ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 390 ไส้เดือน
คำพูดแบบไหนทำร้ายจิตใจมากที่สุด
คำพูดที่พูดออกมาในทันที
เพราะนั่นหมายความว่า เป็นปฏิกิริยาตอบสนองของอีกฝ่ายอย่างแท้จริง อีกฝ่ายคิดแบบนั้น ในใจก็คิดแบบนั้น
แต่ซ่งฝูเซิงกลับไม่ชอบฟัง
เขาเหลือบมองลูกสาวที่แต่งตัวเหมือนสัญญาณไฟจราจร คิดในใจ ทำไมลูกสาวเขาจะไม่คู่ควรกับลู่พั่น
ฮึ่ย ในสายตาของแม่เขา ลู่พั่นเป็นแบบนั้น จะให้พูดยังไงก็ไม่มีทางชอบลูกสาวเขาใช่ไหม
ลูกสาวเขาแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ
น่าสนใจจริงๆ
อย่างลู่พั่นน่ะ ให้เอามาเป็นลูกเขย เขายังไม่อยากจะได้เลย
คนโบราณ รู้หรือเปล่าว่าอะไรคือนักวิจัย เคยใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าหรือเปล่า เคยไปมากี่ประเทศแล้ว หูตากว้างไกลเท่าลูกสาวของเขาหรือเปล่า
พอซ่งฝูเซิงได้ยินท่านย่าหม่าพูดแบบนั้นก็หงุดหงิดใจเหลือเกิน
เอาเป็นว่า ถ้าลู่พั่นถูกใจลูกสาวเขา ซ่งฝูเซิงจะไม่ชอบใจอย่างมาก ลู่พั่นเรียกลูกสาวเขาไปหา ต่อให้ไม่ได้ชอบพอ เขาก็ไม่พอใจเหมือนกัน
“ครั้งนี้ก็เอาตามนี้ไปก่อน ท่านแม่รับปากไปแล้ว แต่ว่าท่านแม่ ข้าขอพูดกับท่านอย่างจริงจังเลยนะ วันหน้าถ้าจะให้ลูกสาวข้าไปพบใคร ท่านห้ามตัดสินใจเอง ท่านเป็นแค่ย่าของนาง ข้าเป็นพ่อของนาง ท่านต้องกลับมาบอกข้าก่อน ข้าบอกว่าได้ถึงจะได้”
ท่านย่าหม่าโยนห่อผ้าในมือทิ้ง ลงจากเตียง ถลึงตาใส่แล้วพูด “เจ้าพูดอีกทีสิ”
ซ่งฝูหลิงรีบเข้าไปห้ามท่านย่าหม่า “ท่านย่า เลิกตะโกนเถอะ”
เฉียนเพ่ยอิงก็รีบเข้าไปดันตัวซ่งฝูเซิงให้ออกไป เดี๋ยวทะเลาะขึ้นมาอีก “อย่าทะเลาะกัน มีอะไรนักหนาถึงคุยกันดีๆ ไม่ได้ ครั้งนี้รับปากไปแล้ว รอครั้งหน้าก็แล้วกัน ไว้ค่อยว่ากัน ยังไงเสียก็ไปแค่จวนลู่ ไม่ได้ไปที่อันตรายอะไรสักหน่อย”
ภายในห้องครัว ซ่งฝูเซิงถลึงตาใส่เฉียนเพ่ยอิง “เจ้าเงียบไปเลย จะจวนไหนก็ไม่ได้ทั้งนั้น เจ้าเองก็คิดว่าไปจวนลู่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรใช่ไหมล่ะ ไม่เป็นไรใช่ไหมล่ะ ไปที่นั่นก็เหมาะสมแล้วใช่ไหม”
เฉียนเพ่ยอิงคิด ดูทำหน้าเข้า ด่าใครน่ะ แต่กลับยังคงพูดอย่างใจเย็น “เอาล่ะๆ ข้าเงียบ ข้าไม่ได้คิดแบบนั้น เจ้ารีบไปเก็บกระเทียมเหลืองเถอะ”
หมี่โซ่วเกาะอยู่ขอบประตู ดึงม่านห้องซื่อจ้วง ไม่กล้าส่งเสียง
เขารู้สึกเสียใจที่เรียกท่านลุงกลับมา ก้มหน้าตำหนิตัวเอง
โดยเฉพาะตอนได้ยินเสียงในห้องใหญ่ ท่านย่าร้องไห้คร่ำครวญ
“ตอนข้ายื่นเงินให้ มือสั่นไปหมด ชีวิตนี้ไม่เคยจ่ายเงินแบบนั้น ข้าทำเพื่ออะไร เห็นพวกขวดๆ ที่ขายในร้านเซี่ยฟู่ชุน ข้าหน้าตาเป็นหลุมเป็นริ้ว ในใจอยากซื้อมากขนาดไหนก็ยังซื้อไม่ลง…
…สองร้อยแปดสิบเหวิน ข้าซื้อรองเท้าปักลายราคาสองตำลึงกว่าให้หลานสาวของข้า ซื้อน้ำมันทาหน้าได้ตั้งสิบขวด…
…ข้าทำเพื่ออะไร ไม่มีแม้แต่คำชมสักคำ แถมยังมาทำหน้าบึ้งตึงสั่งสอนข้าอีกต่างหาก…
…ใครเป็นแม่ ใครคลอดใครมากันแน่”
เฉียนเพ่ยอิง “ใช่ๆๆ”
ท่านย่าหม่าเช็ดน้ำตา
“ใช่อะไร เจ้าก็ตอบเป็นแค่นี้…
…เจ้าไม่เข้าใจ ข้าก็แค่อยากทำให้สมเกียรติไม่ใช่เหรอ…
…แต่ในสายตาของสามีเจ้า ทำไมคิดเยอะได้ขนาดนั้น คิดไปในทางที่เลวร้าย…
…คนเลวที่ไหนจะมาช่วยเรื่องเสบียงบรรเทาทุกข์ของพวกเรา ช่วยครั้งแล้วครั้งเล่า แถมยังทำเครื่องตีไข่ให้ห้องทำขนมของพวกเราตั้งสองเครื่อง…
…ข้าก็แค่คิดว่า พวกเราไม่รู้ว่าเขาขาดเหลืออะไร จะให้อะไรก็ไม่ดีทั้งนั้น…
…แต่ตอนนี้แม่ทัพเล็กเอ่ยปากแล้ว บอกว่าอยากเรียน ดูเหมือนจะสนใจแบบจำลองนั่นเป็นพิเศษ เช่นนั้นเราก็ให้พั่งยาไปสอนเขาดีๆ…
…ข้าจะไม่รับปากได้เหรอ ถ้าเป็นเจ้า หากเขามายืนอยู่ตรงหน้า เจ้าจะกล้าปฏิเสธเหรอ…
…ปรากฏว่าพอเรื่องมาถึงสามีของเจ้า กลายเป็นว่าไม่ได้ ทำอย่างกับข้าเอาหลานสาวไปขาย ทำเรื่องไม่ดี…
…เฉียนซื่อ เจ้าคิดดู เขาคิดสกปรกไปไหม ลูกสาวเจ้าเป็นคนแบบนั้นหรืออย่างไร…
…พั่งยาของเรา วันๆ ร่าเริงแจ่มใส แถมยังปั้นตุ๊กตาหิมะ เรื่องซับซ้อนของชายหญิง นางยังไร้เดียงสากว่าหมี่โซ่วด้วยซ้ำ จิตใจสะอาดสะอ้าน ข้าก็สะอาด ไม่แน่เจ้าก็สะอาดเหมือนกัน พวกเรายังไม่ได้คิดไปในทางนั้นกันเลยนะ…
…มีแค่เขาคนเดียวที่ในใจคิดสกปรก…
…ฟุ้งซ่านไปถึงไหนแล้ว ขนาดข้ายังอึ้ง มองแม่ทัพเล็กเป็นคนยังไงแล้ว…
…ยังจะมีหน้ามาทำเสียงแข็งกับข้า…
…คนเราต้องซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาก็จริง แต่การระแวงคนแบบนั้น คิดเล็กคิดน้อย ทำกับเขาแบบนั้นมันถูกเหรอ…
…จริงๆ เลย สามีของเจ้าจิตใจคิดสกปรกเกินไป ไม่เหมือนข้าแม้แต่นิดเดียว ข้าอย่างมากก็แค่คิดเยอะเรื่องเงินทอง แต่ข้าจริงใจต่อคนอื่น ไม่เคยมองใครในแง่ร้าย”
เฉียนเพ่ยอิงฟังแล้วก็เหนื่อยใจ ท่านย่าหม่าพูดเก่งจริงๆ
เรื่องบางอย่างนางเข้าใจ แต่นางก็ไม่เห็นด้วย
เรื่องนี้ถ้าให้พูดตรงๆ มันเหมือนอะไรดี
อย่างยุคปัจจุบัน คนในเมืองอิจฉาความมีน้ำใจของคนชนบท อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน หากบ้านไหนมีเรื่องอะไร ทุกคนก็จะเสนอความช่วยเหลือ ช่วยทำงานโดยไม่เอาเงิน
ถ้าในเมืองคงเป็นไปไม่ได้ อาศัยอยู่ตึกเดียวกัน อยู่มาหนึ่งปีก็ยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการให้ความช่วยเหลือหรือขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเลย
แต่อิจฉาก็ส่วนอิจฉา ไม่ว่าเรื่องไหนก็มีข้อดีข้อเสีย
คนในเมืองรู้สึกอิจฉา แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ชอบคนชนบทที่ไม่รู้จักกาลเทศะ อย่างเช่น คนเขากำลังกินข้าวก็เข้ามาพูดนั่นพูดนี่ พอได้เริ่มก็ไม่ไปไหนแล้ว เรื่องแบบนี้ย่อมไม่มีทางเกิดขึ้นในเมือง
เอาแค่เรื่องกาลเทศะ คนในเมืองยอมทำตัวเฉยชาดีกว่าแสดงน้ำใจอย่างกระตือรือร้น
ก็เหมือนกับในตอนนี้
เฉียนเพ่ยอิงเข้าใจ ในใจของซ่งฝูเซิงจะต้องยอมรับแน่นอนว่าลู่พั่นเป็นเด็กดี เป็นคนชั้นสูง จะให้ยกอะไรให้ก็ได้ แต่ไม่มีทางยอมให้ลูกสาวไปเล่นที่บ้านผู้ชายในยุคโบราณ ที่ชายหญิงไม่สะดวกพบหน้ากันแบบนี้ นี่ก็จัดอยู่ในประเภทการไม่รู้กาลเทศะแบบที่นางยกตัวอย่าง
จะทำอะไรตรงไปตรงมาน่ะไม่ผิด แต่ต้องใจเย็น อย่าคิดว่าเขาเป็นคนที่มีบุญคุณต่อเรา เราก็จะควักหัวใจให้เขาทั้งหมด
ใช่ เขาให้ความใกล้ชิดกับพวกเรา พวกเราไม่เห็นเขาเป็นคนนอก แต่ก็ต้องตรึกตรองดูหน่อยว่า พวกเราเกี่ยวข้องเป็นอะไรในสายตาของอีกฝ่าย ทำไมอีกฝ่ายจะต้องไม่เห็นพวกเราเป็นคนนอกด้วย
เฉียนเพ่ยอิงขยิบตาให้ลูกสาว “เรื่องบางอย่างเจ้าค่อยๆ พูดกับท่านย่า แม่จะไปดูพ่อหน่อย”
ออกจากห้องไป ท่านลุงซ่งก็ถามขึ้น “แม่เจ้าเป็นอะไรรึ”
“ไม่มีอะไรหรอกท่านลุงซ่ง แค่เถียงกันนิดหน่อย”
“ใกล้ปีใหม่แล้ว ฝูเซิงน่ะ เดี๋ยวข้าจะไปคุยกับเขา เรื่องดีๆ เยอะแยะมีไม่คุย จะมานั่งทะเลาะกันให้ได้”
ไม่นานซ่งฝูหลิงก็ปลอบใจท่านย่าของนางสำเร็จ
อย่างน้อยที่สุดท่านย่าหม่าก็ไม่เช็ดน้ำตาด้วยความเสียใจแล้ว
ท่านย่าหม่าคุยเสียงเบากับซ่งฝูหลิง เสียงลอดออกไปจากหน้าต่างกระดาษ
“พ่อเจ้าน่ะ ไม่รู้ว่าสมองคิดอะไรอยู่ พาลมาลงที่ย่า กล้าคิดเรื่องสกปรกพรรค์นั้น เจ้าห้ามทำตัวอวดดีแบบนั้นเชียวนะ…
…พั่งยา พวกเป็นเป็นแค่ครอบครัวธรรมดา ไว้ถึงเวลาหาผู้ชายที่รูปร่างบึกบึน ทำงานเก่ง เชื่อฟังเจ้า ไม่เอาแบบที่พอมีเงินก็ไปเที่ยวหอนางโลม แค่นั้นก็ดีแล้ว…
…อย่างแม่ทัพเล็กน่ะ เมื่อครู่ย่ากับพ่อเจ้าทะเลาะกันไร้สาระ เจ้าอย่าเอาเรื่องที่พวกเราทะเลาะกันเก็บไปคิดมากล่ะ…
…ต้องรู้นะว่า แม่ทัพเล็กน่ะเป็นเหยี่ยวบนท้องฟ้า เรามันก็แค่ไส้เดือนในดิน…”
เสียงสดใสของซ่งฝูหลิงลอดออกจากหน้าต่างกระดาษ “โอ้โหท่านย่า ข้าเป็นไส้เดือนในใจท่านเลยเหรอ”
“ไม่ใช่ เจ้าย่อมดีที่สุดในใจของย่า แต่ในสายตาของคนนอก เจ้าไม่คู่…” ท่านย่าหม่าชะงัก ทันใดนั้นก็ตะโกนออกไปข้างนอก “ยังจะมีหน้ามาทะเลาะกับพวกเรา ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าหยุดเรียนหนังสือ พวกเรายังจะต้องเป็นไส้เดือนกันไหม”
ซ่งฝูหลิงกุมขมับ
ผ่านไปสักพัก “ท่านย่า ข้าไม่ใส่ชุดที่ท่านซื้อได้ไหม”
“ไอ๊หยา พั่งยา เจ้าไม่รู้อะไร ตอนย่าจ่ายเงินนะ มือเย็นเฉียบ เท่ากับทำเค้กก้อนใหญ่ขนาดสิบหกนิ้วเลยนะ…
…เงินสิบตำลึง สำหรับชาวบ้านชาวสวนอย่างพวกเรา เจ้ารู้หรือเปล่าว่ามันทำอะไรได้บ้าง ย่าเพิ่มไปอีกไม่กี่ตำลึงก็แต่งเมียให้พี่ใหญ่ของเจ้าได้แล้ว…
…ชุดนี้บนตัวเจ้าเท่ากับเมียของพี่ใหญ่เจ้า ใส่อยู่บนตัวคน ถ้าเจ้าไม่ใส่ ย่าคงต้อง…”
“เอาล่ะท่านย่า เลิกพูดเถอะ ยังไงเสียข้าก็เป็นแค่ไส้เดือน ใส่อะไรก็เหมือนกัน”
หมี่โซ่วอยู่ด้านข้างได้ยินทั้งหมด
พี่สาวเป็นไส้เดือน เช่นนั้นข้าจะเป็นอะไรล่ะ
ในเวลาเดียวกัน
ลู่พั่นเพิ่งกางหนังสือเล่มแรกออก ซุ่นจื่อที่ยืนคิดอยู่ข้างหลังมาตลอดก็ถามโดยไม่ผ่านการกลั่นกรองจากสมอง “คุณชาย พรุ่งนี้ส่งรถคันไหนไปรับแม่นางฝูหลิงหรือ”
“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”