุ่นจื่อมัวแต่พูดพล่ามเรื่องเงินเรื่องทอง แต่ลู่พั่นกลับไม่ได้รู้สึกอะไร
แต่พอเขาได้ยินว่า ใช้เวลากว่าครึ่งเดือนถึงจะทำเสร็จ อีกทั้งยังได้พวกเด็กๆ หลายสิบคนที่ฉลาดแบบหมี่โซ่วเป็นผู้ช่วย
ว่างเมื่อไรก็ทำ ทำกันทุกวัน เสียเวลามากทีเดียว
เขาก็เกิดความความรู้สึกที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก
ลู่พั่นอธิบายไม่ถูก เสี่ยวเฉวียนจื่อที่อยู่ข้างๆ พอฟังอาจารย์พูดจบก็คิดในใจ
นี่มันเหมือนกับคุณชายของเราเลยมิใช่รึ มีความดันทุรังสูง
ดูเอาแล้วกัน เมื่อครู่คุณชายยังพูดกับคนในร้านอยู่เลยว่า ‘ตามสบาย นั่งสักพักเดี๋ยวก็ไปแล้ว’
ปรากฏว่าคนอื่นไปกันหมดแล้ว คุณชายของเขากลับยังอยู่
จับๆ แบบจำลองนั้นดู แทบอยากจะแงะออกมาดูให้หมดว่าทำอย่างไร
คาดว่าคงกำลังรอเจ้าของร้านกลับมาเพื่อเอาเล่มเนื้อเรื่องสินะ
ซุ่นจื่อก็กำลังถามเป่าจูอยู่ที่ชั้นล่าง “ทำไมท่านย่าหม่ายังไม่กลับมาอีก นี่ไปซื้อของมากขนาดไหนกัน”
เป่าจู ท่านเป็นคนบอกให้ท่านย่าออกไปซื้อของอย่างสบายใจมิใช่เหรอ
ถัดจากร้านขนมไปสองช่วงถนน
เห็นเพียงท่านย่าหม่ากับท่านยายเถียนสองคน บนบ่าสะพายห่อผ้าขนาดใหญ่ สองมือก็หิ้วห่อผ้าพะรุงพะรัง
สิ่งที่อยู่ในห่อผ้าข้างหนึ่งคือดอกฝ้าย ดอกฝ้ายของใหม่ อัดแน่นเต็มห่อ
หากใช้คำพูดของท่านยายเถียนก็คือ “เป็นครั้งแรกที่ข้าซื้อดอกฝ้าย ต้องเอามือกดๆ กดให้แน่นกลัวจะยัดไม่ลง”
ส่วนห่อผ้าในมืออีกข้างหนึ่งเป็นผ้าเนื้อหยาบที่โละขายท้ายปี
ถูกอย่าบอกใคร เจ้าของร้านบอกว่าถ้าซื้อเยอะยังลดให้ได้อีกห้าเหวิน
ตอนนั้นท่านย่าหม่าสะบัดมือ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ลดให้อีกสิบเหวิน ข้าเหมาทั้งหมดที่เหลือนี่เลย”
จะซื้อผ้าพวกนี้ไปทำอะไร สองยายได้วางแผนไว้หมดแล้ว
ในครอบครัวมีเด็กผู้ชายเยอะ ในฤดุหนาวเอาดอกฝ้ายใส่ในผ้าเนื้อหยาบพวกนี้ พอเข้าฤดูใบไม้ผลิก็เอาผ้าพวกนี้มาเย็บเป็นถุงมือไว้ใส่ทำงาน
ไม่อย่างนั้น พวกเด็กผู้ชายในบ้านต้องขนไม้ ขนหิน เข็นรถ ทำงานต่างๆ เข้าฤดูใบไม้ผลิก็ต้องสร้างบ้าน ประเดี๋ยวมือถลอกหมด โดยเฉพาะฝูสี่ มือมีแต่แผลเต็มไปหมด
ส่วนของที่สะพายอยู่บนหลัง นั่นต่างหากที่แพงอย่างแท้จริง
สองยายพอซื้อของเสร็จก็คุยกัน “แค่ซื้อของครู่เดียว รวมๆ กันเกือบเท่าเงินที่ใช้ในสิบปียี่สิบปีที่ผ่านมาเลยนะ”
คำพูดนี้เป็นข้อสรุปได้ดี ไม่ได้เกินจริงแม้แต่น้อย
ในห่อผ้าที่อยู่บนหลังท่านยายเถียนเป็นผ้าที่ไปแย่งซื้อมาได้ ผืนใหญ่หลายผืน
ผืนสีเทาเข้มทั้งผืนเอาไว้ให้เถียนสี่ฟาลูกชายของนาง ของลูกสะใภ้นางเป็นสีเทาขาว ของหูจื่อหลานชายคนโตเป็นสีน้ำเงินเข้ม ส่วนผ้าที่แย่งมาให้เถาฮวาหลานสาว เป็นผ้าทำกระโปรงที่ยาวถึงเท้า
ท่านยายเถียนซื้อผ้าสีเขียวอ่อนผืนใหญ่ให้หลานสาว ไม่ได้ซื้อเสื้อให้
ในห่อเสื้อผ้าหลายห่อที่ซุ่นจื่อให้คราวก่อน มีเสื้อผ้าต่วนของสาวใช้ ไว้คลุมทับเสื้อกันหนาวอีกที ติดกระดุมแนวเฉียง สีชมพูรากบัว ดูดีพอสมควร เถาฮวาได้ไปหนึ่งตัว เก็บไว้ไม่กล้าใส่มาตลอด จะได้เอาไว้ใส่ตอนปีใหม่พอดี
เรื่องที่ท่านยายเถียนดีใจก็คือ กระโปรงจับจีบของเด็กผู้หญิงที่ยาวถึงเท้าดูสวยงามมาก แต่เมื่อก่อนครอบครัวของนางลำบาก ยังจะมาจับจีบอะไรกันล่ะ แบบนั้นไม่เปลืองผ้าแย่เหรอ คราวนี้ก็พอดี ในที่สุดนางก็จะทำกระโปรงแบบนั้นให้หลานสาวได้แล้ว มันต้องสวยแน่ๆ
จากนั้นก็ซื้อผ้าให้ตัวเองสองผืน ผืนหนึ่งทำเสื้อตัวใน อีกผืนหนึ่งสีน้ำตาล ไว้ทำเสื้อตัวนอก
เดิมทีนางไม่อยากซื้อให้ตัวเอง คิดว่าตัวเองอายุมากแล้ว หน้าตาก็เหี่ยวย่นแก่ชรา ใส่อะไรก็เหมือนกัน จนกระทั่งท่านย่าหม่าพูดขึ้นว่า
“เจ้าไม่ซื้อให้ตัวเอง เพราะอยากเอาผ้าของลูกสาวคนโตข้ารึ”
“เป็นแบบนั้นที่ไหนกัน ข้าตั้งใจซื้อให้อิ๋นเฟิ่งอยู่แล้ว”
“ข้าดูแล้วมันใช่ เจ้าที่เป็นผู้ใหญ่ไม่ใส่ชุดใหม่ นางไม่ต้องเก็บผ้าเอาไว้ทำชุดให้เจ้าหรอกรึ ตกลงเจ้าอยากให้ลูกสาวคนโตของข้าใส่ชุดใหม่หรือเปล่า”
“เอาล่ะๆ ข้าซื้อก็ได้”
“อย่างนี้สิถูกต้อง อย่าทำเรื่องอะไรที่ทำให้ลูกๆ ต้องลำบากใจ เจ้าเจตนาดี อยากประหยัดเงินซื้อของเข้าบ้าน แต่ก็ต้องคิดดูให้ดีว่าเจ้าทำแบบนี้ พวกลูกๆ จะกล้าใส่ชุดใหม่ได้อย่างไร ใช่ว่าเงินในกระเป๋าจะไม่มี ดูสิ ข้าไม่เหมือนเจ้าหรอกนะ”
ในห่อผ้าขนาดใหญ่ที่อยู่บนหลังท่านย่าหม่า ซื้อผ้ากึ่งใหม่ให้ตัวเองยกชุด ผืนหนึ่งเอาไว้ทำชุดตัวยาว ยังมีอีกสองผืน ผืนหนึ่งสีเข้มไว้ทำกางเกง เวลานั่งเกวียนไป-กลับ จะขึ้นจะลงก็สะดวก ส่วนอีกผืนเอาไว้ทำกระโปรง
นางคิดไว้เรียบร้อยแล้ว จะไม่ใส่ขึ้นปีใหม่ พอทำเสร็จขึ้นปีใหม่วันที่สองนางจะเอามาด้วย เอามาใส่ในเมือง
พอมาถึงร้านนางก็จะเปลี่ยนไปใส่กระโปรง ใส่ผ้าโพกผมสีชมพู ดูนะ แบบนั้นจะยิ่งน่ามองขึ้นมาหน่อย
เลือกซื้อแต่สีที่นางคิดว่าหายาก กระโปรงเป็นผ้าสีเหลืองอ่อน
ส่วนผ้าที่ซื้อให้ลูกหลานมีเยอะกว่ามาก
ลูกชายสามคนซื้อให้คนละผืน หนาพอสมควร จะได้ทนทานเวลาทำงาน
นางชอบให้ลูกชายทั้งสามแต่งตัวเหมือนกัน พอมายืนตรงหน้านาง ไอ๊หยา นางช่างเก่งเสียจริง เลี้ยงมาด้วยตัวเองคนเดียว เลี้ยงเจ้าลูกสามคนให้โตมาตัวสูงได้ขนาดนี้ แม้แต่คนขายผ้ายังบอกว่าลูกชายของนางตัวสูง
ของพวกหลานๆ นางซื้อผ้าสำหรับทำเสื้อผ้าตัวนอกให้ต้าหลังกับเอ้อร์หลังคนละสองผืน
เพราะหลานชายสองคนตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ต้องคอยต่อขากางเกง เย็บต่อครั้งแล้วครั้งเล่า พอต่อไปเรื่อยๆ ก็น่าเกลียด
ถ้าไม่ได้เสื้อผ้าที่ซุ่นจื่อให้มา ฝูกุ้ยแบ่งให้ต้าหลังหนึ่งชุด เข้าเมืองมาช่วยงานครั้งนี้คงมีสภาพดูไม่ได้
โดยเฉพาะช่วงนี้กินดีอิ่มหนำสำราญ ท่านย่าหม่าจึงถือโอกาสทำเสื้อผ้าให้ต้าหลังกับเอ้อร์หลังคนละสองชุด
ไม่ได้ซื้อให้จินเป่า จินเป่ายังไม่โต ยังไม่รู้ว่าอะไรสวย อะไรน่าเกลียด ใส่เสื้อผ้าไม่สวยก็ไม่มีใครหัวเราะเยาะ
เสื้อผ้าใส่ขึ้นปีใหม่ เอาเสื้อผ้าเก่าของผู้ใหญ่มาตัดก็กลายเป็นชุดใหม่ได้ แต่นางได้ผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดผืนใหญ่มาหนึ่งผืน ท่านย่าหม่าคิดไว้ว่าเดี๋ยวจะแบ่งให้จูซื่อเอาไปตัดเป็นเสื้อตัวในให้จินเป่า ถึงแม้เสื้อตัวในจะไม่ได้ปรากฏแก่สายตา แต่เด็กก็ถึงขั้นแก้ผ้าก้นโผล่แล้ว ทำให้ทั้งชุดเลยแล้วกัน ผ้าฝ้ายเนื้อละเอียด เด็กๆ ใส่สบาย
พูดถึงผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดผืนนี้ ท่านย่าหม่าก็เตรียมแบ่งให้หมี่โซ่วสองผืน ซึ่งก็จะให้เอาไปทำเสื้อผ้าตัวในเหมือนกัน
ในสายตาของท่านย่าหม่า หมี่โซ่วน่าสงสารกว่าจินเป่า
ไม่ต้องสนว่าจินเป่าก้นโผล่หรือไม่ แต่พอฟ้ามืด ร่างกายก็ยังมีผ้าห่อหุ้ม
คราวก่อนที่รองผู้บัญชาการเกิ่งมาที่พวกเขา นางไปนอนที่บ้านลูกชายคนที่สามหลายคืนใช่ไหมล่ะ
นางพบว่าหมี่โซ่วมีแค่ผ้าที่ห่อก้นไว้แค่นั้น แถมยังเป็นทรงสามเหลี่ยม นอนตัวเปลือย ต่อให้ในบ้านมีเตียงเตาจะอุ่นมากสักแค่ไหน แต่ลมจะไม่ลอดเข้ามาทางช่องหน้าต่างเลยเหรอ เวลาลงไปฉี่ เกิดไม่สบายขึ้นมาจะทำยังไง
หมี่โซ่ว ท่านย่า ชุดนอนลายดอกของข้าถูกพี่สาวเก็บไปแล้ว
ซ่งฝูหลิง รองผู้บัญชาการเกิ่งมา แถมในบ้านมีคนมานอนเพิ่มตั้งหลายคน จะไม่ให้เก็บเสื้อยืดได้เหรอ ให้หมี่โซ่วใส่ไม่ได้ จำต้องนอนแก้ผ้าไปก่อนไม่กี่วัน
เช่นนี้ท่านย่าหม่าก็เลยเข้าใจผิด จึงซื้อผ้าเนื้อละเอียดมาเยอะหน่อย จะเอาให้หมี่โซ่ว
นอกจากนี้ท่านย่าหม่าก็เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ซื้อผ้าทำกระโปรงให้ต้ายากับเอ้อร์ยาด้วย เป็นแบบเดียวกับที่ท่านยายเถียนซื้อให้เถาฮวา
ส่วนของพั่งยา หลานสาวผู้เป็นแก้วตาดวงใจของนาง ตอนนั้นที่อยู่ในร้านขายผ้า นางยอมกัดฟันซื้อผ้าต่วนสีชมพูมาผืนหนึ่ง
เป็นผ้าสีชมพูอ่อน ตัวผ้ามีดอกไม้เล็กๆ แต่งแต้ม ตอนนั้นท่านย่าหม่าถูกใจตั้งแต่แวบแรกที่เห็น สมองเต็มไปด้วยใบหน้าที่ขาวสะอาดเกินใครของหลานสาวคนเล็ก คิดในใจว่าหลานสาวของนางใส่จะต้องสวยมากแน่นอน ก็แค่ราคาไม่ประทับใจ
รู้หรือเปล่าว่าเท่าไหร่ ขนาดคนรู้จักกันลดแล้วนะ ยังตั้งหนึ่งตำลึง สี่เงิน พ่วงด้วยอีกห้าสิบแปดทองแดง ผืนแค่นั้น ราคาตั้งเกือบหนึ่งตำลึงครึ่ง
นางเดินออกมาจากร้านขายผ้าแล้ว แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ให้ท่านยายเถียนรอก่อน แบกห่อผ้าขนาดใหญ่เดินกลับไปให้เถ้าแก่ตัดผ้าให้
เถ้าแก่เนี้ยรู้จักพูด “ท่านยาย หาเงินได้ตั้งมากขนาดนั้น ร้านขนมของท่านมีแขกไปมากมายตลอดทั้งปี ข้าว่าท่านควรใส่ผ้าต่วน ใส่ผ้าปักดิ้นทองที่ข้าขายอยู่นี่”
ย่าหม่าโบกมือ “พอเถอะ เอาแค่มือของข้า สากอย่างกับกิ่งไม้ เดี๋ยวได้เกี่ยวดิ้นทองหลุดมาหมด”
ซื้อกันพอประมาณแล้ว เดิมทีสองยายควรกลับร้าน แต่กลับหยุดยืนอยู่ตรงหัวถนน
เงยหน้ามองป้าย ‘เซี่ยฟู่ชุน’ อ่านไม่ออก แต่เคยได้ยินพวกลูกค้าพูดถึง เครื่องประทินผิวของที่นี่ใช้ดีทีเดียว
“ไป”
ท่านยายเถียนมองขวดเล็กขวดน้อยสารพัดสี ฟังคนแนะนำ ที่นี่เต็มไปด้วยเครื่องประทินผิวสำหรับผู้หญิง “ไอ๊หยา แม่เจ้าเอ๊ย เข้ามาร้านนี้ทำไม”
ท่านย่าหม่าไม่สนใจนาง กำลังตั้งหน้าตั้งตาฟังสาวใช้ที่ขายสินค้าแนะนำให้สตรีที่อยู่ข้างกายฟัง บอกว่าขวดเล็กๆ สวยๆ ที่อยู่ในมือคือ ยาไป๋จื่อ เปิดปิดขวดให้ดู พอเปิดออกก็เอาให้ดม สตรีคนนั้นบอกว่าใช้ได้ อีกทั้งดูเหมือนว่าจะช่วยลดเลือนริ้วรอยด้วย
อันที่ลดริ้วรอยราคาแพงเกินไป สองร้อยแปดสิบเหวิน ราคาเกือบสามเงิน ในที่สุดก็ได้ยินสองคนนั้นคุยเรื่องราคาแล้ว ท่านย่าหม่าถึงกับเบือนหน้าหนี
ขอเปลือกหอยแปดชิ้นให้นางแล้วกัน
มันคือน้ำมันทาหน้าที่ใส่ไว้ในเปลือกหอย ข้างในทำมาจากน้ำมันหมู ชาวบ้านนิยมเรียกมันว่าน้ำมันกันลม บางครอบครัวพอมีฐานะหน่อยไม่เอามาทาหน้า แต่ซื้อไปทาเท้า ทาส้นเท้า
เอาล่ะ แค่นี้ก็ไม่แย่นะ เมื่อก่อนแม้แต่เปลือกหอยก็ยังซื้อไปทาไม่ไหว
ท่านยายเถียนแค่ดูก็รู้ ได้ยินว่าจะเอาไปให้พวกยายๆ อย่างพวกนาง นางจึงรีบห้าม “ซื้อทำไม อย่าเสียเงินเลย ถ้าเจ้าจะซื้อให้ได้ เช่นนั้นข้าจะออกเงินเอง”
ท่านย่าหม่าทำเสียงจึ๊ใส่นาง ก่อนออกมาก็บอกไว้แล้ว ออกมาใช้จ่ายก็อย่ามาห้ามกัน
ในเวลาเดียวกัน ลู่พั่นได้ย้ายลงมาอยู่ชั้นล่างแล้ว เป็นครั้งแรกที่เขารอคนคนหนึ่งเกินเวลาหนึ่งเค่อ อีกทั้งคนที่รอยังเป็นผู้หญิง แถมเป็นหญิงชราอีกด้วย
“ไอ๊หยา คุณชายลู่ มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ดูสิ ข้าเพิ่งจะกลับมา”
จากนั้นท่านย่าหม่าก็เข้าไปในเคาน์เตอร์หยิบสมุด ‘บทประพันธ์ต้นฉบับ’ หลายเล่มที่หลานสาวคนเล็กของนางเขียนด้วยตัวเองออกมาจากในตู้แล้วยื่นให้ลู่พั่น
ถึงแม้ว่าที่นักเล่าเรื่องก็มีอยู่หนึ่งชุด แต่นั่นเป็นฉบับคัดลอกโดยซ่งฝูเซิง อีกทั้งในแต่ละวันนักเล่าเรื่องต้องใช้พูดหลายรอบ จึงไม่มีทางให้ลู่พั่นยืมได้ ห้ามให้ใครยืมทั้งนั้น นี่เป็นเรื่องที่ตกลงกันไว้ก่อนแล้ว
ที่โรงน้ำชา หากมีคนต้องการ นักเล่าเรื่องก็จะบอกว่าสมุดเป็นของร้านขนม ล่วงเกินไม่ได้ พอไปถึงร้านขนมก็ยิ่งไม่ต้องกลัวแล้ว เพราะท่านย่าหม่าจะบอกไปว่าไม่มี
แน่นอนว่าของซ่งฝูหลิงยิ่งไม่ควรให้เข้าไปใหญ่ แต่จะเอาให้ใคร คุณชายลู่ไม่มีปัญหา
ท่านย่าหม่ายังพูดอีกว่า “เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ เมื่อวานหลานสาวของข้ายังถามอยู่ว่าทำไมข้ายังไม่เอากลับไป หลายเล่มก่อนหน้านี้ลูกสามของข้าเล่าในร้านไปด้วยคัดลอกไปด้วย คุณชายลู่เอาไปอ่านดูนะเจ้าคะ ไม่ต้องรีบร้อน”