ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 394 / ตอนที่ 395
ตอนที่ 394
เจอกันครั้งนี้เป็นทางการมาก
เหล่าสวี่ พ่อบ้านใหญ่ของ ‘เจ๋อหยวน’ ซึ่งก็คือพ่อแท้ๆ ของซุ่นจื่อ พอได้ยินว่าวันนี้คุณชายจะมา เขาก็ให้ทุกคนในเจ๋อหยวนลุกขึ้นมาทำงานกันแต่เช้าตรู่
เวลานี้ลู่พั่นมองเป่าจูช่วยเอาหมวกคลุมกลับศีรษะซ่งฝูหลิง แล้วถึงหันมาเดินนำซ่งฝูหลิงก้าวเข้าเจ๋อหยวนผ่านประตูตรงกลาง
ริมทางเดินสองฝั่ง มีสาวใช้ทุกสองก้าว ยืนเรียงกันเป็นแถวกำลังทำความเคารพ
ลู่พั่นสาวเท้าเดินอยู่ข้างหน้า
ซ่งฝูหลิงเดินตามหลังอย่างเงียบๆ โดยมีเป่าจูเดินอยู่เป็นเพื่อน
พอพวกเขาเดินผ่านบริเวณไหน บรรดาสาวใช้ที่อยู่บริเวณนั้นก็จะจ้องที่พื้น บ้างก็กะพริบตาปริบๆ บ้างก็แอบเหลือบมอง บ้างก็มีรอยยิ้มตามหน้าที่ สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ทว่าสิ่งที่เหมือนกันก็คือ ภายในใจของสาวใช้แต่ละคนต่างกำลังหวาดหวั่น
เมื่อครู่ คนที่เดินผ่านหน้าไปเป็นแม่นางที่สวมรองเท้าสีเขียวปักลาย
อีกทั้งแม่นางคนนี้ยังนำของขวัญมาด้วย ดูสิ พวกท่านซุ่นจื่อกำลังหอบของเดินตามหลังอยู่
แต่ของขวัญนั่น บางชิ้นดูแล้วแปลกประหลาดมาก คล้ายกับไม้กระดาน?
บางชิ้นทำไมพวกนางรู้สึกว่านั่นคือเข่งล่ะ
ถูกต้อง ซ่งฝูหลิงเอาผักมาด้วย
ท่านทวดจะให้เอามาให้ได้
ตอนซุ่นจื่อปฏิเสธก็พูดแล้วว่า ในจวนมีผักทุกอย่าง
แต่ท่านทวดถามกลับ “แล้วในจวนมีพริกหรือเปล่าล่ะ”
“ไม่มี”
“เช่นนั้นก็ถูกแล้ว”
จากนั้นท่านทวดก็เร่งพ่อของนาง จะให้เด็ดพริกเอาไปด้วยให้ได้ แถมยังให้เด็ดมากหน่อย บอกว่าไม่กลัวหนัก เอารถมาไม่ใช่เหรอ จากนั้นก็เรียกคนแก่หลายคนไปช่วยกันตัดกระเทียมเหลืองในแปลงเพาะปลูกใต้ดินกันอย่างขมีขมัน
ผักพวกนี้ ซุ่นจื่อพยายามห้ามแล้วห้ามอีก สุดท้ายก็ใส่มาหนึ่งเข่ง
ถ้าไม่ห้าม คงไม่ใช่แค่สองสามเข่งแน่นอน
ตอนนั้นซุ่นจื่อเองก็จนปัญญา เพราะเขาไม่กล้าเอากระเทียมเหลืองใส่เข้าไปในรถ จึงนั่งกอดมาตลอดทาง โชคดีที่เอาบ่าวรับใช้ติดมาด้วยสองคน
ซ่งฝูหลิงมองบ่ากว้างของลู่พั่นที่อยู่ข้างหน้าด้วยสายตาสงสัย
ทำไมเลี้ยวล่ะ
ไม่ไปห้องโถงกลางเหรอ
ลู่พั่นตั้งใจจะพาซ่งฝูหลิงไปที่ห้องโถงรับรองแขก
เขาเดินอยู่ข้างหน้า ทันใดนั้นก็หยุดลง หันกลับไปมองสาวน้อยที่ถูกเขาทิ้งระยะห่างมาไกล
รอแล้วรอเล่า จนกระทั่งซ่งฝูหลิงเข้ามาใกล้แล้วใช้สายตาสงสัยมองเขา ราวกับกำลังถามว่า ‘หยุดทำไม’
ลู่พั่นถึงได้หันกลับไปด้วยท่าทางปกติแล้วเดินนำทางอยู่ข้างหน้าต่อ
เขาได้ยินสาวน้อยที่อยู่ด้านหลังถามสาวใช้ข้างกายด้วยเสียงที่เบามาก “ทำไมมือเจ้าสั่นล่ะ หนาวเหรอ”
เป่าจูมองแผ่นหลังที่อยู่ด้านหน้า นางรีบส่ายหน้า ประคองซ่งฝูหลิงด้วยความระมัดระวังยิ่งกว่าเดิม
อย่าว่าแต่พวกสาวใช้ในเจ๋อหยวนที่กำลังพึมพำด้วยความหวาดหวั่น แม้แต่เป่าจูก็หัวใจเต้นเร็ว นางคิด
เมื่อครู่คุณชายจงใจหยุดรอแม่นางซ่งเหรอ
โอ้คุณพระ
คุณชายมีด้านแบบนี้ด้วย
ณ ห้องโถงรับรองแขก
สาวใช้สองคนแหวกม่านออก
ลู่พั่นยืนอยู่ตรงกลางห้องโถง หลังจากซ่งฝูหลิงนั่งลงแล้วเขาถึงขยับเท้า นั่งลงบนเก้าอี้เสมอกันที่ถูกกั้นด้วยโต๊ะน้ำชาอย่างเป็นธรรมชาติ
ทั้งสองคนกำลังรอน้ำชา
นั่งข้างกันอยู่ตรงนั้น สายตามองไปข้างหน้า
น้ำชาเริ่มถูกทยอยนำมาขึ้นโต๊ะ
ผลไม้เชื่อมสี่อย่างถูกนำมาวาง จานแล้วจานเล่า
ลู่พั่นยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ หันตัวเล็กน้อยเพื่อบอกให้ซ่งฝูหลิงก็ดื่มชา ดื่มก่อนค่อยคุยกัน
ปรากฏว่าเขาเหลือบมองการแต่งตัวของซ่งฝูหลิง นางก้มหน้าจิบชา จากนั้นเขาก็กวาดตามองชุดของซ่งฝูหลิงอย่างรวดเร็วแบบที่ควบคุมไม่ได้
ซ่งฝูหลิงเหลือบเห็น รู้สึกได้ว่าลู่พั่นกำลังมองนางอยู่ จึงหันหน้าไป ขณะที่กำลังจะพูดซุ่นจื่อก็อุ้มกระดานเข้ามา
“คุณชาย แม่นางซ่ง” หลังจากโค้งตัวทักทายแล้วซุ่นจื่อถึงหันไปขอคำชี้แนะจากซ่งฝูหลิงว่าจะให้เอากระดานวางตรงไหน
วางตรงไหนน่ะเหรอ
ซ่งฝูหลิงมองลู่พั่น “คุณชายลู่อยากเรียนตรงไหนหรือเจ้าคะ”
ซ่งฝูหลิงเอากระดานดำมาด้วย
ตอนที่ 395
ก่อนมา
ตอนที่ท่านย่าหม่ากับซ่งฝูเซิงทะเลาะกัน เรื่องที่ซ่งฝูหลิงคิดอยู่ในสมองไม่ใช่เรื่องจะใส่ชุดไหน และก็ไม่ใช่เรื่องชายหญิงต้องระมัดระวัง
นางเพิ่งจะอายุสิบสาม เกิดเดือนแปด
อันที่จริงเดือนแปดปีหน้าถึงจะอายุครบสิบสามด้วยซ้ำ
ในความคิดของซ่งฝูหลิง จะยุคโบราณหรือไม่โบราณ นางก็เป็นเพียงเด็กอายุสิบสองสิบสาม เป็นวัยดูการ์ตูนแกะสี่หยางหยางกับหมาป่าฮุยไท่หลัง
ไม่ได้คิดเรื่องพวกนั้นแม้แต่น้อย
ยังงงอยู่ว่าท่านพ่อกับท่านย่าของนางทะเลาะอะไรกัน กำลังอาศัยเรื่องของนางมาถกเถียงความสิ้นไร้ไม้ตอกของระบบชนชั้นศักดินาในสมัยโบราณอย่างนั้นเหรอ
แต่สิ่งที่นางคิดก็คือ พรุ่งนี้จะสอนอย่างไรไม่ให้ยุ่งยาก ไม่เสียเวลา สอนเสร็จโดยเร็ว
จะให้ดีสอนเสร็จตอนเช้าโดยใช้เวลาหนึ่งชั่วโมง แบบนี้ตอนเที่ยงจะได้ไปที่ร้านท่านย่า กินข้าวกลางวันได้พอดี
อีกทั้งซ่งฝูหลิงก็พอเดาได้อยู่บ้างว่าลู่พั่นจะต้องติดปัญหาเรื่องอัตราส่วนแน่นอนถึงได้เรียกนางมา
นางคิด ได้ยินว่าที่นี่ อาจารย์ที่สอนอยู่ข้างนอกจะเขียนใส่กระดาษให้เสร็จแล้วให้พวกนักเรียนเข้ามาดู ห้องหนึ่งมีอาจารย์หนึ่งคนรับนักเรียนได้แค่ไม่กี่คน และก็ไม่มีความคิดเรื่องกระดานดำด้วยซ้ำ
รูปแบบคล้ายกับคลาสเรียนเล็กๆ ในยุคปัจจุบันที่มีนักเรียนแค่สิบกว่าคน
แต่นางไม่ไหว นี่ถ้าเนื้อหาเยอะมาก กว่าจะเขียนเสร็จ แถมยังต้องใช้พู่กันที่นางไม่ถนัด บวกกับต้องอธิบายอีก เสียเวลาเกินไป
แบบนั้นต้องสอนไปถึงเมื่อไร
ดังนั้นก่อนเข้านอนเมื่อคืนนางจึงบอกท่านพ่อว่าอยากเอากระดานดำอันเล็กในห้องเรียนของพวกเด็กๆ ไปด้วย
ตอนนั้นซ่งฝูเซิงได้ฟังก็ดวงตาเปล่งประกาย
ความคิดดี คนหนึ่งอธิบายอยู่ด้านหน้า อีกคนนั่งเรียน เว้นระยะห่างไกลๆ
ตรงไหนที่ไม่เข้าใจก็ไม่ต้องขยับเข้ามาอธิบายกันใกล้ๆ
เขาจึงให้ซ่งฝูสี่พี่ชายคนรองเร่งทำขาตั้งกระดานดำทั้งคืน
เดิมทีกระดานดำแผ่นนั้นถูกติดไว้ที่ผนังห้องชุมนุมด้วยกาวกระเพาะปลา เพื่อให้เด็กๆ เอาไว้ใช้เรียน ซ่งฝูเซิงจัดการถอนออกมา
นี่จึงเป็นเหตุให้ต้องนำกระดานดำมาด้วย
ภายในห้องโถงรับรองแขกอันอบอุ่น
ซ่งฝูหลิงเริ่มเป็นฝ่ายจู่โจมถามตั้งแต่เมื่อไหร่ ลู่พั่นก็ไม่รู้
รู้เพียงว่าถูกถามเป็นชุด
“คุณชายลู่ โต๊ะที่จะทำแบบจำลองล่ะเจ้าคะ”
“ยังไม่ได้ทำ”
“ต้องการทำใหญ่แค่ไหน”
“ยังไม่ได้คิด”
ซ่งฝูหลิงพยายามอดกลั้นความรู้สึกอยากถอนหายใจ
ไม่ได้ทำอะไรสักอย่างก็เรียกข้ามาก่อน
แบบนี้ไม่ไหวนะ ทำอะไรไม่มีวางแผน
ทำแบบนี้ ดีไม่ดีข้าคงต้องมาอีกรอบ
“ก็หมายความว่าไม่มีอะไรสักอย่างใช่หรือไม่”
ลู่พั่นจิบชา “ใช่”
ซ่งฝูหลิงพยักหน้าเพื่อแสดงออกว่าเข้าใจแล้ว
“คุณชายลู่ ข้าขอเรียนคุณชายดังนี้ก่อน อย่างโต๊ะแบบจำลองของข้าอันนั้น ซึ่งก็คืออันที่คุณชายเห็นในร้านขนมเค้ก ของที่ใช้บนนั้นอย่าง หลุมบ่อ ทรายละเอียด ดินเหนียว พื้นผิวต่างๆ แถบผ้าหลากสีที่แสดงถึงถนนหรือแม่น้ำ สีและขี้เลื่อยที่เอามาย้อมเพื่อทำเป็นสภาพพื้นผิว ป้ายกระดาษต่างๆ เชือก ผงยิปซัม ที่เอามาใช้อธิบายถึงสิ่งปลูกสร้างภายในเมือง พื้นที่สูง หรืออื่นๆ ทั้งหมดนี้ข้าได้บอกพวกเขาไปแล้ว บ่าวรับใช้ของคุณชายกำลังส่งคนไปตามหาอยู่เจ้าค่ะ”
ซุ่นจื่อรีบโค้งตัวพยักหน้าอยู่ข้างๆ คนที่เขาส่งไปเป็นบ่าวรับใช้กับพ่อบ้านที่ตามเขาไปด้วย และยังมีสาวใช้ใหญ่มู่จิ่นที่เดิมทีเตรียมไว้ให้อยู่เป็นเพื่อนซ่งฝูหลิง
ซุ่นจื่อจัดการให้รีบออกไปซื้อของพวกนี้กลับมาที่เจ๋อหยวนโดยเร็วที่สุด คาดว่าใกล้กลับมาแล้ว พยายามไม่ให้ส่งผลต่อการใช้งานของคุณชายกับซ่งฝูหลิงในอีกชั่วครู่
อันที่จริงซ่งฝูหลิงยังให้ซุ่นจื่อเตรียมไม้เสียบมาด้วยนิดหน่อย
แต่นางไม่ได้แยกพูด
ไม้เสียบใช้สำหรับแสดงถึงธงทหาร สัญลักษณ์หน่วย เลขหน่วย ที่กำลังปฏิบัติการในสงครามได้ เรื่องนี้ก็ต้องแล้วแต่ลู่พั่น
ซ่งฝูหลิงคิดในใจ ไม่ได้นะ จะมานั่งรออยู่เฉยๆ ไม่ได้ สอนดีกว่า เอาเลย ไม่กระทบ
นางลุกขึ้นถาม “คุณชายลู่เริ่มตอนนี้เลยไหมเจ้าคะ”
“หืม?” จำนวนครั้งที่อึ้งในวันนี้เยอะกว่าที่ลู่พั่นอึ้งมาทั้งปี
สอนอะไร อุปกรณ์กำลังไปหาซื้อมาไม่ใช่เหรอ
เขายังไม่ได้ถามเกี่ยวกับโต๊ะแบบจำลองนั่นว่าซ่งฝูหลิงคิดยังไง
โดยเฉพาะเรื่องตำแหน่งที่ตั้งของแต่ละแคว้น
กำหนดขนาดส่งเดชตามที่สมองคิดได้ หรือว่ามีสูตรคำนวณเป็นของตัวเอง
อีกทั้งเขายังไม่ได้บอกซ่งฝูหลิงว่าให้นางผ่อนคลายหน่อย ที่เรียกมาก็แค่อยากถามความคิดเห็นของนาง พูดได้ตามสบาย ไม่ต้องกลัวว่าจะพูดผิด…
เขายังไม่ทันได้พูดอะไร ซ่งฝูหลิงก็ไปยืนอยู่หน้ากระดานดำ เริ่มพูดพร้อมเขียนไปด้วยแล้ว
“ต่อไปข้าจะพูดสามคำนี้อยู่บ่อยๆ มาตราการวัด มาตราการวัดแนวนอน มาตราการวัดแนวตั้ง”
ลู่พั่นขมวดคิ้ว “อะไรคือมาตราการวัด”
ซ่งฝูหลิงที่อยู่ในชุดสีชมพู กระโปรงส้มอ่อน รองเท้าเขียว มัดผมซาลาเปาสองข้างหันมาตอบ “เป็นการเรียกแบบรวบยอด มาตราการวัดแสดงถึงการเปรียบเทียบระหว่างความยาวที่อยู่บนรูปกับความยาวจริงของพื้นผิวที่สอดคล้องกัน เราจะต้องนำขนาดพื้นที่จริงมาย่อให้ขนาดเล็กลงตามอัตราส่วนที่กำหนดเพื่อนำไปใช้ในโต๊ะแบบจำลอง จะให้พูดอะไรที่ซับซ้อนแบบนี้ทุกครั้งไม่ได้ เราจะใช้คำแทนมัน” พูดจบก็วงรอบคำว่า ‘มาตราการวัด’
พร้อมเตือนลู่พั่น “ข้าแนะนำให้คุณชายเอาสมุดมาจดนะเจ้าคะ”
“รอเดี๋ยว เจ้าใช้อะไรเขียน”
“ชอล์ก เรื่องนี้ไม่สำคัญ คุณชายไปเอาสมุดมาจดดีกว่าเจ้าค่ะ”
ลู่พั่น “…ได้”
เป่าจูก้มหน้าตลอด
ซุ่นจื่อยืนแนบชิดกำแพงด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
พ่อของซุ่นจื่อที่เป็นพ่อบ้านใหญ่ของเจ๋อหยวน เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินบทสนทนาแบบนี้ อึ้งไปนานสองนาน จากนั้นถึงหันไปขมวดคิ้วใส่สาวใช้ที่อึ้งเช่นกัน ใช้ลมหายใจฮึดฮัดบอกให้ไปหยิบกระดาษกับพู่กันมา
ซ่งฝูหลิงหันกลับแล้วพูดต่อ อธิบายมาตรการวัดแนวนอนกับมาตรการวัดแนวตั้ง พลางเขียนสูตร
จากนั้นก็ถามลู่พั่น “คุณชายลู่เข้าใจไหมเจ้าคะ”
ลู่พั่นมองร่างเล็กที่หันหลังให้เขา “เข้าใจแล้ว”
ซ่งฝูหลิงเขียนเสร็จพอดีหันกลับมา พยักหน้าให้ลู่พั่นด้วยความพอใจ
“ข้าคิดว่า จะทำแบบจำลองใหญ่ขนาดไหนก็ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์และเงื่อนไข…
…ตอนที่ข้าแต่งเรื่อง เพราะภูมิหลังของแต่ละแคว้นในเนื้อเรื่อง ข้าจึงคิดว่าพื้นที่มันกว้างมาก และโต๊ะแบบจำลองของข้าจะทำใหญ่มากไม่ได้ อัตราส่วนของข้าจึงเป็นหนึ่งต่อหลายหมื่น…
…ถ้าปกติ ปกติต้องมากกว่าหนึ่งต่อหนึ่งพัน…
…แต่นี่ก็แล้วแต่ กำหนดเอาตามขนาดโต๊ะของคุณชายเจ้าค่ะ”
ลู่พั่นอยากถามเหลือเกิน ตรงนี้มีคำถามนิดหน่อย
ราวกับซ่งฝูหลิงเดาได้ นางทำมือบอกให้ใจเย็นๆ ฟังนางให้จบก่อน “ดังนั้น เพื่อให้คุณชายเข้าใจอัตราส่วนที่ข้าพูดถึงได้อย่างกระจ่าง ข้าจะเขียนตัวอย่างให้ดู มองบนกระดานดำเจ้าค่ะ”
แม้แต่พ่อของซุ่นจื่อก็ยังอดเงยหน้ามองบนกระดานดำไม่ได้
ถูกซุ่นจื่อส่งสายตา ไล่ให้ออกไป
ซุ่นจื่อขยิบตาให้เป่าจูรวมถึงสาวใช้คนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องโถงรับรองแขก ทุกคนต่างออกไปข้างนอกอย่างเงียบๆ
เพราะซุ่นจื่อสังหรณ์ใจ
ลางสังหรณ์บอกเขาว่า มีความเป็นไปได้ที่คุณชายของเขาจะฟังไม่เข้าใจจริงๆ อาจจะต้องเกิดสถานการณ์ที่แสดงความโง่เขลาออกมาก็ได้
แม่นางซ่งกลับไปยังไม่เท่าไร แต่พอถึงเวลาพวกเขาที่เห็นคุณชายหน้าเสียกับตา เดี๋ยวได้ซวยกันหมด
จากนั้นคนที่เฝ้าอยู่ข้างนอกเหล่านี้ก็ได้ยินเสียงซ่งฝูหลิงลางๆ
“คุณชายอยากย่อขนาดพื้นที่ที่ยาวสองร้อยลี้ กว้างหนึ่งร้อยสี่สิบลี้ลงบนแบบจำลอง ดูตรงนี้เจ้าค่ะ…
…พวกเรายกตัวอย่างที่อัตราส่วนหนึ่งต่อสองหมื่นห้า แบบนี้เราก็จะคำนวณออกมาได้แล้ว คุณชายก็นำตัวเลขนี้มาคำนวณแบบนับทบ เทียบด้วยอัตราส่วนหนึ่งต่อสองหมื่นห้านี้”
ลู่พั่นจำต้องลุกขึ้น เปิดม่านออก ให้สาวใช้ไปเอาอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับนับทบมา
เป็นอุปกรณ์ที่ทำมาจากก้านไม้ไผ่ หนึ่งมัดมีสองร้อยเจ็ดสิบกว่าก้าน ใส่ไว้ในถุงผ้า ลู่พั่นมีเยอะมาก เอาไว้ใช้เวลานับเลขและคำนวณ เอาของพวกนี้ออกมาแล้ววางเรียงแนวตั้งแนวนอนให้สอดคล้องกับจำนวน
เขายังมีหนังสือที่คล้ายกับสูตรคูณในยุคปัจจุบัน ทำมาจากไม้
หันกลับมา “เจ้าบอกจำนวนที่เจ้าได้มาก่อน”
ซ่งฝูหลิงพยักหน้า
“แล้วเราก็จะได้โต๊ะแบบจำลองที่คุณชายต้องการอยู่ที่ยาวประมาณยี่สิบสี่คืบ (แปดเมตร) กว้างสิบเจ็ดคืบ ในทางกลับกัน คุณชายจะกำหนดจากโต๊ะแบบจำลองที่คุณชายมีอยู่ก่อนแล้วก็ได้ ดูนะเจ้าคะ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าโต๊ะของคุณชายยาวสามสิบคืบ กว้างยี่สิบห้าคืบ คุณชายอยากย่อส่วนพื้นที่ที่ยาวสองร้อยลี้ กว้างหนึ่งร้อยสี่สิบลี้ลงไปบนนั้น เราก็ต้องมาคำนวณแบบนี้” ขีดๆ เขียนๆ
เรื่องที่ซ่งฝูหลิงไม่รู้ก็คือ ในขณะที่นางหันไปเขียนคำนวณอีกรอบ ลู่พั่นได้ฉวยจังหวะตอนที่ภายในห้องโถงรับรองแขกไม่มีคนเห็น เอามือปากเหงื่อที่ขมับและหน้าผาก
พอเช็ดเสร็จ ดวงตาใสแจ๋วของซ่งฝูหลิงก็หันกลับมาพอดี แถมยังถามต่อว่า “ยังคำนวณไม่ได้หรือเจ้าคะ ไม่เป็นไร เอาไว้ก่อน คุณชายดูตรงนี้ก่อนเจ้าค่ะ ไว้ถึงเวลาคุณชายก็ใช้ขนาดโต๊ะตามนี้” ขณะพูดนางยังได้เขียนวงกลมล้อมรอบตัวเลข เพื่อเน้นว่าเป็นส่วนสำคัญ
มองส่วนที่เน้นบนกระดานดำ “ใช้มันไป…”
ทันใดนั้นลู่พั่นก็ขัดจังหวะขึ้น “ดื่มชาก่อนดีกว่า”
“หา?”
ซ่งฝูหลิงล้างมือโดยมีเป่าจูกับสาวใช้อีกสองคนคอยปรนนิบัติ
สาวใช้สองคนนั้นยังจะเอามือมาช่วยนางล้าง นางชักมือหนีตามสัญชาตญาณ
พอหลบเสร็จก็มองเป่าจู
นางทำผิดอะไรหรือเปล่า ในยุคปัจจุบัน การพึ่งพาตัวเองเป็นสิ่งที่ดีงาม แต่ที่นี่ เกิดทำไม่ดีจะถูกสาวใช้ดูถูกเอาได้ บอกว่าเราเป็นคนใจแคบ
โอ๊ย มีที่ไหนกัน สาวใช้สองคนคิดในใจ คิดว่าพวกเราฟังไม่ออกเหรอว่าแม่นางเป็นคนเก่งจริงๆ สอนจนคุณชายของพวกเราอึ้งไปเลย พวกเราเองก็ฟังจนงงไปหมด ในที่สุดพวกเราก็รู้แล้วว่าทำไมแม่นางถึงเป็นคนแรกที่คุณชายเชิญมาที่เจ๋อหยวน
หลังจากซ่งฝูหลิงล้างมือเสร็จ ลู่พั่นก็ทำท่าทางบอกให้นางดื่มชา ในที่สุดมือเล็กๆ ก็ยื่นเข้าไปหยิบผลไม้เชื่อมสี่อย่างที่จับจ้องมานาน
แปะก๊วยเชื่อม อืม เปรี้ยวหวาน
ลำไยเชื่อม อืม หวาน
บ๊วยเขียวเชื่อม อืม อันนี้ดับกระหายได้ดีเยี่ยม
ท้อแห้งเชื่อม อืม ไม่ได้เห็นมานานมาก
นานแล้วที่ซ่งฝูหลิงไม่ได้กินลูกท้อ เพราะในพื้นที่พิเศษไม่มี
นางเห็นลู่พั่นไม่ได้สนใจจึงหยิบอีกชิ้น นี่ตั้งใจตากแห้งตอนหน้าลูกท้อเหรอ ต้องจำไว้ ปีหน้านางก็จะตากบ้าง เก็บเอาไว้กินตอนฤดูหนาว
ลู่พั่นไม่ได้สนใจเลยจริงๆ เพราะเขารู้สึกล้มเหลวนิดหน่อย คำนวณไม่เก่งเท่าผู้หญิง
นี่เป็นเรื่องที่เขาคาดไม่ถึงเลยจริงๆ
แตกต่างจากภาพที่เขาจินตนาการไว้ก่อนซ่งพั่งยาจะมาอย่างสิ้นเชิง
เขาถอนหายใจเงียบๆ อยู่ในใจ ไว้เดี๋ยวค่อยทบทวน
ลู่พั่นยกถ้วยชาขึ้นมาจิบหนึ่งอึกแล้วถึงถามขึ้น “ท่านพ่อเจ้าคำนวณเก่งกว่าเจ้าหรือเปล่า”
แน่นอนว่าเขาคิดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ซ่งพั่งยาทำเป็น น่าจะเพราะซ่งฝูเซิงสอน
ซ่งฝูหลิงครุ่นคิด แบบโบราณนางไม่ไหวจริงๆ แต่พ่อนางทำเป็น
เอาแค่วิธีคำนวณนับทบแบบโบราณ เมื่อคืนพ่อของนางเพิ่งสอนให้ ทั้งยังบอกนางอีกว่า เวลาพูดต้องระวัง ที่นี่ไม่มีกิโลเมตร และก็ไม่มีเมตร อย่าเอะอะก็กี่เมตรๆ
“เจ้าค่ะ”
ลู่พั่นพยักหน้า ซ่งฝูเซิงเป็นบุคคลที่มีความสามารถอย่างแท้จริง ยังไม่มีการฟื้นฟูการสอบจอหงวน คนที่เก่งแบบซ่งฝูเซิงต้องรออยู่ข้างนอกด้วยความลำบาก ไม่เพียงแต่จะเป็นการถ่วงอนาคตคนมีความสามารถแบบนี้ แท้จริงแล้วก็เป็นความเสียหายของราชสำนักเหมือนกัน
“ก่อนมา เจ้ารู้อยู่แล้วหรือว่าข้าจะถามพวกนี้ ถึงได้เริ่มพูดตั้งแต่เจอหน้า”
“เจ้าค่ะ”
“เจ้ารู้ว่าข้าจะเอาไปใช้ที่ไหน”
“เจ้าค่ะ”
“แบบจำลองที่วางอยู่ในร้านขนมไม่ได้ละเอียดแบบที่เจ้าสอนข้าเมื่อครู่ใช่หรือไม่ เมื่อครู่เจ้าคำนวณละเอียดกว่ามาก”
“เจ้าค่ะ” เมื่อคืนซ่งฝูหลิงยังได้ตั้งใจลำดับความคิดเป็นการเฉพาะเพื่องานนี้
ลู่พั่นหรี่ตามอง “เพราะเหตุใด”
ซ่งฝูหลิงตอบ “ข้าไม่รู้ว่าพอจะช่วยได้สักนิดหรือไม่ แต่อยากให้บ้านเมืองมั่นคงโดยเร็ว หากในอนาคตจำเป็นต้องทำสงครามในวันใดวันหนึ่ง ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่เป็นแบบบ้านเกิดของข้าที่ถูกยึดเมือง ไม่มีบ้านให้กลับ ข้ากลัวว่าจะต้องลี้ภัยอีก”
ย้ายไม่ไหวแล้วจริงๆ
ลู่พั่นมองใบหน้าด้านข้างของซ่งฝูหลิง หวั่นไหวในใจ
“เจ้าเขียนเรื่องไปถึงไหนแล้ว”
“เขียนถึงตอนที่สามร้อยเก้าสิบห้าเจ้าค่ะ”