ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 391
เกี่ยวกับเรื่องรถ ลู่พั่นขอความเห็นจากซุ่นจื่อจริงๆ
ซุ่นจื่อกลับฉลาดเกิน คิดว่ารบกวนการอ่านหนังสือของลู่พั่น ทำคุณชายโมโหเข้าแล้ว
เขารีบพูดขึ้น “เข้าใจแล้วขอรับ บ่าวจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
ลู่พั่นมองตามหลังซุ่นจื่อที่ออกจากห้องหนังสือไปอย่างเงียบๆ
ไม่นานซุ่นจื่อก็กลับมาถามเขาอีกครั้ง
“คือว่าคุณชาย บ่าวขอพูดสักหน่อย คุณชายรู้หรือไม่ว่าการรับแม่นางฝูหลิงเข้ามาในจวนมันหมายความว่าอะไร พอถึงตอนนั้นนายท่านผู้เฒ่ากับฮูหยินก็จะ…ใช่ไหมล่ะ คุณชายลองคิดดูนะ ไหนจะบรรดาพี่สาวของคุณชายอีก จะต้องรีบทิ้งบ้านกลับมาดูอย่างแน่นอน”
ขณะพูด ซุ่นจื่อก็ยิ่งรู้สึกว่าซ่งฝูหลิงไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วย
ทำไมน่ะเหรอ อยู่ๆ ก็ไปรับนางเข้ามาในจวน
บ้านนี้เป็นอย่างไร คุณชายไม่รู้เหรอ
แบบนั้นไม่ต่อแถวตั้งคำถามกันเลยรึ
เวลานี้ ในที่สุดลู่พั่นก็รู้เหตุผลที่ว่าทำไมถึงเก็บซุ่นจื่อเอาไว้ข้างกายแล้ว
เห็นๆ อยู่ว่าคนผู้นี้สมองกลวง แต่มีดีตรงที่ไม่เหมือนบ่าวรับใช้บ้านอื่น ที่ปล่อยให้เจ้านายทำเรื่องเดือดร้อน
“ใครบอกว่าข้าจะรับนางเข้ามาในจวน”
“หา?”
“พรุ่งนี้เจ้าพานางไปซื้อของที่จำเป็นต้องใช้ก่อน ให้มู่จิ่นตามไปด้วย อย่าให้นางไปคนเดียว พอซื้อเสร็จก็พาไปที่ซอยวัดถังจื่อ”
ซุ่นจื่อคิดในใจ
ให้ไปซื้อโดยตรง อ๋อ ที่แท้เมื่อตอนกลางวันที่คุณชายไม่ได้บอกว่าต้องการพวกของที่ใช้ทำแบบจำลอง เพราะคำนึงถึงว่าท่านย่าหม่าจะแอบไปซื้อมาแล้วให้เขาโดยไม่คิดเงินหรือเปล่า
ให้มู่จิ่นไปด้วย ดูท่าคุณชายจะกังวลว่าแม่นางฝูหลิงคนเดียวจะอึดอัด มีสาวใช้ตามไปด้วยสักคนจะดีกว่า แบบนี้หรือเปล่า
ซุ่นจื่อรู้ว่า เรื่องเกี่ยวกับแบบจำลอง อย่างไรคุณชายก็จะเรียนจนเป็นให้ได้ เพราะเส้นทางต่างๆ จะไหว้วานคนอื่นไปทำไม่ได้ กลัวความลับรั่วไหล
แต่ซอยวัดถังจื่อ นั่นเป็นบ้านที่อยู่ข้างนอกของคุณชาย ซอยเล็กๆ ซอยนั้นเป็นของคุณชายคนเดียว บริเวณโดยรอบไม่มีใคร
แต่ซุ่นจื่อก็รู้สึกว่า เอาเถอะ ไหนๆ ก็ถามแล้ว “คุณชาย บ่าวขอบังอาจถามอะไรสักหน่อย คุณชายนัดแม่นางฝูหลิงให้ไปเจอที่ซอยวัดถังจื่อ คงไม่ได้เพราะอยากให้นางสอนคุณชายโดยสะดวก คิดจะให้นางพักที่นั่นสองสามวันใช่หรือไม่ขอรับ”
พอเห็นลู่พั่นขมวดคิ้ว ซุ่นจื่อก็รีบโบกมือพลางพูด “บ่าวก็แค่ลองถามดู จะได้ไปสั่งให้มู่จิ่นเตรียมของ ถ้าเป็นแบบนั้น มู่จิ่นก็ต้องเตรียมเสื้อผ้าไปสองสามชุดใช่ไหมขอรับ คุณชาย บ่าวไม่ได้คิดเป็นอื่น รับลูกสาวคนอื่นมาก็ย่อมต้องพูดกับซ่งฝูเซิงให้ชัดเจน”
ซุ่นจื่อถูกน้ำหมึกกระเด็นใส่ทั้งตัว จานฝนหมึกก็ถูกปาไปที่ก้นแล้วตกลงบนพื้น
ลู่พั่นขมวดคิ้ว เห็นเขาเป็นคนอย่างไรกัน ยังจะให้ค้างคืนด้วยรึ
เขาก็แค่คิดว่าการฝากจดหมายมาบอก มันอธิบายได้ไม่ชัดเจน
ทำแบบจำลองอันหนึ่ง สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่ทำอย่างไร แต่เป็นเรื่องอัตราส่วนต่างหาก
สิ่งปลูกสร้างต่างๆ บนแบบจำลอง ถูกออกแบบเป็นทะเลที่กั้นระหว่างหลายแคว้น หรือไม่ก็ดินแดนทะเลทราย พื้นผิวหิมะ
เขามองออก นั่นไม่ได้เป็นการจัดวางส่งเดช มีการกำหนดขนาดพื้นที่
ยกตัวอย่างเช่น ข้อนิ้วหนึ่งข้อแสดงถึงระยะห่างเท่าไหร่
เขาอยากทำความเข้าใจตรรกะการวางผังที่อยู่ในสมองของซ่งฝูหลิง ต่อให้เป็นเพียงการจินตนาการ ทำเพื่อเรื่องเล่าก็ตาม เขาก็อยากฟังเองกับหู อยากลองดูว่าตัวเองจะเกิดความคิดอะไรขึ้นมาหรือไม่ระหว่างที่ฟังซ่งฝูหลิงเล่า อยากกำหนดแบบจำลองที่ตัวเองกำลังจะทำ
แบบนี้ ในอนาคตเวลาสั่งการ แค่จ้องที่แบบจำลองก็สามารถรู้ได้ว่าจะโจมตีอีกเมืองหนึ่งจากคูเมืองจำเป็นต้องใช้เวลากี่วัน เส้นทางของกองหนุนไปทางไหนไวที่สุด อีกกี่วันมาถึง เส้นทางลัดอยู่ไกลแค่ไหน
อีกทั้งเอาไปพลิกแพลงใช้ในการบัญชาการ จะมีประโยชน์อย่างมากต่อท่านพ่อของเขาที่เป็นแม่ทัพใหญ่เวลาที่ต้องบัญชาการศึกหลายเส้นทาง
หากเขาสามารถทำออกมาได้
เขาก็อยากทำออกมา
คำถามพวกนี้เขาอาจถามขึ้นมาระหว่างนั้น ซ่งฝูหลิงก็ตอบ และเขาอาจยังจะนึกคำถามอะไรที่ต้องการถามเพิ่มได้อีก นั่นไม่ใช่เรื่องที่ตอบในจดหมายสองสามประโยคก็จะเข้าใจกระจ่าง
แล้วนี่ทำไมถึงกลายเป็นเรื่องการค้างคืนไปแล้ว
แน่นอนว่าลู่พั่นก็สงสัยเหลือเกิน ว่าทำไมลองกดโต๊ะแบบจำลองดูแล้วมันนิ่มๆ เขาแงะดูเล็กน้อย ทั้งยังแตะเอามาชิม แต่ก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร
แม่น้ำ ทะเลทราย ทิวเขาสลับซับซ้อน สิ่งเหล่านี้ทำมาจากอะไรกันแน่
เรื่องที่กล่าวมานี้ลู่พั่นไม่อยากอธิบาย และก็อธิบายไม่ถูก
เดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนพูดเยอะ
“พรุ่งนี้ออกไปรับให้เช้าที่สุด อย่าอยู่ในหมู่บ้านเหรินจยานาน ส่วนรถ อย่าให้ใครมองออกว่าเป็นของข้า ไสหัวออกไปได้แล้ว”
“ขอรับๆๆ”
หลังจากซุ่นจื่อออกไปแล้วก็ยังไม่เข้าใจความหมายของลู่พั่นทั้งหมด
คิดในใจ ห้ามให้คนอื่นมองออกว่าเป็นรถของคุณชาย ก็แสดงว่ายังคงต้องใช้รถของคุณชายอยู่ดี แต่ต้องจับตกแต่งเสียใหม่งั้นเหรอ เข้าใจแล้ว
หลังจากซู่นจื่อออกไปก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว
ลู่พั่นหยิบสมุดที่ยังไม่ได้อ่านสักหน้า เดิมทีคิดว่าอ่านแค่ช่วงเริ่มต้นก็จะกลับห้องพักผ่อน ค่อยๆ ทยอยอ่านไป ก็พอดีกับที่อีกไม่กี่วันเป็นวันหยุด
พูดตามตรง เขาเองก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากกับนิยายที่เด็กสาวแต่ง
ถึงแม้พวกหลินโส่วหยางจะบอกว่าไม่เลว ถึงแม้สมองของซ่งฝูหลิงจะแตกต่างจากเด็กสาวทั่วไป
แต่เนื่องจากได้ยินว่าเป็นตำนานเทพ ลู่พั่นรู้สึกแค่ว่าสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้าไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่ ความเป็นไปได้ที่จะมโนเพ้อพกเขียนขึ้นมามีอยู่สูงมาก
คนแบบเขาไม่เชื่อในเทพเจ้า ไม่เชื่อในโชคชะตา
มักจะมีประมาณว่า ตระกูลใหญ่ชั้นสูงที่พ่ายแพ้ยับเยินจนต้องเงยหน้าโทษฟ้า นั่นคือชะตากรรม
ทุกครั้งที่ได้ฟังเขาจะรู้สึกว่าน่าขำสิ้นดี
ลู่พั่นกางสมุดออก มองลายมือ หืม? ก้าวหน้าเร็วมาก ถ้าท่านย่าหม่าไม่ได้พูดด้วยตัวเองว่าเป็น ‘บทประพันธ์ต้นฉบับ’ ของหลานสาวนาง เขาคงไม่กล้าเชื่อ ตัวหนังสือที่เคยยึกยือเหมือนไส้เดือน ตอนนี้กลับมีระเบียบขึ้นมาแล้ว
นอกเหนือจากนี้ไม่ได้ใช้พู่กันเขียน ใช้ดินสออะไรน่ะ
เอาไปส่องแสงเทียนก็ยังคงไม่เข้าใจ
ลู่พั่นกุมขมับ กวาดตามองหนึ่งรอบแล้วถอนหายใจ ทำไมเขียนแนวนอน ไม่ชิน
เขารู้สึกงง ซ่งพั่งยา ทุกครั้งทำให้เขารู้สึกแปลกใจได้เสมอ แม้แต่เขียนหนังสือยังประหลาดขนาดนี้
ลู่พั่นเองก็นึกไม่ถึงว่าเพิ่งอ่านไปได้สองหน้า เขาเพิ่งบ่นไปว่าตัวหนังสือแนวนอนมันยุ่งยากขนาดไหน แต่เขากลับชินการอ่านแนวนอนขึ้นมาแล้ว
“พันปีต่อมา…
ที่นี่ปรากฏสงครามครั้งใหญ่ที่สุด
ที่นี่เราจะได้ยินพันธมิตรทางการทหารของหลายแคว้น สามทัพทั้งบก อากาศ ทะเล จำนวนรวมกันเกือบสามล้านคน ได้บุกโจมตีแคว้นเหยี่ยวอย่างอุกอาจ
ทางทะเล เรือรบนับพันลำฝ่าหมอกเป็นชั้นๆ เพื่อแล่นไปยังเป้าหมายแต่ละจุด
ทางอากาศ เครื่องบินทิ้งระเบิดกับเครื่องบินรบของแคว้นดวงดาว ได้ทิ้งระเบิดลงในพื้นที่ของแคว้นเหยี่ยวอย่างโหดเหี้ยม
ทหารอากาศจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนทิ้งตัวลงที่ด้านหลังปราการมหาสมุทรทางตะวันตกของทหารแคว้นเหยี่ยว ค่อยๆ หย่อนตัวลงสู่พื้นดินอย่างเงียบๆ
เรื่องราวของทหารแคว้นเหยี่ยวหกแสนหกหมื่นนายบุกเข้าโจมตีพันธมิตรทางการทหารสองล้านแปดแสนแปดหมื่นนายกำลังจะเริ่มต้นขึ้น…
กรุ๊งกริ๊ง ประตูร้านอาหารตะวันตกถูกเปิดออก…”
ลู่พั่นเปลี่ยนท่านั่งแล้วอ่านต่อ
เขาไม่รู้ว่า แท้จริงแล้วเนื้อเรื่องส่วนนี้ซ่งฝูหลิงได้แอบโฆษณาแฝงไว้
ช่วงต้นเรื่องเขียนถึงวันที่สุดแสนจะธรรมดาของชาวแคว้นเหยี่ยวก่อนที่จะเริ่มต้นขึ้นก่อน
ผู้ชายสวมหมวกทรงสูง ถือกระเป๋าหนัง เพิ่งเลิกงานกำลังเดินอยู่ตามท้องถนน
ผู้หญิงสวมกระโปรงยาวทรงพลิ้ว รองเท้าส้นสูง เพิ่งลงจากรถรางไฟฟ้า
เด็กหนุ่มที่สวมชุดเอี๊ยมเสื้อเชิ้ตสีขาวกำลังขี่จักรยานอยู่ในซอยเล็กๆ ดูก็รู้ว่าเพิ่งเลิกงานจากโรงงาน
เวลานี้ภายในร้านอาหารตะวันตก เครื่องเล่นแผ่นเสียงแบบโบราณกำลังทำงาน เหล่าสตรีจับกลุ่มกันโต๊ะละสามคนห้าคน นั่งอยู่ริมหน้าต่าง บนโต๊ะมีพิซซ่า ขนมสารพัด ภายในร้านอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมหวน
พวกผู้ชายที่นั่งกันโต๊ะละสามคนห้าคนกำลังดื่มเบียร์ กินไก่ทอด กำลังคุยเรื่องที่ช่วงนี้ทำงานล่วงเวลาในโรงงาน
ช่วงนี้ทางโรงงานกำลังสร้างอาวุธอีกแล้ว
พูดถึงเรื่องนี้ พวกคนแก่สูงวัยหลายโต๊ะแถวนั้นดูเหมือนจะเมาแล้วได้ตวาดเสียงขึ้น ทำไมถึงต้องสร้างทางด่วนที่นอกเมือง ไม่มีถนนก็จะเหมือนกับตอนแพ้สงครามครั้งก่อน ทำอย่างไรถึงจะเคลื่อนกองทัพได้อย่างรวดเร็ว พูดถึงสงครามครั้งนั้นที่ทำให้แคว้นของพวกเขาต้องตกต่ำมานานแสนนาน
ลู่พั่นตกอยู่ในห้วงของเรื่องแต่งนี้ตลอดทางที่เดินกลับห้องนอน
พูดตามตรง เขาแอบนับถือในจินตนาการของซ่งฝูหลิง
เขาแทบวางสมุดไม่ลง สมองเต็มไปด้วยฉากประหลาดพวกนั้นในเรื่อง
เขาถือสมุด เป็นครั้งแรกที่เอาหนังสือมานอนอ่านบนเตียง
เมื่อก่อนมีแต่แบบนี้ หนังสือก็ต้องอ่านที่ห้องหนังสือ ขึ้นเตียงแล้วจะมาอ่านอะไรอีก