ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 392
เรื่องแต่งของซ่งฝูหลิง เพื่อให้มีความเชื่อมโยงและมีการขยายความ เวลาเล่าจะมีการสอดแทรก
ก่อนหน้านี้พ่อของนางรวมถึงนักเล่าเรื่องในตอนนี้ บางครั้งแค่แยกอธิบายเรื่องอาวุธก็พูดไปตลอดช่วงเที่ยงแล้ว เติมน้ำให้เนื้อเรื่องไปอย่างสมเหตุสมผล
แต่เวลาที่นางเขียน จะเขียนรวดเดียวไปก่อน เพื่อไม่ให้รบกวนความคิดและอารมณ์ของตัวเอง
ส่วนอาวุธ ‘วิเศษ’ กับของที่โรงงานผลิตที่กล่าวถึงในแต่ละตอน นางจะมีสมุดเอาไว้เขียนอีกเล่มหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งด้านบนจะเขียนไว้ว่าได้เอ่ยถึงในตอนที่เท่าไร ของสิ่งนี้มีลักษณะอย่างไร
ด้วยเหตุนี้ มือข้างหนึ่งของลู่พั่นจึงถือเล่มเนื้อเรื่อง ส่วนอีกมือถือเล่มขยายความ
อ่านถึงเครื่องเล่นแผ่นเสียง เขาก็จะเปิดหาคำอธิบายก่อน
อ่านถึงจักรยาน ก็จะเปิดหาในสมุดที่ถูกเจาะรูเอาเชือกป่านร้อยไว้
เพื่อให้ในสมองได้มีภาพร่างคร่าวๆ จินตนาการก่อนหนึ่งรอบ จากนั้นค่อยอ่านต่อ
ลู่พั่นยิ่งอ่านก็ยิ่งตื่นเต้น
ให้ความสนใจในรายละเอียดเล็กๆ ตั้งแต่เครื่องเล่นแผ่นเสียง สนใจเบียร์ที่อยู่ในร้านอาหารตะวันตก สนใจการแต่งกายของผู้คน โดยเฉพาะรองเท้าส้นสูงของสตรี ดูรูปนั่นสิ ใส่เจ้าสิ่งนี้ยังเดินได้อีกรึ
หรือแม้กระทั่งเรื่องใหญ่ๆ อย่างทางด่วน รถจักรยานที่เหมือนกงล้อในสายตาของเขา กระบวนการผลิตในโรงงาน รูปแบบการจัดการโรงงาน การสร้างถนน รถรางไฟฟ้า มีไฟ หลอดไฟอย่างนั้นเหรอ
ในสมุดคำอธิบายเขียนไว้ว่า เพราะไฟฟ้าแบบนั้น บนหมวกถึงติดหลอดไฟได้ นับจากนั้นเป็นต้นมา การเดินบนถนนในเวลากลางคืน ต่อให้อยู่ไกลก็มองเห็นได้ ไม่ใช่การถือคบเพลิงอันเล็กๆ
ไม่ต้องกลัวคนอื่นจะมาขโมยแล้ว เพราะคนเฝ้ายามสามารถมองเห็นได้
อีกทั้งบนถนนในเมืองก็มีไฟเรียงรายเป็นแถว
ส่องสว่างให้กับคนที่เดินทางกลับบ้านยามกลางคืน
เขาเหม่อลอยมองเชิงเทียนที่อยู่ข้างเตียงตัวเอง
เหม่ออยู่สักพักแล้วอ่านต่อ
เมื่อลู่พั่นอ่านไปถึงก่อนที่ผู้บัญชาการของแคว้นเหยี่ยวจะเปิดฉากสงครามได้พาเหล่าลูกน้องไปตรวจสอบ ‘รถหุ้มเหล็ก’ แบบใหม่ มันถูกเรียกว่ารถถัง หลังจากอ่านคำอธิบายที่เกี่ยวกับรถถังทั้งหมดแล้วเขาก็นอนอ่านไม่ได้อีกต่อไป
ลู่พั่นลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิ สองมือประคองสมุดเก่าๆ ที่เรียบง่ายเสียจนไม่เป็นรูปเป็นร่าง สีหน้าเหมือนไม่อยากวางลง
นางคิดอย่างไรกันแน่ถึงจินตนาการของแบบนี้ออกมาได้
สมองของนางใส่อะไรไว้กันแน่
รถหุ้มเหล็ก หากเขามีอาวุธแบบนี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกลูกธนูยิงตายตั้งแต่ตอนทหารยังไม่ยิงปืนใหญ่ ด้วยเหตุนี้ท่านอ๋องเยี่ยนกับท่านพ่อของเขาถึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับดินประสิว
เขาเน้นย้ำเป็นหมื่นครั้งถึงพลังทำลายล้าง แต่พวกเขาก็ไม่สนใจ
ถ้าเช่นนั้น หากคนอยู่ในรถถังก็ไม่มีทางถูกลูกธนูยิงเข้า ขับมุ่งไปข้างหน้า ยิงปืนใหญ่ไปก่อน ถึงขั้นที่สามารถเป็นเกราะกำบังให้ทหารเดินเท้ากับทหารม้าที่อยู่ด้านหลังได้ด้วย
แต่ในนี้เขียนไว้ว่าน้ำมัน เติมน้ำมันลงไปในนั้นถึงจะสามารถทำให้รถถังเคลื่อนไปข้างหน้าได้ หมุนไปมาได้ ล้อสายพานเหล็กบดลงไปบนหิมะก็ไม่ลื่น บนเส้นทางที่เดินลำบากก็ไม่ต้องกลัว
ลู่พั่นคิด น้ำมันอะไรล่ะ
น้ำมันเอาไว้ใช้ทำอาหารมิใช่รึ จะทำให้เจ้าเหล็กเบ้อเร่อนั่นเดินหน้าได้อย่างไร
เอาเถอะ เขาถอนหายใจ
เด็กคนนั้น พอเขียนถึงตรงนี้จะต้องเริ่มเพ้อเจ้อจินตนาการบรรเจิดไปไกลแล้วแน่นอน
แต่มันทำออกมาไม่ได้จริงๆ เหรอ
ไม่มีความเป็นไปได้เลยสักนิดเหรอ
ไม่ ทันใดนั้นดวงตาของลู่พั่นก็เปล่งประกาย รีบพลิกสมุดเก่าๆ
จักรยาน ใช่ จักรยาน แล้วไปดูว่านางเขียนไว้ว่าอย่างไร จำได้ว่ามันใช้เท้าถีบ รถหุ้มเหล็กก็สามารถใช้เท้าถีบได้หรือเปล่า
“เอาพู่กันมา”
เสี่ยวเฉวียนจื่อรีบหุบปากที่หาวอยู่แล้ววิ่งไปเอากระดาษกับพู่กัน
คืนนี้คุณชายแปลกมากจริงๆ อ่านหนังสือบนเตียงยังไม่เท่าไร แต่นี่ยังจะขีดเขียนบนเตียงด้วย
หลังจากเสี่ยวเฉวียนจื่อเอากระดาษกับพู่กันเข้าไปให้แล้ว เขาก็ตัดไส้เทียนเพื่อให้สว่างขึ้นกว่าเดิม ขณะที่กำลังจะออกไปก็เห็นคุณชายกำลังยกพู่กันขึ้นมามองอย่างรังเกียจ
อยู่ๆ ลู่พั่นก็อยากได้ดินสอของซ่งฝูหลิงขึ้นมาแล้ว ก็ไม่รู้ว่าใช้อะไรวาด รู้สึกว่ามันดีกว่าของเขาอีก
แค่อยากวาดรถที่มีล้อ ทำไมใช้พู่กันมันยากขนาดนี้
“คุณชายต้องการเปลี่ยนไหมขอรับ”
“ออกไป เดี๋ยวก่อน”
ลู่พั่นชี้สมุดในมือ “พรุ่งนี้ทำสมุดแบบนี้ที่หนาขึ้นมาหน่อยให้ข้าหนึ่งเล่ม”
เล่นเอาเสี่ยวเฉวียนจื่อต้องทำทั้งคืนจนฟ้าใกล้สว่าง พากันหาวพร้อมบ่าวรับใช้ชายอีกสามคน
เทียนในห้องไม่ได้ดับทั้งคืน
เสี่ยวเฉวียนจื่อรู้สึกเสียใจอยู่นิดหน่อย ไม่สู้ว่าเสนอตัวขอไปรับแม่นางฝูหลิงคงดีกว่า อย่างน้อยที่สุดก็ได้นอนแบบอาจารย์ของเขา
ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก ลู่พั่นถือกระบี่ออกมา
ผลข้างเคียงจากการไม่ได้นอนทั้งคืนของเขาก็คือ ร้อนใจอยากฝึกต่อสู้ ร้อนใจอยากเดินออกมาจากเรื่องราวที่ซ่งฝูหลิงเขียน ร้อนใจอยากทำให้ตัวเองจิตใจสงบลงโดยเร็ว
ฟึ่บๆๆ กระบี่ถูกเหวี่ยงออกไปอย่างหนักหน่วง ลู่พั่นกระโดดอยู่ท่ามกลางแมกไม้ที่มีหิมะเกาะอยู่เต็ม
ฝึกตั้งแต่ฟ้าสลัวจนกระทั่งแสงเริ่มสาดส่องใบหน้าด้านข้างของเขา
มือถือกระบี่ล้ำค่า มองไปทางที่ดวงอาทิตย์ขึ้น
เขาถามตัวเอง ทำไมฝึกนานขนาดนี้แล้วสมองก็ยังคงวิเคราะห์ว่าทำไมซ่งฝูหลิงถึงเขียนเรื่องแบบนี้ออกมาได้ ทำไมผู้หญิงคนหนึ่งแค่เขียนสงครามสายฟ้าแลบก็เขียนออกมาได้ตื่นตาตื่นใจขนาดนี้ นางแต่งออกมาได้ยังไง
ในเวลาเดียวกัน เฉียนเพ่ยอิงเอาอาหารขึ้นโต๊ะบนเตียงเตาแล้ว มีทั้งถาด ทั้งชามตะเกียบ จัดวางเสร็จสรรพ ตักโจ๊กแล้วถึงเรียกซ่งฝูหลิงกับหมี่โซ่ว
“เด็กๆ พวกเจ้าสองคนตื่นได้แล้ว”
“โอ๊ย น่าหงุดหงิดชะมัด” ซ่งฝูหลิงลุกขึ้นมานั่งพร้อมผมยาวสยาย
ทุกเช้าพอนางตื่นขึ้นมาก็จะพูดแบบนี้
หมี่โซ่วคลุมตัวด้วยผ้าห่ม สีหน้าเหมือนยังไม่ตื่น ลุกขึ้นมานั่งก็พิงพี่สาว
เฉียนเพ่ยอิงหยิบตะเกียบยื่นให้เด็กทั้งสอง แต่สองคนนั้นหลับตาอยู่
นางจึงเปิดฝาครอบชามเล็กออก เอาจานที่ปิดจานกับข้าวออก
ซ่งฝูหลิงกับหมี่โซ่วทำจมูกฟุดฟิดพร้อมกัน ลืมตาพร้อมกัน
เฉียนเพ่ยอิงหัวเราะ “จอมตะกละทั้งสอง รีบกินเข้า พ่อเจ้าลุกขึ้นมาทำไข่ทอดกับต้มโจ๊กให้แต่เช้า เมื่อครู่ยังตั้งใจกลับมาอีกรอบ ทางนั้นผัดเครื่องปรุงกันอยู่ งานยุ่งมาก ยังกลับมาทำหมูแผ่นทอดให้เจ้าสองคนอีก มา ทาน้ำพริกหน่อย เอาไข่ม้วนหมูกินสิ กินโจ๊กหน่อย อย่ามัวแต่มอง”
ซ่งฝูหลิงยื่นมือไปรับ
“ลงไปล้างหน้าล้างตาแปรงฟันก่อน”
ซ่งฝูหลิงชักมือกลับมาตีหมี่โซ่ว “เจ้าไปล้างก่อนไป”
“ทำไมพี่สาวไม่ไปล่ะ”
“แปรงเสร็จแล้วมากิน กินเสร็จก็สกปรกอีกใช่ไหมล่ะ ลำดับที่ถูกต้องคือกินข้าวก่อน”
หมี่โซ่วพยักหน้า “มีเหตุผล”
มีเหตุผลกับผีสิ เฉียนเพ่ยอิงไล่เด็กทั้งสองคนลงจากเตียง
บนโต๊ะอาหาร ทันใดนั้นหมี่โซ่วก็ถามขึ้น “พี่สาว ท่านย่าบอกว่าพี่เป็นไส้เดือน เช่นนั้นข้าเป็นอะไรเหรอ”
ซ่งฟู่หลิงอ้าปากกัดหนึ่งคำ หอมจริงๆ พอได้ยินแบบนั้นก็ถามกลับ “คนอื่นบอกว่าข้าเป็นไส้เดือน ข้าก็ต้องเป็นไส้เดือนอย่างนั้นเหรอ”
“เช่นนั้นพี่เป็นอะไรล่ะ”
“เจ้าว่าอย่างไรล่ะ” นางกัดอีกคำ ถ้าใช้คำพูดของเฉียนเพ่ยอิงที่พูดถึงลูกสาวก็คือ ปากไม่ใหญ่ แต่กินเก่งไม่แพ้ใคร
“ไม่รู้ รู้แค่ว่าพี่รูปโฉมงดงาม กิริยาอ่อนช้อย เรียบร้อยอ่อนโยน”
“ฮ่าๆๆ”
เฉียนเพ่ยอิงก็หัวเราะตาม แต่ก็ตีซ่งฝูหลิงไปหนึ่งที เด็กคนนี้หัวเราะจนเห็นลิ้นไก่แล้ว สภาพดูไม่ได้
“หัวเราะเบาๆ หน่อย หัวเราะน่ากลัวแต่เช้าตรู่ ไม่เป็นมงคล”
ซ่งฝูหลิงไม่ยอม “ท่านแม่ หลักการอะไรกัน มีข้อเท็จจริงพิสูจน์คำพูดนี้หรือเปล่า”
หันไปบอกหมี่โซ่ว “เจ้าจำคำของพี่สาวไว้นะ ไม่ใช่ว่าคนอื่นบอกว่าเราเป็นอะไรเราก็ต้องเป็นตามนั้น แต่ถ้าเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นอะไรก็ต้องรู้จักตัวเองอย่างมีสติ”
“เช่นนั้นพี่คิดว่าตัวเองเป็นอะไรล่ะ”
“ข้าเป็นเหยี่ยว เหยี่ยวที่ไม่จำเป็นต้องเงยหน้ามองใคร จะเป็นเหยี่ยวแบบที่ไส้เดือนอย่างพวกเจ้าต้องเงยหน้ามอง หมี่โซ่ว วันหน้าเจ้าก็ต้องเป็นแบบนี้”
พูดจบซ่งฝูหลิงก็สะบัดน้ำมันที่ติดมือ “ท่านแม่ ห่อให้อีกอันสิ”
เฉียนเพ่ยอิงเพิ่งกินโจ๊ก เพิ่งจะได้นั่งลงบนเตียงเตา “ไส้เดือนไม่ม้วนให้เหยี่ยว ม้วนเองสิ”
เสียงของซุ่นจื่อดังมาจากด้านนอก “ทุกท่าน ข้ามาแล้ว ไอ๊หยากินข้าวกันอยู่เหรอ”
ท่านลุงซ่งถาม “เจ้ากินหรือยัง”
“ยังเลย”