ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 393
ซ่งฝูเซิงเข้าบ้านมาก็ยกจานหมูแผ่นไป
หมี่โซ่วถลึงตามองชามตัวเอง “ข้ายังไม่ทันได้ม้วนเลยนะ”
ซ่งฝูหลิงเอาตะเกียบชี้จานที่กำลังลอยไปไกลด้วยความอาลัยอาวรณ์ “ท่านพ่อ ไม่สนใจจะทิ้งไว้สักสองแผ่นเหรอ”
เฉียนเพ่ยอิงพูด “พอได้แล้ว เจ้าสองคนกินนิดหน่อยก็พอแล้ว มีแขกมาบ้าน เช้าตรู่พวกเขายังไม่ได้ทำอะไร ยังอย่างไรก็ต้องให้มีเนื้อสัตว์ไปบ้าง ใครใช้ให้พวกเจ้าตื่นสายขนาดนี้ล่ะ”
จากนั้นก็เร่งซ่งฝูหลิงให้ไปล้างหน้าหวีผม เมื่อครู่รีบร้อนมากินจึงได้แค่แปรงฟัน
ดูเอาแล้วกัน ไม่ยอมให้นางพับผ้าห่ม เด็กสองคนเอาผ้ามาห่มนั่งกินไปด้วย
“กินเสร็จหมี่โซ่วก็ออกไปก่อนนะ พี่สาวเจ้าจะเปลี่ยนชุด ไปบ้านท่านย่า ทบทวนอักษรที่เรียนเมื่อวาน ดีไหม”
“แต่ข้าท่องได้หมดแล้ว”
“ได้แล้วก็อย่าหลงระเริง ถ่อมตัวจะทำให้ก้าวหน้า”
ภายในห้องเหลือเพียงสองแม่ลูก
ซ่งฝูหลิงเอาผ้าห่มคลุมหัว อดทนต่อความหนาวรีบถอดชุดนอนออก จากนั้นก็คว้าชุดที่กางอยู่บนเตียงเข้าไปแต่งตัวในผ้าห่ม
เฉียนเพ่ยอิงออกไปปิดประตูให้สนิท พอกลับเข้ามาก็หน้านิ่ว “จะใส่ชุดนี้จริงเหรอ”
ซ่งฝูหลิงส่ายมือพลางพูด “ใส่ชุดไหนก็เหมือนกัน ข้าไม่ได้ไปเลือกคู่ดูตัวสักหน่อย”
เรื่องไม่เป็นเรื่อง จะทำให้ท่านย่าของนางไม่สบายใจไปทำไม
นางไปไม่นานเดี๋ยวก็กลับ แถมยังต้องรอกลับพร้อมพวกท่านย่าที่ร้านขนมด้วย
พอถึงตอนนั้น ถ้าให้ท่านย่าเห็นว่านางไม่ได้ใส่ จะโมโหขนาดไหน เดิมทีเมื่อคืนก็โมโหมากอยู่แล้ว
ทำให้หญิงสูงวัยที่ใช้ชีวิตอย่างรอบคอบคนหนึ่งจ่ายเงินมากขนาดนั้นเป็นครั้งแรก ไม่ง่ายเลยจริงๆ ใช่ไหมล่ะ ครั้งแรกก็อย่าเพิ่งทำร้ายกันเลย ครั้งต่อไปค่อยทำ
เฉียนเพ่ยอิงยื่นชุดคลุมมีหมวกให้ “ใส่ตัวนี้ไปด้วย สีบนตัวเจ้าใกล้มีครบแล้ว ขาดแค่สีน้ำเงิน”
จากนั้นก็หยิบรองเท้าปักลายของลูกสาวขึ้นมามองซ้ายมองขวา พูดด้วยความแปลกใจ
“เอ๊ะลูกแม่ จะว่าไปมันก็สวยดีนะ เจ้าว่ามันปักอย่างไร งานละเอียด นกตัวน้อยกางปีกอย่างกับบินได้จริงๆ มิน่าถึงได้แพงขนาดนี้ นี่ก็คือศิลปวัฒนธรรมแบบจับต้องไม่ได้ที่ลูกว่าหรือเปล่า ถ้าให้ข้าเย็บแบบนี้สักคู่นะ ตาคงบอดก่อน”
ขณะพูดก็เอาแผ่นรองเท้ายัดเข้าไปในรองเท้าของลูกสาว
“มันคับ”
“คับก็ดีกว่าหนาว เร็วเข้า เดี๋ยวข้าหวีผมให้”
“ท่านแม่รังเกียจว่าสีบนตัวข้าที่มันเยอะแยะ แต่ก็ยังจะใช้เชือกแดงมัดผมให้อีก ท่านแม่จงใจใช่ไหม”
ซ่งฝูหลิงเอาบาล์มกันปากแตกทาที่ปาก
ในเวลาเดียวกันภายในห้องชุมนุม
ซุ่นจื่อกำลังตักน้ำมันพริกราดใส่น้ำแกงเต้าหู้ผักกาดขาว ตักใส่หลายช้อนเลยทีเดียว
มือข้างหนึ่งถือหมั่นโถวที่ถูกเขาแหวกออกเป็นสองฝั่ง ตรงกลางคีบหมูใส่ลงไปสองแผ่น
กัดหมั่นโถวยัดไส้คำโต ตามด้วยน้ำแกงเต้าหู้ผักกาดขาวคำใหญ่ คีบหัวไชเท้าฝอยเข้าปาก
กินจนเหงื่อแตกมาสักพักแล้ว
เอาพริกใส่ในน้ำแกงอย่างอุกอาจ กินแค่พริกที่อยู่ในน้ำมันพริกก็หอมเหมือนกัน
เขากินหมั่นโถวเป็นลูกที่สามแล้ว
ท่านลุงซ่งยังคิดอยู่ว่า ทำอย่างไรดี รีบทำอาหารเพิ่มอีกมื้อดีกว่า ในกระจาดเหลือพอแค่ให้ซุ่นจื่อกินคนเดียวแล้ว
ซุ่นจื่อยังมาพร้อมบ่าวรับใช้ที่คุมรถม้าด้วยอีกสองคน
ซุ่นจื่อยกชามซดน้ำแกงอึกใหญ่ โบกมือพลางพูด “ไม่ต้องสนใจสองคนนั้น พวกเขากินมาแล้ว มีแค่ข้าที่ยังไม่ได้กิน”
หมี่โซ่วเปิดประตูห้อง
“เอ๊ะ คุณชายน้อยหมี่โซ่ว ซุ่นจื่อน้อมทักทายขอรับ”
หมี่โซ่วเข้าไปหาซุ่นจื่อ “พี่แม่ทัพเล็กไม่ได้เรียกข้าไปด้วยจริงๆ เหรอ”
“คุณชายน้อยทำเป็นเหรอ ทำแบบจำลองเป็นทั้งหมดเลยเหรอ”
“เปล่า พี่สาวให้ติดอะไร ข้าก็ติดตรงนั้น”
“เช่นนั้นก็ไปไม่ได้หรอก ครั้งนี้เป็นการเป็นงาน แต่คุณชายของข้าบอกว่า ครั้งหน้า อืม เขาคิดถึงคุณชายน้อยมาก”
ซุ่นจื่อโกหกหลอกเด็ก เขาได้ถามที่ไหนกัน ได้ยินว่าคุณชายของเขาอ่านนิยายนั่นทั้งคืน
กลับเป็นท่านลุงซ่งที่ซักถามอย่างละเอียดว่าทำไมให้พั่งยาไป โต๊ะนั่นลุงรองของพั่งยาเป็นคนทำต่างหาก
ซุ่นจื่อทำท่าทางมีลับลมคมใน กระซิบบอกด้วยเสียงที่เบามาก “ท่านลุงคิดว่าเป็นเรื่องโต๊ะเหรอ เส้นทางต่างหาก ท่านลุงกระเถิบหูมานี่ คือว่า…”
ท่านลุงซ่งกระจ่างในทันที ไอ๊หยา ที่แท้เรื่องก็เป็นแบบนี้
ซุ่นจื่อเองก็ได้รู้อย่างกระจ่างจากการสนทนากับหมี่โซ่วและท่านลุงซ่ง อย่าว่าแต่คนอื่นเลย ต่อให้เป็นซ่งฝูเซิงก็ทำไม่เป็น เพราะซ่งฝูเซิงไม่ได้ร่วมด้วยแม้แต่น้อย ครั้งนี้เขามีคำพูดเถียงซ่งฝูเซิงแล้ว มีเหตุผลที่ไม่ให้ตามไปแล้ว
ไว้ถึงเวลาเขาจะพูดว่า คุณชายของพวกเราก็อยากเชิญท่านไป แต่พวกท่านย่าหม่าต่างบอกว่าท่านทำไม่เป็น ช่วยไม่ได้ คุณชายถึงจำต้องเชิญลูกสาวของท่านให้ออกหน้า
คิดไว้ตั้งมากมาย แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้ใช้
ซ่งฝูเซิงแค่ถามในสิ่งที่เขาเป็นห่วงอยู่สองสามเรื่อง เสนอว่าให้ซื่อจ้วงตามไปด้วย ไม่ได้พูดถึงว่าตัวเองจะตามไปด้วยแม้แต่น้อย
ท่าทางดูวางใจมาก
อันที่จริงเขาพูดกับซื่อจ้วงเป็นการส่วนตัวแบบนี้
“ข้าต้องตัดพริกที่บ้าน เดี๋ยวจะมีคนมาเอาของจ่ายเงินอีก เจ้าตามไป…
…พอไปถึงในเมืองก็ให้หยุดที่ร้านขนมแล้วให้เป่าจูไปกับฝูหลิงด้วย…
…เป่าจูจะช่วยอะไรได้ไหม อย่างไรก็ต้องใช้นาง นางรู้ว่าควรพูดหรือทำอย่างไรในบ้านตระกูลใหญ่ และก็มีแค่นางที่รู้เรื่องพวกนี้ อีกทั้งยังมีน้ำใจกับพวกเรา คอยเอาใจใส่ช่วยเตือนได้…
…แน่นอนว่าถ้ารู้สึกไม่ชอบมาพากล เจ้าก็ให้ความร่วมมือกับฝูหลิงแอบหนีออกมา ฝูหลิงรู้จักประเมินตัวเอง เอาความสบายใจของตัวเองเป็นหลัก ไม่มีความสุขพวกเจ้าก็กลับมา ไม่ต้องคิดถึงผลที่จะตามมา…
…อย่างมากพอถึงเวลา ข้าก็จะบอกว่าเจ้าพูดไม่ได้ ไม่เข้าใจความหมายของเจ้านาย โยนไปที่เจ้า พวกเขาก็ไม่มีทางตำหนิอะไรมาก”
เดิมทีซื่อจ้วงกำลังลังเล ไม่ชอบอยู่กับคุณหนูเล็กตามลำพัง
แต่พอได้ยินว่ามีเป่าจู ไม่เพียงแต่จะพยักหน้าอย่างเต็มใจ ทั้งยังยื่นมือขอเงินซ่งฝูเซิงแบบที่เห็นได้ยาก แถมยังขอเยอะอีกด้วย
ตอนนั้นซ่งฝูเซิงยังงงอยู่ หมอนี่จะเอาเงินมากขนาดนี้ไปทำอะไร
ให้ครึ่งตำลึงไม่พอ ยังยื่นมือมาขออีก
รถม้าดูธรรมดา แม้แต่ม้าที่ลากรถยังมีแค่สองตัว เป็นม้าสีแดงกับสีดำอย่างละตัว
ภายนอกดูเป็นรถม้าเชยๆ
แม้แต่ซ่งฝูเซิงยังนึกไม่ถึงว่าข้างในแตกต่างกันอย่างลิบลับ รู้สึกเพียงว่าขนาดของรถม้าคันนี้ใหญ่พอสมควร
ระหว่างทาง ซ่งฝูหลิงใส่รองเท้าปักลายเหยียบพรมบุขน นั่งพิงหมอนอิงใบนุ่ม ศึกษากลไกต่างๆ ภายในตัวรถ กางโต๊ะตัวเล็กออกมาได้ด้วย
ชงชาได้ เขียนหนังสือได้
ยังมีกระบอกพู่กันกับลังหนังสือที่ภายในจัดเรียงหนังสืออย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ขณะที่ซ่งฝูหลิงเอี้ยวตัวจะไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่ง ทันใดนั้นก็พบว่าข้างใต้ที่นั่งมีกาขนาดเล็กหนึ่งใบ กำลังส่องประกายสีทองมาที่นาง
นางหยิบขึ้นมาเคาะ อ๋อ ไม่ได้ทำจากทอง ดูเหมือนจะเป็นทองแดงนะ แต่ทำไมมันเปล่งประกายได้ขนาดนี้
นางลองดม ก็ไม่ใช่กาเหล้า
จากนั้นก็วางกลับไปที่เดิมด้วยความระมัดระวัง
เรื่องที่ซ่งฝูหลิงไม่รู้ก็คือ นั่นเป็นกระโถนที่ลู่พั่นใช้ปลดทุกข์เวลาอยู่บนรถ
ภายในซอยมีอยู่บ้านเดียว ป้ายข้างหน้าเขียนว่า ‘เจ๋อหยวน’
เป่าจูลงจากรถก่อน ประคองซ่งฝูหลิงลงจากรถม้าด้วยความระมัดระวังเหมือนกับที่เคยประคองคุณหนูสามสกุลลู่
ขณะที่ซุ่นจื่อกำลังจะเคาะประตู ทันใดนั้นประตูบานใหญ่ก็ถูกเปิดออกจากด้านในทั้งสองฝั่ง
ลู่พั่นอยู่ในชุดสีน้ำเงิน ปรากฏขึ้นตรงหน้าซ่งฝูหลิง
หมวกที่อยู่ติดกับผ้าคลุมของซ่งฝูหลิงถูกลมพัดหลุดออกในเวลานี้พอดี เผยให้เห็นใบหน้าของนาง
พอเห็นสีน้ำเงิน ความคิดแรกของซ่งฝูหลิงก็คือ เมื่อเช้าแม่เพิ่งพูดอยู่หยกๆ ว่าขาดสีน้ำเงิน ได้เรื่อง ปรากฏว่าคุณชายลู่น้ำเงินทั้งตัว พวกเราสองคนอยู่ด้วยกันไม่ใช่แค่เหมือนสัญญาณไฟ ยังเป็นจานผสมสีด้วย