ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 404 คืนวันสิ้นปีพวกเราจะกินกับข้าวสิบอย่าง
ณ บ้านท่านลุงซ่ง
บนเตียงที่เป็นของท่านลุงซ่งโดยเฉพาะ วางเรียงเงินกองแล้วกองเล่าเหมือนกับระเบิด
หลังจากที่ชายชราหายสำลักยาสูบ ก็ถอดรองเท้าแล้วขึ้นเตียง
นั่งยองๆ อยู่ตรงกลางกองเงิน
“ฝูเซิง เจ้าดูสิ กองแถบนี้คือเงินที่พวกเราหาได้ช่วงนี้ ส่วนกองที่อยู่รอบตัวข้าเป็นเงินที่หามาได้ช่วงเดือนสองเดือนนี้ ส่วนกองใหญ่ที่อยู่ข้างมือเจ้า เห็นไหม อันนั้นได้มากจากการขายหนังสัตว์สองรอบ”
“ฝูเซิง เจ้ารีบดูสิ ข้ากำลังชี้กองนี้…ให้เจ้าดูข้า ทำอะไรอยู่น่ะ ใช่ มองข้าตรงนี้ มันเป็นของเจ้า ก็คือสามส่วนของกระเทียมเหลือง ส่วนกองใหญ่นี่เป็นของทุกคน”
“ฝูเซิง แล้วเจ้ามาดูกองนี้ ไอ๊หยา กองนี้สุดยอดยิ่งกว่า เป็นเจ็ดส่วนของพริกที่เจ้าปลูก รีบเอากลับบ้านไปสิ กองนั้นเป็นของทุกคน”
ซ่งฝูเซิงมองกองเงินด้วยความจนใจ
ช่วงนี้เขามัวแต่ยุ่งเรื่องผลิตสินค้ากับกับขยายปริมาณงานให้แต่ละครอบครัว จึงไม่มีเวลาสนใจเรื่องเงินเท่าไร
ปรากฏว่ากลับได้เรื่อง ลุงซ่งแบ่งเงินให้เรียบร้อยเสร็จสรรพ
ถึงแม้ซ่งฝูเซิงจะเชื่อว่า ต่อให้ลุงซ่งใช้วิธีคำนวณที่เงอะงะที่สุดก็ไม่มีทางขาดสักเหวินเดียว แต่มันไม่ใช่เรื่องนั้น
พวกเราต้องมีสมุดบัญชี
จะเอาเงินมากองต่อหน้าทุกคนก็ไม่ได้หรือเปล่า
ต้องบอกได้ชัดเจนว่ามาจากไหน เอาเงินไปใช้ทางไหนเท่าไหร่ ตอนนี้มีทั้งหมดเท่าไร
“มา ลุงซ่ง ข้าจะสอนท่านทำบัญชี พวกเรานับเงินทั้งหมดก่อน เอามารวมกันก่อน”
“เด็กคนนี้นี่ ทำไมมือไวขนาดนี้ ปนกันไปหมดแล้ว ทีนี้ข้าก็จำไม่ได้แล้ว กว่าจะแบ่งเป็นกองๆ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ”
“ไม่สับสนหรอก มาๆๆ ข้าจะสอนนับ”
เวลาผ่านไปหนึ่งเค่อ ซ่งฝูเซิงก็แบกเงินหนึ่งร้อยห้าสิบเจ็ดตำลึงกว่ากลับบ้าน
นี่เป็นเงินส่วนแบ่งของบ้านเขาต่างหาก
ส่วนแบ่งจากกระเทียมเหลือง สามสิบห้าตำลึงกว่า
ส่วนน้ำพริกรวมถึงผลผลิตสารพัดจากพริก เนื่องจากกินส่วนแบ่งถึงเจ็ดส่วน บ้านเขาจึงได้มาต่างหากอีกหนึ่งร้อยยี่สิบสองตำลึงครึ่ง
เฉียนเพ่ยอิงเห็นซ่งฝูเซิงแบกเงินกลับบ้านหนึ่งถุง เสียงดังกลุกกลัก นางก็รีบทิ้งกระเป๋าสะพายข้างที่กำลังเย็บอยู่ทันที เดินเข้าไปถาม “ทำบัญชีเสร็จแล้วเหรอ นี่เป็นของบ้านเราหมดเลยเหรอ”
ซ่งฝูเซิงพยักหน้า “อืม เอาไปนับสิ อีกเดี๋ยวจะมีประชุม มีเงินกองใหญ่สำหรับแบ่งอีก แบ่งให้แต่ละครอบครัวอีกนิดหน่อย นับรวมหนิวจั่งกุ้ยกับซื่อจ้วงไปด้วย ประชุมเสร็จข้ายังจะได้เงินกลับมาบ้านอีกเก้าตำลึงกว่า”
เฉียนเพ่ยอิงยิ้มจนรอยตีนกาขึ้นที่หางตา เอาเงินเทออกมาหมด นั่งมองเงินบนเตียงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แต่ก็ยังไม่ลืมถาม
“เล่าให้ฉันฟังเร็วๆ ทั้งหมดได้เท่าไร ทำไมบ้านเราได้ส่วนแบ่งเยอะขนาดนี้ หักของบ้านเราแล้ว แบบนั้นทุกคนยังเหลืออีกเท่าไหร่ ครั้งนี้แบ่งให้แต่ละบ้านเท่าไหร่ พวกเจ้าคำนวณเสร็จหรือยัง”
ซ่งฝูเซิงปีนขึ้นเตียงเตา หาน้ำยาหยอดตาให้เฉียนเพ่ยอิงช่วยหยดใส่ตาเขา
นี่เป็นอาการข้างเคียงจากการที่ผัดพริกตั้งแต่เช้าจรดเย็น
แสบตามาก น้ำตาไหลตลอด
ช่วงสองวันแรกที่เริ่ม ไม่เพียงแต่จะไม่มีใครสงสารเขากับเฉียนเพ่ยอิงที่แสบตาจนร้องไห้ อีกทั้งยังถูกลูกสาวต่อว่า
ลูกสาวเขาบอกว่า พ่อกับแม่ไม่ฉลาด ในบ้านมีแว่นกันแดดก็ไม่รู้จักใส่ มีถุงพลาสติกใสก็ไม่รู้จักเจาะรูอากาศเอาใส่หัว ไม่รู้จักเตรียมการ นึกไม่ถึงสักอย่าง
ใช่ไหมล่ะ อย่างน้อยก็ใส่ตอนตัดพริกให้ละเอียดหรือบดพริก มีแค่เขากับเมียที่ทำงาน ไม่มีใครเห็นสักหน่อย แต่ว่าลืมสนิท นึกไม่ออกว่าใช้ของจากพื้นที่พิเศษได้ เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงาน
เอนตัวนอนบนเตียง หยดยาเสร็จซ่งฝูเซิงถึงหลับตาตอบ
“ก่อนหน้านี้เก็บได้สามร้อยกว่าตำลึงใช่ไหมล่ะ ส่วนใหญ่เป็นเงินที่ขายหนังสัตว์ได้…
…ถ้าไม่ได้ขายหนังสัตว์ พวกเราทำงานกันมานานขนาดนี้ก็มีเงินเหลืออยู่ไม่เท่าไรหรอก…
…ถ้าจะให้พูดถึงช่วงที่ทำเงินจริงๆ ก็ช่วงนี้นี่แหละ ที่มีเงินเก็บขึ้นมามากหน่อย…
…เอาเงินก่อนหน้านี้ที่เปิดแผงขายตามแต่ละอำเภอ รวมกับช่วงนี้ที่ขายน้ำพริกได้เยอะ ได้มาหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าตำลึง…
…สองอย่างรวมกัน เงินพวกนี้รวมกันทั้งหมดเป็นสี่ร้อยเก้าสิบสี่ตำลึง…
…หักกระเทียมเหลืองของบ้านเราสามส่วน พริกเจ็ดส่วน ทุกคนยังเหลือเงินอีกสามร้อยสามสิบหกตำลึงครึ่ง…
…ท่านลุงซ่งบอกว่าให้แบ่งเงินออกไปอีก…
…อีกเดี๋ยวก็เลยจะแบ่งออกอีกร้อยตำลึง หักบ้านหลี่ซิ่วออก พวกเราสิบสี่ครอบครัวก็จะเอาเงินร้อยตำลึงนี้มาหารกัน แต่ละบ้านได้เจ็ดจุดหนึ่งสี่ตำลึง…
…สุดท้ายเงินกองกลางก็จะเท่ากับเหลือสองร้อยสามสิบหกตำลึงครึ่ง”
เยอะทีเดียว
เฉียนเพ่ยอิงพูดด้วยความสงสัย “แต่ทำไมฉันฟังจากน้ำเสียงเจ้าเหมือนไม่ค่อยพอใจ ทำไมเจ้ายังไม่พอใจอีกล่ะ”
“เยอะมันก็เยอะอยู่หรอก แต่ทำไมคุณไม่ลองคิดดูล่ะ น้ำพริกนั่นให้เจ้านายเฉินเอาไปขาย ขายไปถึงเมืองซวินหยางกับเมืองหนิวจวงแล้ว สองเมืองนั้นสั่งจองตั้งเท่าไร รวมกับที่พวกเราขายตามอำเภอในพื้นที่นี้กับร้านอาหารในเมืองเฟิ่งเทียนอีก รวมๆ กันเพิ่งได้เงินไม่เท่าไร ห่างกันลิบลับ”
“ยังจะโลภ” เฉียนเพ่ยอิงเบ้ปากพูดเสียงเบา
“เพิ่งไม่กี่เดือน เจ้าอย่าไม่รู้จักพอ ข้าพอใจมากแล้ว…
…เยี่ยมไปเลย เดิมทีบ้านเราก็ใช้เงินหมดแล้ว ก่อนหน้านี้เงินแค่นั้น ซื้อของเข้าบ้านอย่างไม่บันยะบันยัง แถมยังซื้อวัวนมมาหนึ่งตัวอีก การเงินฝืดเคืองนานแล้ว…
…คราวนี้ก็พอดี มีเงินเข้ามาอีกแล้ว”
พูดๆ อยู่เฉียนเพ่ยอิงก็หัวเราะออกมา
ซ่งฝูเซิงมองภรรยาที่ยิ้มเป็นบ้าเป็นหลัง เขาเองก็หลุดยิ้ม
หลังจากแบ่งเงินที่ค้างคาในใจเสร็จ สุดท้ายทุกคนเหลือเงินเพียงสองร้อยตำลึง ไม่พอซื้อสัตว์ใช้แรงงานมาทำสวนกับเลี้ยงหมูตอนเข้าฤดูใบไม้ผลิ เก็บความรู้สึกที่ขัดสนเรื่องเงินอยู่ตลอดเอาไว้ในก้นบึ้งหัวใจ
ซ่งฝูเซิงลุกขึ้นมานั่งพลางยิ้มตาม “เอาล่ะ เลิกยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ได้แล้ว เสร็จตรงนี้เจ้าก็เตรียมไปประชุมได้แล้ว”
“ข้าต้องไปด้วยเหรอ”
“อืม เจ้าไม่ได้ส่วนแบ่งค่าแรง แต่เจ้าได้สวัสดิการด้วย”
“สวัสดิการอะไร”
“ข้ากับท่านลุงซ่งปรึกษากันแล้ว ปีใหม่ทั้งที มื้ออาหารวันสิ้นปีพวกเราจะกินดีหน่อย กับข้าวสิบอย่างวางเรียงบนโต๊ะหลายตัว ท่านลุงซ่งชูสองมือเห็นด้วย อาจเป็นเพราะคำนึงว่าอยากให้เหล่าบรรพบุรุษได้กินดีด้วยแหละมั้ง…
…ต่อมาลองคิดดู ก็อย่าซื้อแค่ของกินเลยแล้วกัน พรุ่งนี้ส่งคนออกไปซื้อผ้า…
…ปีใหม่ปีนี้ ทำชุดนักเรียนให้ชั้นเรียนเด็กเล็ก คิดเสียว่าเป็นการให้ชุดใหม่กับเด็กๆ แต่ละบ้าน
และก็ทำชุดใหม่ให้คนแก่ของสิบกว่าครอบครัวนี้…
…ซื้อผ้าที่คุ้มๆ มา…
…มีสองร้อยสามสิบหกตำลึงครึ่งใช่ไหมล่ะ ก็เอาสามสิบหกตำลึงครึ่งไปใช้”
ตอนที่เฉียนเพ่ยอิงก่อไฟให้กำแพงไฟในโรงเพาะปลูกพริกเสร็จแล้วรีบไปที่ห้องชุมนุม ยังไม่ทันได้เดินเข้าไปใกล้ก็ได้ยินเสียงพวกผู้ชายตะโกนกันอย่างพร้อมเพรียง
“ใช่ พวกเราอยากให้คนแก่กับเด็ก ไม่อยากให้พวกเขาใส่เสื้อผ้าขาดๆ อีก!”
“ปีหน้าพวกเราจะหาเงินให้มากกว่านี้!”
“ปีหน้าพวกเราจะทำงานหนักกว่านี้กับฝูเซิง!”
“สามัคคีคือพลัง!”
ทันใดนั้นเสียงของซ่งฝูกุ้ยก็ดังมาจากไกลๆ “เตรียมร้องเพลงน้องสาวจงหาญกล้าเดินไปข้างหน้า!”
“น้องสาวจงหาญกล้าเดินไปข้างหน้า…”
ซ่งฝูหลิงที่อยู่ในห้องชุมนุมเอามือปิดหู คนที่ยืนอยู่ข้างนางคือลุงใหญ่ซ่งฝูไฉ ลุงใหญ่ตะโกนร้องเพลงจนเสียงเกือบแหบ
เฉียนเพ่ยอิงที่อยู่นอกห้องชุมนุมคิดในใจ นี่มันจะครึกครื้นเกินไปแล้ว เหล่าซ่งของนางพูดอะไรอีก ทุกคนถึงฮึกเหิมได้ขนาดนี้
ทุกคนต้องฮึกเหิมสิ บ้านไหนบ้างที่ไม่มีพ่อแม่
ชุดใหม่ของพ่อแม่ ครอบครัวใหญ่ยังนึกถึง
บ้านไหนบ้างไม่มีเด็กเล็กเรียนหนังสือ
อ่อ เป่าจื่อลูกหลี่ซิ่วอายุยังไม่ถึง ไม่ได้อยู่ในชั้นเรียนเด็กเล็ก แต่ทุกคนก็ไม่ได้หลงลืม ทำชุดให้เป่าจื่อเหมือนกัน
พ่อแม่ตัวเองมีชุดใหม่ใส่ ลูกก็ได้ ในมือก็ยังเพิ่งได้เงินส่วนแบ่งตั้งแต่ห้าตำลึงไปจนถึงสิบสองตำลึง แต่ละคนได้ไม่เท่ากัน แถมอาหารที่กินวันสิ้นปีก็ยังมีตั้งสิบอย่าง
ครอบครัวใหญ่ยังมีเงินมากถึงสองร้อยตำลึงไว้สำรองพวกเขา ทำให้ปีหน้าพวกเขายิ่งสบายใจและกล้าหาญที่จะเดินหน้าต่อไป
พวกเขาไม่เคยได้ใช้ชีวิตที่มีความสุขเท่านี้มาก่อน