ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 397
“พ่อบ้านสวี่ ทำอะไรอยู่น่ะ” ซุ่นจื่อขมวดคิ้วให้
พ่อของเขาก็ขมวดคิ้วใส่ ข้าเป็นพ่อเอ็งนะ
“ใครก็ไม่ได้ทั้งนั้น พ่อรีบไปเลย ถ้าพ่อว่างนะ รีบไปสั่งสอนพวกยายแก่ที่ปากไม่มีหูรูดกับสาวใช้เล็กๆ ที่ชอบทำใจใหญ่พวกนั้นเลย อย่าให้ข่าวเล็ดลอด ไม่เช่นนั้นพอถึงเวลาที่คุณชายเอาเรื่องขึ้นมา ข้าจะไปหาพ่อ”
พ่อบ้านสวี่คิดในใจ ถ้าเรื่องแค่นี้เขาจัดการไม่ได้ก็จบสิ้นแล้ว ขนาดเจ้าเป็นลูกยังไม่เชื่อใจ ไอ้ลูกไม่รักดี
แต่เขาก็ไป
หลังจากซุ่นจื่อไล่พ่อตัวเองไปแล้วก็มองซ้ายมองขวา ย่องเข้าไปแนบประตูแล้วเงี่ยหูฟัง
ข้างในคุยอะไรกันน่ะ ขนมเค้กเหรอ
แต่ละวันทำขนมได้เท่าไร ขายให้แขกประจำได้เท่าไร
ไอ๊หยา คำถามน่าเบื่อขนาดนี้ คุยเรื่องพวกนี้ทำไมกัน
ข้างในคุยอะไรกันอีกนะ หมี่โซ่วเรียนหนังสือหรือเปล่า
โอ๊ย คุณชาย คำถามที่เห็นๆ กันอยู่จะคุยเรื่องพวกนี้ทำไม
คุยอะไรอีกนะ เอ้อ ใช่ ทำดีมาก ถามแม่นางฝูหลิงว่าตั้งแต่เช้าจรดเย็นทำอะไรบ้าง แบบนั้นแหละ
เอ๊ะ เดี๋ยวนะ ทำไมแม่นางฝูหลิงวกกลับมาที่เรื่องทำขนมเค้กกับเรื่องหมี่โซ่วเรียนหนังสืออีกแล้วล่ะ นี่มันก็เป็นเรื่องในชีวิตประจำวันไม่ใช่เหรอ
จะตอบแบบพลิกแพลงหน่อยไม่ได้หรือไง เป็นต้นว่า อ่านหนังสืออะไร มีความคิดเห็นยังไง ท่องกลอนสักสองบท หมี่โซ่วบอกว่าท่านท่องกลอนเก่ง สตรีบ้านอื่นมีแต่จะพยายามแสดงออกว่าตัวเองมีความรู้ โอกาสมาถึงมือแล้ว ทำไมไม่รู้จักใช้ แบบนี้คุณชายของข้าถึงจะต่อบทได้อย่างไรล่ะ
โอ๊ยคุณชาย อย่าไปพูดแบบนั้น คำถามของคุณชายก็ไม่ถูก ถามไปได้อย่างไรว่าเริ่มเขียนเรื่องเล่าตั้งแต่เมื่อไหร่
ระหว่างที่แอบฟังอยู่นั้น ซุ่นจื่อก็แสดงความคิดเห็นอยู่ในใจไปมากมาย
หลังจากที่เขาแอบฟังอยู่สักพัก ในที่สุดก็เข้าใจอย่างสิ้นเชิงแล้วว่า สองคนนั้นคิดไม่ค่อยเหมือนกับเขา
เดิมทีเขาคิดว่าเขาได้คำตอบแล้ว ก็เลยลองช่วยหาทางให้ไปต่ออยู่หลายครั้ง ถึงขั้นที่ว่าพยายามช่วยแล้ว
วันนี้กลับพบว่า ไม่ได้เป็นแบบที่เขาคิดเลยสักนิด คุยกันเป็นปกติมาก
ถึงแม้ชายหญิงจะกินข้าวอยู่ในห้องกันตามลำพัง เรื่องนี้ลือไปถึงหูใครเข้าก็ต้องคิดเยอะเป็นธรรมดา มันดูไม่ชอบมาพากล
แต่ความรู้สึกตอนคุยนี่สิ กลับเหมือนตอนคุณชายคุยกับคุณชายหลินคุณชายเซี่ยไม่มีผิดเพี้ยน
แม้แต่น้ำเสียงของแม่นางฝูหลิงก็ยังเหมือนตอนพวกคุณชายเซี่ยเจอคุณชาย
ทุกครั้งที่คุณชายถามแม่นางฝูหลิง พอนางตอบเสร็จก็จะถามกลับ “แล้วท่านล่ะ”
ทั้งสองคนถามกันไปมาแบบนี้ คล้ายกับเกิดความสนใจเรื่องงานของอีกฝ่ายในแต่ละวัน
แบบนี้มันไม่เหลวไหลเหรอ คิดดูนะ ในที่สุดก็มีผู้หญิงโผล่เข้ามาในชีวิต แถมคุณชายยังคุยด้วยเยอะขนาดนี้ แต่กลับไม่ใช่ความรู้สึกแบบชายหญิง
ซุ่นจื่อถอนหายใจ พอถอนหายใจเสร็จก็เห็นซื่อจ้วงที่หาทางกลับมาได้แล้ว
ถูกต้อง เมื่อครู่เขาจงใจพาซื่อจ้วงไปหลงแล้วทิ้งไว้ในศาลา นึกไม่ถึงว่าหมอนี่จะกลับมาเองได้เร็วขนาดนี้
กลับมาก็กลับมาสิ ยังไงเสียในห้องก็ปกติดี
ทั้งสองคนยืนอยู่ซ้ายขวาประหนึ่งเป็นนายทวาร ฟังด้านในคุยกัน
“ตอนนั้นที่คุณชายต้องการขัดจังหวะข้า ที่แท้ก็เพราะอยากถามว่ามาตราการวัดก็คือการแบ่งสัดส่วนหรือเปล่า อย่างนั้นหรือเจ้าคะ” ซ่งฝูหลิงคีบกับข้าวพลางถาม
ลู่พั่นก็กินไปพยักหน้าไป “ข้าฟังจากความหมายมัน ก็คือการแบ่งสัดส่วน ใช้สะท้อนความยาวความกว้างของพื้นที่ มาตราการวัดแนวตั้งที่เจ้าว่า ข้าเรียกมันว่าการวัดแนวดิ่ง การคำนวณความแตกต่างของความสูงต่ำของพื้นที่จริงกับในภาพวาด”
ซ่งฝูหลิงพูดด้วยความเขินอาย “ข้าชินกับการเรียกว่ามาตราการวัดแล้ว เพราะมันเป็นการเปรียบเทียบระหว่างพื้นที่จริงกับแบบจำลองใช่ไหมล่ะ ท่านพ่อก็ไม่เคยบอกข้าเรื่องนี้ด้วย”
ลู่พั่นทำมือเพื่อบอกให้ซ่งฝูหลิงเติมข้าวอีก จากนั้นถึงตอบ “ท่านพ่อเจ้าไม่มีทางรู้เรื่องพวกนี้ มีแค่คนทำแผนที่กับคนที่คลุกคลีด้วยถึงจะรู้เรื่องพวกนี้ แต่มาตราการวัดที่ท่านพ่อเจ้าบอกเจ้า ข้าฟังดูก็รู้สึกว่าเหมาะสมดี”
หลังจากซ่งฝูหลิงตักข้าวให้ตัวเองเสร็จ ก็เห็นลู่พั่นตักข้าวให้ตัวเองเหมือนกัน นางยิ้ม “ถ้าอย่างนั้น อีกเดี๋ยวข้าจะระวังตอนอธิบาย จะใช้คำศัพท์ที่ท่านฟังแล้วเข้าใจ”
ลู่พั่นโบกมือ ไม่จำเป็น แค่ยืนยันว่าเขาเข้าใจถูกแล้วก็พอ
“อันที่จริงมีคำถามที่อยากถามท่านมาก ไม่รู้ว่าท่านสะดวกตอบหรือไม่”
“เชิญถาม”
“ข้ารู้สึกสงสัยเหลือเกินว่า ท่านแน่ใจขนาดพื้นที่จริงของเมืองได้อย่างไร”
ลู่พั่นยิ้ม นี่มันมีอะไรให้ไม่สะดวกตอบ ดูสีหน้าระมัดระวังนั่นสิ
แต่เรื่องที่บอกไม่ได้ก็คือ ตอนนี้ท่านพ่อของเขามีภาพแผนที่มากแค่ไหนแล้ว มีของพวกนี้ถึงจะบัญชาการศึกได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเวลาเผชิญหน้ากันในป่า
“มีทหารประเภทหนึ่งที่เรียกว่า ทหารวาดแผนที่…
…หากครอบครัวไหนมีทหารวาดแผนที่ จะต้องสืบทอดความสามารถนี้กันไปหลายรุ่น ลูกหลานจะต้องเป็นทหารประเภทนี้…
…มีรถประเภทหนึ่งที่เรียกว่า รถบันทึกลี้…
…มีรถบันทึกลี้หลายคันที่อยู่ข้างนอกตลอด มันอาจจะไปอยู่บนที่ราบสูง อาจอยู่บนสันเขา เส้นทางของมันไม่ใช่เส้นทางปกติที่พวกเราใช้กัน…
…รถแบ่งเป็นชั้นบนกับชั้นล่าง ทุกครั้งที่เคลื่อนไปครบหนึ่งลี้มันจะตีกลองหนึ่งที…
…และทุกสิบลี้จะตีกระดิ่งหนึ่งที”
ขณะที่ลู่พั่นอธิบาย ซ่งฝูหลิงรู้สึกเพียงว่า แบบนี้สิถึงเรียกว่าใช้เท้าวัดโลกอย่างแท้จริง ไม่มีอะไรมาขัดขวางความมุ่งมั่นที่จะสำรวจโลกของคนโบราณได้
“แบบนี้ เงินเดือนของพวกเขาเท่าไหร่กัน ค่าตอบเป็นเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
เป็นครั้งแรกที่ลู่พั่นพูดความในใจกับคนนอก “เป็นทหารลำบากมาก ลำบากจนถึงขั้นต้องบังคับออกศึก จับชายฉกรรจ์ไปออกศึก”
ซุ่นจื่อที่เฝ้าอยู่นอกประตูเหลือบมองซื่อจ้วง เขารู้สึกงงมากที่ซ่งฝูหลิงดูเป็นห่วงเป็นใยราษฎร จึงกระซิบถาม “คุณหนูบ้านเจ้า ปกติก็คุยกับคนอื่นแบบนี้ไหม” ดูสิ คุยจนอารมณ์ของคุณชายเขาดิ่งแล้ว
ซื่อจ้วงไม่แม้แต่จะเหลือบมองเขา
ในที่สุดก็กินอาหารมื้อนี้เสร็จ ซุ่นจื่อแอบบ่นในใจอีกรอบ
อาหารสิบอย่าง พร่องไปกว่าครึ่ง
ห้ามบอกว่าคุณชายเขากินเยอะนะ จะเป็นไปได้ยังไง แม่นางฝูหลิงกินจุสมคำร่ำลือจริงๆ
ใครลือน่ะเหรอ ก็หมี่โซ่วเคยพูดไว้
มิน่าวันนี้คุณชายถึงไม่ปฏิเสธให้เตรียมกับข้าวไว้เยอะหน่อย น่าจะนึกถึงคำพูดของหมี่โซ่วเข้า นี่ถ้าเอาตามปกติคุณชายของเขาจะกินแค่กับข้าวสี่อย่างหรือไม่ก็หกอย่างเป็นมาตรฐาน
จากนั้นซุ่นจื่อก็บ่นในใจอีก ลองฟังดูสิ คุณชายของเขาเสนอให้ออกไปเดินเล่นในสวนเพื่อย่อยอาหาร แต่แม่นางฝูหลิงกลับปฏิเสธ ปฏิเสธเลยนะ
เอาแค่โอกาสที่จะได้เดินเล่นด้วยกันแบบนี้ แม่นางฝูหลิงเอ๊ย รู้หรือเปล่าว่ามีคุณหนูที่รอออกเรือนตั้งเท่าไรที่รอคอยโอกาสแบบนี้จนใจจะขาด
แต่ท่านกลับปฏิเสธ
แถมยังพูดอย่างเต็มปากเต็มคำอีกว่าจะรีบกลับบ้าน วันนี้ที่ออกมาทั้งวันเพราะจัดสรรเวลา ห้องทำขนมถ้าไม่มีท่านจะไปต่อไม่ได้ เหตุผลก็คือเพราะช่วงก่อนและหลังปีใหม่ต้องทำขนมเยอะเป็นพิเศษ
แบบนี้ไม่เท่ากับเป็นการบอกคุณชายทางอ้อมหรือว่า ต่อไปมาอีกไม่ได้แล้ว หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ รีบๆ เรียนเข้า สอนเสร็จจะได้ไป
ไม่ใช่แค่ซุ่นจื่อเข้าใจ ลู่พั่นเองก็เข้าใจแบบนั้นเหมือนกัน
ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงตั้งใจฟังมาก
ซ่งฝูหลิงเองก็สอนอย่างใจเย็นยิ่งกว่าช่วงเช้า
มองลู่พั่นที่ท่าทางเงอะงะ วางก้านไม้ที่คนโบราณใช้สำหรับนับทบ เดี๋ยวก็วางแนวนอน เดี๋ยวก็วางแนวตั้ง
ซ่งฝูหลิงทำภูเขาสูง ละลายผงยิปซัม ระหว่างนั้นก็ตั้งโจทย์ให้เขาลองคำนวณไปด้วย
“กรุณาฟังคำถาม สมมติว่าต้องการสร้างแบบจำลองของอำเภอแห่งหนึ่งที่ยาวยี่สิบลี้ กว้างสิบสี่ลี้ หากคำนวณด้วยอัตราส่วนหนึ่งต่อเจ็ดพันห้าร้อยคืบ คุณชายจะต้องเตรียมโต๊ะแบบจำลองที่ยาวและกว้างเท่าไหร่”
พูดจบซ่งฝูหลิงก็ไปทำอย่างอื่นต่อ ไปสอนซุ่นจื่อ เสี่ยวเฉวียนจื่อ รวมถึงแม่นางมู่จิ่นที่เงอะงะกันยิ่งกว่า
ซุ่นจื่อ เสี่ยวเฉวียนจื่อ มู่จิ่น ทั้งสามคนคิดว่า คุณชายมัวแต่ยุ่งอยู่ด้านนั้นจนไม่มีเวลาสนใจด้านนี้ อีกทั้งแม่นางซ่งก็รีบร้อนอยากกลับขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้น พวกเขาก็ฉลาดกันพอสมควร ไม่สู้เรียนให้เป็นก่อน อีกเดี๋ยวค่อยสาธิตให้คุณชายดู สองฝั่งดำเนินการไปพร้อมกันจะได้ไม่เสียเวลา
เป่าจูรับหน้าที่เป็นลูกมือให้ซ่งฝูหลิง
“คำนวณเสร็จหรือยังเจ้าคะ”
ลู่พั่นยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ ร้อนใจมาก แต่กลับพูดว่า “ยัง”
“ไม่รีบ”
ลู่พั่นตัดสินใจแล้วว่า อีกเดี๋ยวเขาคำนวณเสร็จจะตั้งโจทย์ให้ซ่งฝูหลิงบ้าง ดูว่านางใช้เวลาคำนวณนานเท่าไร
เวลาผ่านไปครึ่งเค่อ ลู่พั่นพูดขึ้นอย่างไม่ค่อยแน่ใจ “ยาวสี่คืบ กว้างสองจุดแปดหรือไม่”
ซ่งฝูหลิงดวงตาเป็นประกาย คุณพระช่วย ในที่สุดก็ทำได้ เล่นเอานางเหนื่อยแทบแย่
จากนั้นซ่งฝูหลิงก็อ้าปากตอบโจทย์ที่อยู่ๆ ลู่พั่นก็ถามขึ้น คำนวณในใจไม่กี่วินาที “สามร้อยเก้าสิบเจ็ด ทำไมหรือเจ้าคะ”
ไม่ทำไม หลังจากที่ได้ทดสอบด้วยตัวเองก็รู้สึกยอมแพ้แล้ว
ก่อนเดินทางกลับ ซ่งฝูหลิงเงยหน้าถลึงตามองลู่พั่น “คุณชายต้องการอะไรนะเจ้าคะ”
ลู่พั่นตอบ “ชอล์กที่เจ้าใช้ ทำอย่างไร เขียนให้หน่อย กระดานดำอันนี้ให้ข้าได้หรือไม่ แล้วก็แปรงลบกระดานนั่นด้วย”
พูดตามตรง ซ่งฝูหลิงไม่อยากให้ โดยเฉพาะแปรงลบกระดานดำ
แค่แปรงลบกระดานดำอันนั้น ก่อนหน้านี้ที่พ่อของนางขายแพะย่างเสียบไม้ นางต้องนั่งถอนขนบนตัวแพะที่ซื้อกลับมา ถอนมันทุกวัน ถอนจนขนเตียนไปเป็นแถบ