ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 389
เดิมทีซุ่นจื่อคิดว่าคุณชายแค่ต้องการเล่มนิยาย พอบรรลุเป้าหมายก็ควรไปได้แล้วหรือเปล่า
แต่กลับนึกไม่ถึงว่าคุณชายของเขายังมีความฝันที่ใหญ่กว่าอีกอย่างหนึ่ง
“พรุ่งนี้ข้าอยากพบแม่นางซ่ง ข้าจะส่งรถไปรับนางได้หรือไม่”
ซุ่นจื่อกับเสี่ยวเฉวียนจื่อมองหน้ากันทันที จากนั้นก็รีบก้มหน้า สายตาเลิกลั่ก
ท่านย่าหม่าเงยหน้ามองลู่พั่นที่รูปร่างสูงใหญ่ “…”
โปรดให้อภัยที่ท่านย่าหม่าคิดไม่ทัน นางอึ้งอยู่หลายวินาที จากนั้นก็ถามด้วยความสงสัย “แม่นางซ่งคนไหนหรือเจ้าคะ”
“แม่นางฝูหลิง”
“หา ใครนะ”
โปรดให้อภัยท่านย่าหม่าที่ลืมชื่อหลานสาวคนเล็กของตัวเอง เอาแค่ตอนลี้ภัย พูดชื่อฝูหลิงไม่กี่ครั้งก็ยังทำนางหงุดหงิดเหลือเกิน
จะให้หลานสาว ‘ฝูหลิง[1]’ ก็คงเป็นวันที่นางตายแล้ว
มันติดขัดอยู่ในใจ นางก็เลยลืม
สีหน้าของลู่พั่นไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย พูดด้วยน้ำเสียงชวนหลงใหลอย่างจริงจัง “พั่งยา”
“ทำไมล่ะ”
ลู่พั่นเหลือบมองแบบจำลอง
ที่หน้าร้านขนม พนักงานที่ออกมาได้ต่างออกมากันหมด
ออกมาน้อมส่งลู่พั่นผู้สูงส่งในชีวิตและก็เป็นคนที่พวกเขารู้สึกขอบคุณมากที่สุด
ท่านย่าหม่าหรี่ตาเล็กน้อย มองตามหลังลู่พั่นที่ขี่ม้าค่อยๆ หายไป เลี้ยวไปแล้ว
“ท่านย่าหม่า” เป่าจูเปิดประตูร้านก็เห็นท่านย่าหม่ายังคงยืนอยู่ริมถนน
ท่านย่าหม่าหันกลับมามองเป่าจู ทันใดนั้นก็ตบมือหนึ่งทีรีบวิ่งเข้าร้าน
“เอ๊ะ ท่านย่าหม่า” สักพักเป่าจูก็ตะโกนเรียกขึ้นมาอีก ทำไมท่านย่าหม่าวิ่งออกไปอีกแล้ว เกิดอะไรขึ้น ไม่เอาเงินที่นางช่วยเก็บแทนไปเหรอ
“เอ่อคือ เถ้าแก่เนี้ย”
เถ้าแก่เนี้ยร้านผ้าเงยหน้ามอง “เอ๊ะ ท่านยาย ลืมของอะไรไว้งั้นหรือ”
“เปล่า มานี่หน่อยสิ”
เถ้าแก่เนี้ยให้สาวใช้ไปต้อนรับลูกค้าแล้วเดินไปหาท่านย่าหม่าที่ด้านข้างด้วยความสงสัย
“ข้าอยากปรึกษาหน่อย ช่วยเอาผ้าสีชมพูผืนนี้ไปให้ช่างเย็บผ้าของร้านท่านรีบเย็บออกมาได้ไหม เอาแบบตัวที่ท่านทำเสร็จแล้วแขวนอยู่ตรงนั้นนั่นน่ะ…
…ไม่เช่นนั้น ข้าก็ขอซื้อที่ทำเสร็จแล้ว พอข้าเห็นตัวนั้นถึงได้ซื้อผ้า…
…แต่เมื่อครู่ข้าอยากประหยัดเงินก็เลยซื้อเป็นผ้าไป ให้ท่านตัดผ้าออกมาแล้วจะเอามาคืนก็ไม่ได้ ผืนแค่นี้ท่านจะไปขายใครได้…
…แต่ก็จะรีบใช้ เอาแค่เก็บขอบตรงคอ ด้านล่างเป็นชายใบบัวก็พอ วันนี้ข้ากลับช้าหน่อย เริ่มทำตั้งแต่ตอนนี้พอจะเสร็จทันไหม”
ท่านย่าหม่าพูดจบสายตาก็มองหากระโปรงสำเร็จภายในร้าน แบบที่ทำเสร็จแล้ว
คิดในใจ หลานสาวคนเล็กจะไปเป็นแขกตระกูลลู่ ต้องไปบอกทางนั้นว่าทำแบบจำลองยังไง เราก็ต้องแต่งตัวให้ดีหน่อย อย่าให้คนอื่นหัวเราะเยาะได้ว่ายังสู้สาวใช้ตระกูลลู่ไม่ได้ด้วยซ้ำ อยู่ๆ จะไปโดนดูถูกเอา
จ่าย มันต้องจ่าย
“รองเท้าปักลายนี่ อุ่นหรือเปล่า”
เถ้าแก่เนี้ยตอบว่าอุ่น พลางรับผ้ามา กางออกดู ช่างเถอะ เอาไปให้ลูกสาวของน้องชายนางแล้วกัน “ท่านยาย ในเมื่อท่านช่วยเป็นธุระให้ข้า ข้าก็จะเป็นธุระให้ท่านบ้าง มาเถอะ ท่านเลือกตัวที่ทำเสร็จแล้วไป ข้ารับคืนผ้าชิ้นนี้”
“เอาคืนไป แล้วท่านขายออกง่ายหรือเปล่า”
“ขายได้หรือเปล่าไม่รู้ ข้ารู้แค่ว่าถ้าให้ช่างเย็บผ้าทำตอนนี้คงไม่ทันแน่ แต่ว่าตัวนั้นที่ทำเสร็จแล้ว เอาให้นางรีบเก็บเอวได้ ทันท่านเอากลับบ้านตอนเย็น”
ท่านย่าหม่ายิ้มจนเห็นรอยเหี่ยวย่น “เถ้าแก่เนี้ย ต้องขอโทษด้วยนะ รีบใช้จริงๆ ถ้าเช่นนั้นข้าซื้อ ท่านเอากระโปรงพวกนั้นลงมา ข้าจะเลือกกระโปรงมาเข้าคู่กับเสื้อผ้าต่วนสีชมพูนี้” ชูรองเท้าปักลายสีเขียวในมือ “ข้ายังจะซื้อรองเท้าให้หลานสาวด้วย จัดครบชุด ท่านจะได้ไม่ขาดทุน”
เถ้าแก่เนี้ยมีน้ำใจ ช่วยท่านย่าหม่าออกความคิดเห็น เสื้อผ้าต่วนสีชมพู ด้านล่างเป็นกระโปรงผ้าต่วนจันทร์เสี้ยวสีขาว
ท่านย่าหม่าคิดในใจ เถ้าแก่เนี้ยคนนี้นิสัยดีก็จริงแต่รสนิยมไม่ไหว นางหยิบกระโปรงสีส้มอ่อนที่ดูสดใสจากในบรรดากระโปรงสำเร็จรูปที่มี “ตัวนี้ใช้ได้”
ยัดให้เถ้าแก่เนี้ยเพื่อให้ช่างเย็บผ้ารีบเอาไปเก็บเอวตามขนาดของหลานสาวคนเล็กของนาง
สุดท้ายก็ใช้มือวัดขนาด วัดแล้ววัดอีก จ่ายไปสองตำลึงกับอีกหนึ่งเงินเพื่อซื้อรองเท้าสีเขียวหยกที่ด้านบนปักรูปนกด้วยดิ้นทองให้ซ่งฝูหลิง
ท่านย่าหมาตัดสินใจซื้อของพวกนี้ แต่ก็เตือนตัวเองในใจไม่หยุด
ดูจากเสื้อผ้าที่ซุ่นจื่อให้พวกนางก็รู้ว่าสาวใช้ของตระกูลู่แต่งตัวดี
จะให้สาวใช้ของตระกูลลู่แต่งตัวดีกว่าหลานสาวของนางไม่ได้
อย่างไรเสีย ผู้ใหญ่อย่างเราเดินอยู่ข้างนอก ใครจะดูถูกอย่างไรก็ช่าง ไม่เป็นไร พวกเราหน้าหนา
แต่หลานสาวเพิ่งเริ่มต้น อีกทั้งใช่ว่าครอบครัวจะไม่มีเงิน นี่ก็มีเงินเก็บกันแล้วใช่ไหมล่ะ ก็แค่ขยันหาให้มากหน่อย หลานสาวกำลังอยู่ในวัยขบเผาะ รสชาติของการถูกคนมองเหยียดมันไม่ดีนักหรอก
ถึงแม้จะยกเหตุผลมากมายมาเตือนตัวเอง แต่ตอนจ่ายเงิน มือท่านย่าหม่าที่ยื่นเงินให้ก็ยังคงสั่นอยู่นิดหน่อย
“ไม่ได้คิดเงินผิดใช่ไหม”
สาวใช้ร้านขายผ้ายิ้ม “ไม่อย่างนั้นจะให้ข้าคิดอีกรอบหรือไม่”
“ไม่เป็นไร คิดไม่ผิดหรอก พวกเรารู้จักกัน ไม่ต้องคิดแล้ว”
ท่านลุงซ่งคาบกระบอกยาสูบ นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ทำไมกลุ่มที่ไปเมืองเฟิ่งเทียนยังไม่กลับบ้านอีก
พวกยายที่กลับมากันก่อนแล้วก็นั่งขัดสมาธิกินข้าวกันอยู่บนเตียงเตาพลางคุยกัน “ทำไมหัวหน้ายังไม่กลับ ไม่น่านะ ขนมที่พวกเราเอาไปขายทุกวันมีจำกัด ทำได้แค่นั้น อยู่ที่ร้านต่อก็ไม่มีของขาย อยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์ หรือว่าจะยังขายไม่หมด”
“เลิกคิดไปได้เลย นั่นเมืองเฟิ่งเทียนนะ ขายดีกว่าอำเภอที่พวกเราไปขายอีก เลยเที่ยงไปหน่อยข้าก็ขายหมดแล้ว น่าจะทำอะไรกันอยู่เลยเสียเวลา”
“กลับมาแล้วเหรอ” ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดึงเกวียนให้วัวหยุดดังขึ้นในลานบ้าน
ลุงซ่งถือกระบอกยาสูบชี้ “ข้าวในหม้อร้อนๆ รีบไปกินสิ”
ท่านย่าหม่ากลับไม่ตอบ ทั้งยังบอกให้พวกยายๆ รอก่อน นางถือห่อผ้าเข้าไปในบ้านลูกสาม
ซ่งฝูหลิงกับเฉียนหมี่โซ่วฟังจบ สองพี่น้องก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน
“ท่านย่าก็รับปากไปเหรอ”
“พี่แม่ทัพเล็กไม่ได้ให้ข้าไปด้วยเหรอ”
ท่านย่าหม่าตีก้นหมี่โซ่วเบาๆ สองที “ไปๆๆ ไปเล่นข้างนอกไป”
หมี่โซ่ววิ่งออกไป ไปตัดพ้อน้อยใจกับเฉียนเพ่ยอิง ซ่งฝูเซิงแล้ว
สักพักเฉียนเพ่ยอิงก็กลับมา พอเข้าบ้านก็เห็นชุดใหม่ของลูกสาว นางอ้าปากค้างครึ่งหนึ่ง เสื้อสีชมพู กระโปรงส้มอ่อน รองเท้าเขียว นี่ถ้าทาแก้มแดง…
ใครทำร้ายลูกสาวของนางได้ขนาดนี้
ท่านย่าหม่านั่งอยู่บนขอบเตียงเตาพลางปรบมือ “ลูกสาวบ้านไหนหน้าตาดีได้ขนาดนี้ ไอ๊หยาสวรรค์ ไอ๊หยาสวรรค์ สวยจริงๆ สวยเหลือเกิน”
ซ่งฝูเซิงก็กลับมาแล้ว เมื่อครู่เขาไปเก็บกระเทียมเหลืองที่แปลงเพาะปลูกใต้ดินมา
พอเข้าบ้านเขาก็หมดอารมณ์ “ท่านแม่ ทำไมไปรับปากล่ะ เรื่องแบบนั้น…”
อันที่จริงซ่งฝูเซิงอยากพูดว่า ชายหญิงต้องระวังกันไม่ใช่เหรอ ตกลงท่านเป็นคนโบราณหรือพวกเราเป็นคนโบราณกันแน่
ตอนแรกท่านย่าหม่าไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของลูกสาม ต่อมาพอเข้าใจ นางก็ทำหน้าอึ้งไป ราวกับเป็นครั้งแรกที่รู้จักลูกชายตัวเอง
“ข้าพบว่าเจ้าน่ะ วันๆ คิดมากเหลือเกิน คิดไปจนขนาดนั้นแล้ว…
…คนข้างนอกต่างบอกว่าเจ้าเป็นคนตรงไปตรงมา แต่ดูจากคำพูดนี้ของเจ้าสิ ทำไมข้าฟังแล้วไม่เห็นจะรู้สึกแบบนั้น…
…ลูกเอ๊ย เช่นนั้นแม่ก็ขอสั่งสอนเจ้า คนเราน่ะ จะระแวงไปหมดทุกคนไม่ได้ นั่นใคร นั่นคือท่านแม่ทัพเล็ก คนอื่นอาจคิดไม่ดี แต่เขาไม่มีทางคิดร้ายกับพวกเรา คนแบบนี้ช่วยเราไว้มากมายครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเรายังจะระแวงอีกเหรอ พวกเราเป็นใครกัน ลูกเอ๊ย เจ้าทำแบบนี้ไม่ถูก”
“ไม่ใช่นะท่านแม่ คนเรามันต้องมีระยะห่างกันบ้าง เขาไม่มีทางคิดร้ายกับพวกเราไม่ได้หมายความว่าเขามาอยู่กับพวกเรา เขาเป็นผู้ชาย…”
ท่านย่าหม่าพูดขัด “เจ้าก็คิดไปไกล เพ้อเจ้อ คนฐานะระดับนั้นจะคิดแบบนั้นได้เหรอ ไอ๊หยา เจ้ามีแม้กระทั่งความคิดแบบนี้ เจ้ามันซับซ้อนเหลือเกิน เขาก็แค่จับๆ แบบจำลองแล้วไม่เข้าใจ เกิดถูกใจขึ้นมาก็เลยอยากเรียกไปถามว่าทำอย่างไรแค่นั้น”
“เขียนไปบอกไม่ได้เหรอ”
“เขาบอกว่า ทำเองไม่เข้าใจ อยากให้พั่งยาไปทำให้ดูต่อหน้า”
————————–
[1] คำพ้องเสียง หมายถึงอัญเชิญโลงศพ