ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 405 ทีมผลิตเปิดประชุม
มีคนงานถามท่านย่าหม่า “พวกท่านจะจ่ายเงินเมื่อไหร่”
“ไม่เห็นหรือไง กำลังจะจ่ายแล้ว” คนที่ตอบคือสามีของท่านยายฉี ซึ่งพยายามพูดประทบกระทั่งภรรยาตัวเองเช่นกัน
ซ่งฝูเซิงคิดในใจ อย่าไปโกรธท่านแม่เลย ช่างมันเถอะ ไหนๆ ก็ใกล้ปีใหม่แล้ว
ภายในห้องประชุม เขาเป็นฝ่ายเริ่มถามท่านย่าหม่าที่กำลังเดินฝ่าฝูงคน “ท่านแม่ ท่านปิดบัญชีหรือยัง ต้องให้ข้าช่วยหรือไม่”
ท่านย่าหม่าเปิดบานเลื่อนประตู หยุดอยู่ตรงประตูและหันมาแค่นเสียงหึในลำคอ “หึ”
หลังจากตะโกนเรียกลูกชายทั้งสามคนก็หันกลับมายืนตัวตรง แล้วจู่ๆ ก็ชูมือตะโกนเรียก “ทุกคนในห้องอบขนม”
ท่านย่าหม่าพร่ำจินตนาการภาพฉากอันน่าตื่นเต้นไว้นับครั้งไม่ถ้วน ต่อไปจะต้องเป็นแบบนี้แน่
“ครับ!”
“ครับ!”
“ครับ!”
จากนั้นนางก็เรียกรวมตัว จ่ายเงิน จากนั้นทุกคนในโรงอบขนมจะเบียดเสียดเข้ามาตรงที่ที่เธออยู่
ฉากแบบนี้เป็นภาพที่ท่านย่านึกถึงก่อนเข้านอนมาหลายวัน ดวงตาของเธอจ้องมองเพดานพลางคลี่ยิ้ม
ในหัวของเธอเป็นภาพฉากเช่นนี้
แค่จินตนาการก็รู้สึกเพลิดเพลิน
เหลือเพียงปล่อยให้มันเกิดขึ้น
แต่ในความเป็นจริงกลับเป็นเช่นนี้
“ทุกคนในโรงอบขนม ทุกคน เอ๊ะ?”
“ท่านแม่ ข้ามาแล้ว” ซ่งฝูหลิงก้าวขึ้นมาข้างหน้า “พวกเจ้ากำลังคุยกับคนทางบ้านอยู่ ยังไม่ได้จ่ายเงินแท้ๆ มัวแต่คุยไม่ฟังกันเลย ท่านแม่มีเรื่องอะไรหรือ”
ท่านย่าหม่าปากกระตุกอยู่พักหนึ่ง อดกลั้นอยู่หลายวินาที “โทรโข่งของเจ้าล่ะ”
“ห๊ะ? โทรโข่งถูกเก็บไปตั้งนานแล้ว ปกติก็ไม่ได้ใช้นะ”
ท่านย่าหม่าอดกลั้นต่ออีกหลายวินาที ภายในใจคิดว่า เจ้าจะเก็บมันไปทำไม ไม่อย่างนั้นจะได้นำออกมาใช้เสียเดี๋ยวนี้ “จ่ายเงิน วันนี้พวกเราจะจ่ายเงินเช่นกัน”
ซ่งฝูหลิงรีบเดินหลบพวกผู้ใหญ่เข้าไปด้านในทันที หลังจากเบียดเสียดอยู่พักหนึ่งก็เข้าไปสะกิดหลี่ซิ่วที่อุ้มลูกคุยกับแม่ของซ่วนเหมียวจื่ออยู่ “พวกเราก็จะจ่ายเงินแล้ว”
และสะกิดท่านย่าหวางที่กำลังยิ้มปรบมือพลางมองดูเหล่าเด็กๆ “ท่านย่าหวาง?”
“ว่าไง”
“เราจะจ่ายเงินกันแล้ว เร็วเข้า ไปรวมตัวกันที่ห้องอบขนม”
ซ่งฝูหลิงไม่ทันระวังชนเข้ากับเก้าอี้ เธอยกขาขึ้นมานวดหัวเข่า แล้ววานให้ต้าถังเกอไปเรียกป้าใหญ่
ท่านย่าหม่ามองดูผู้คนพลุกพล่านในห้องประชุมและหลานสาวตัวน้อยที่พยายามลากคนนั้นคนนี้มาเพื่อบอกว่าจะจ่ายเงินแล้วด้วยความรู้สึกหมดคำพูด
ภาพบรรยากาศอันน่าปลื้มปริ่มที่คิดอยู่ในหัว แตกสลายลงต่อหน้าต่อตา
แต่ก็ไม่สำคัญ แม้ภาพฉากเริ่มต้นไม่ได้สวยงามดั่งที่จิตนาการไว้ แต่ระหว่างทางและผลลัพธ์ก็สามารถนำไปสู่ตอนจบในช่วงปลายปีที่มีความสุขได้เช่นกัน
ท่านย่าหม่าตบไหล่หลานสาวคนโตด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เหนื่อยหน่อยนะ”
พูดจบ ก็หยิบถุงเงินจากถาดที่ซ่งฝูหลิงถืออยู่ยื่นให้หลานสาวคนโต
มือของต้ายาสั่นระริกด้วยความตื่นเต้น ไม่นึกว่าท่านย่าจะพูดกับเธอเช่นนี้ มิหนำซ้ำยังให้เงินเธออีก ไม่ใช่ว่าจะเรียกเก็บหรอกหรือ ไม่ใช่ว่าต้องลากตัวเธอไปเรียกเก็บเงินด้วยงั้นหรือ
ท่านย่าหม่าเดินมาหาหลี่ซิ่ว ยืนนิ่งก่อนเอ่ย “เจ้าได้รับเงินเจ็ดตำลึงแปดเหรียญกับอีกเจ็ดสิบห้าเหรียญทองแดง เจ้าไม่แย่ไปกว่าพวกผู้ชายในห้องประชุมแม้แต่น้อย ด้วยสองมือของเจ้าเอง คราวนี้ก็สามารถซื้อของที่ลูกรักของเจ้าอยากกินได้แล้ว”
ตอนที่หลี่ซิ่วก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าวเพื่อรับฟังท่านย่าอย่างตั้งใจ เดิมทีใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
แต่กลับถูกทั้งสองประโยคของท่านย่าหม่าจี้จุด สองมือพลันยกขึ้นปิดปากเคล้าเสียงสะอื้น
หลังฝ่ามือมีรอยแผลเป็นที่รอยไหม้จากเตาอบ น้ำตาไหลลงตามซอกนิ้ว ทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะ เธอโค้งคำนับเพื่อ “ขอบคุณ” ท่านย่าหม่าและผู้ดูแลอย่างซ่งฝูหลิง ทว่าซ่งฝูหลิงกลับเบี่ยงตัวไปข้างๆ
หลี่ซิ่วหันไปโค้งคำนับให้ทุกคนในโรงอบขนม คนอื่นไม่อยากให้เธอทำแบบนี้ แต่เธอก็ไม่ฟัง
ทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะ ยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตาพลางอธิบาย “จะให้ทำตัวไม่มีมารยาทกับทุกคนได้อย่างไร ฮ่าๆ ๆ”
“อิ๋นเฟิ่ง”
“ท่านแม่ ไม่สิ หัวหน้า” ซ่งอิ๋นเฟิ่งถูกคนอื่นหัวเราะจนต้องแทรกตัวออกมาจากแถว
ท่านย่าหม่ารู้สึกอิ่มเอมใจที่ได้เห็นความรู้สึกของหลี่ซิ่ว ขณะที่มือแตะลงบนไหล่ของลูกสาว ยังไม่ทันพูดคำว่า ที่ผ่านมาเหนื่อยหน่อยนะ เธอก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างจุกที่คอ
อิ๋นเฟิ่ง ลูกสาวของเธอคอยช่วยเข็นเกวียนในช่วงแรก บุกฝ่าพายุหิมะหนักถึงสองครั้ง แถมยัง? เอาเถอะ ไม่ต้องไปคิดถึงอะไรที่เปล่าประโยชน์ นี่ขนาดยังไม่ได้คิดค่าเข็นรถขนส่ง
ท่านย่าหม่ากระแอมไปสองครั้งเพื่อปรับอารมณ์ของทุกคนลง หลานสาวตัวน้อยเคยบอกไว้ว่า คนที่ทำการใหญ่ไม่ควรเผยความรู้สึกออกมาง่ายๆ
“ของเจ้าเป็นเงินเจ็ดเหรียญเงินพอดี เฮ้อ เป็นแบบนี้ได้อย่างไร ในบรรดาคนงานทั้งหมดเจ้าถือว่าเป็น…”
ท่านย่าหม่ายังพูดไม่ทันจบ ท่านยายเถียนก็ตะโกนรายงาน พอรายงานเสร็จก็ยิ้มแล้วเอ่ย “เป็นข้าเองที่ไม่อยากให้ลูกสะใภ้ทำงานหนัก ท่านหัวหน้า ถ้าท่านอยากต่อว่า ก็จงว่าข้าคนเดียวเถอะ”
ท่านย่าหม่าจะว่าอะไรได้? มุมปากฉายแววจนปัญญา แค่ได้ยินก็รู้สึกตลก
จากนั้นเธอก็จ่ายเงินให้เถาฮวาและสะใภ้คนโตต่อ
ตั้งแต่วันที่เถาฮวาเข้ามาทำงานที่ห้องอบขนมจนถึงตอนนี้ เธอได้รับเงินทั้งหมดแปดตำลึงสองเหรียญ
ส่วนเหอซื่อ สะใภ้คนโตของท่านย่าหม่า ก่อนที่จะมีสามีอย่างซ่งฝูฉายและลูกชายอีกสองคน ก็คอยอยู่ช่วยตอกไข่มาตลอด พวกเขาได้รับเงินทั้งหมดเจ็ดตำลึงกับอีกห้าสิบแปดเหรียญทองแดง
มากกว่าป้าซ่งอิ๋นเฟิ่งนิดหน่อย
ท่านย่าหม่ายังจ่ายเงินให้กับคนงานใหม่สองสามคนที่เข้ามาทำงานในห้องอบขนม พร้อมกับพูดเน้นจากใจว่า “เหนื่อยหน่อยนะ” เนื่องจากคนเหล่านี้เพิ่งเข้ามาทำงานที่นี่ในภายหลัง จึงจ่ายเงินไปทั้งหมดสิบสี่ตำลึงสี่เหรียญ ตกเฉลี่ยคนละสองตำลึงสี่เหรียญ
จากนั้นก็ถึงคราวของเอ้อร์ยา
เอ้อร์ยาใจ้เต้นระรัว
เธอพอจะเข้าใจว่าผลลัพธ์ของแต่ละคนย่อมมีเหตุผลของมัน
ท่านย่าหม่ายืนพูดอยู่ด้านหน้าสุด “ข้าขอประกาศตำแหน่งคนงานดีเด่นของร้านขนมเค้กแห่งความสุขของย่าหม่า ซึ่งได้แก่เอ้อร์ยา ผู้ที่ทำเงินได้ถึงเก้าตำลึงครึ่งเหรียญเงิน”
กว่าจะอธิบายให้ท่านย่าหม่าจำคำว่า ‘คนงานดีเด่น’ ได้ไม่ใช้เรื่องง่าย ซ่งฝูหลิงพูดกรอกหูเธอว่าคนงานดีเด่นซ้ำไปมาถึงสี่ครั้งกว่าเธอจะจำได้
ซ่งฝูหลิงปรบมือขึ้นเป็นคนแรก
แต่ท่านย่าหม่ายกมือปราม
“ข้าอยากจะบอกเอ้อร์ยาเพียงไม่กี่ประโยค…
…เจ้าอาจไม่เหมือนพั่งยา แต่เจ้าเป็นหนึ่งในคนงานทั้งหมด เช่นเดียวกับทุกคน…
…แบบนี้หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าพวกเจ้าทุกคนก็เป็นแบบนี้ได้…
…ข้าหวังว่าปีหน้า คนงานทุกคนที่นี่จะเป็นเหมือนเอ้อร์ยา”
จู่ๆ เสียงหัวเราะของจูซื่อก็ดังมาจากข้างนอก ท่านย่าหม่าจึงไปมองทางประตูอย่างสงสัย
ซ่งฝูหลิงเปิดประตูมอง ให้มันได้แบบนี้สิ ขนาดติดประกาศว่ามีประชุมแล้วเชียว ดูเหมือนด้านนอกห้องประชุมใหญ่ดูครึกครื้นกว่าด้านในเสียอีก
โดยเฉพาะป้าสะใภ้สอง ดูหน้าตาที่ชื่นมื่นนั่นสิ ทำเอาหญิงสาวที่อยู่รอบๆ ถึงกับหัวเราะ
“หัวหน้า ไม่ปิดประตูหรือ”
“ไม่ต้อง ให้พวกนั้นได้เห็นกับตา”
เมื่อครู่แค่จ่ายเงินเดือนให้กับทีมผลิต ต่อไปก็ถึงคราวของทีมขายของร้านท่านย่าหม่า ประตูยังคงเปิดอยู่ ลองนึกดูก็น่าจะรู้ เมื่อประกาศผลงานหนึ่งทีม ทั้งด้านในและด้านนอกก็พากันฮือฮาขึ้นเป็นระลอก
กลุ่มของท่านยายกัวกับท่านยายฉี ตั้งแต่เริ่มส่งขนมแบบจริงๆ จังๆ จนกระทั่งตอนนี้ ทั้งสองคนได้รับเงินทั้งสิ้นสิบแปดตำลึงกับอีกสี่เหรียญเงิน ได้คนละเก้าตำลึงสองเหรียญ
ลูกคนเล็กของยายฉีตะโกนขึ้นด้านนอก “ท่านพ่อ รีบมาฟังเร็วเข้า แม่ของข้าได้รับเงินตั้งเก้าตำลึงกว่า!”
นายฉีรีบแจ้นมาจากแปลงเพาะปลูกใต้ดินอย่างรวดเร็ว แต่พอหันกลับไปมุมปากก็รั้นขึ้นทันที
กลุ่มของท่านยายหวางกับลูกสะใภ้คนโตของท่านลุงซ่งได้รับเงินสิบหกตำลึงแปดเหรียญเงิน
ยายากระโดดโลดเต้นป่าวประกาศเรื่องนี้ไปทั่ว “แม่ของข้าได้เงินตั้งสิบหกตำลึงแปดเหรียญเงิน”
ซ่วนเหมียวจื่อจากบ้านยายฉีวิ่งไล่กวดยายาไปทั่วลานบ้าน “เงินก้อนนั้นมีส่วนของแม่ข้าด้วยนะ”
“เป็นของแม่ข้าต่างหาก”
“ของแม่ข้า”
ส่วนกลุ่มของเก๋อเอ้อร์นิวคือตัวเธอกับสะใภ้สองได้รับเงินทั้งสิ้นสิบเจ็ดตำลึงครึ่งเหรียญเงิน
พอแบ่งเงินกันเสร็จ ผลงานของพวกเธอก็ไม่ได้ตกเป็นอันดับท้าย ทำเอาเก๋อเอ้อร์นิวดีใจจนเสียอาการ ลูกสาวของเธอที่อยู่ด้านนอกก็เอาแต่ถามว่าแม่ตัวเองได้เงินเท่าไหร่
ยายหวางเดินออกไปพูดกับลูกชายสองสามคนที่อยู่ด้านนอกอย่างเจ็บใจ “ข้าเสียเงินค่าปรับที่ทำหม้อพังไป ไม่เช่นนั้นข้าคงได้ตำแหน่งคนงานดีเด่นประจำทีมขายแล้ว”
บรรดาลูกชายและลูกสะใภ้ของเธอพากันปลอบ “ท่านแม่ ได้เท่านี้ก็ไม่เลวแล้ว สุดยอดจริงๆ” พร้อมกับยกนิ้วให้
สุดท้าย ตำแหน่งคนงานดีเด่นประจำกองการขายตกเป็นของกลุ่มของท่านยายกัวจากเมืองถงหยา
อันที่จริงควรตกเป็นของกลุ่มท่านย่าหม่ากับท่านยายเถียน ท่านย่าคู่นี้ได้รับเงินคนละสิบเจ็ดตำลึงสามเหรียญ ทั้งสองได้รายได้รวมจากค่าขนส่งรวมกันสามสิบกว่าตำลึงเงิน
แต่ถ้านำกลุ่มจากเมืองเฟิ่งเทียนของพวกเธอรวมเข้าไปในรายชื่อจริงๆ คงเป็นไม่ยุติธรรมอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากพวกเธอค้าขายในเมือง อีกทั้งยังมีรถเข็น ตัวท่านยายเถียนเองก็ไม่ได้ต้องการตำแหน่ง ‘คนงานดีเด่น’ ไม่รู้จะเอาชื่อเสียงจอมปลอมนี้ไปทำไม
ท่านยายเถียนบอกท่านย่าหม่าว่าอย่าประกาศรายได้ของกลุ่มพวกเธอ
หลังจากการจ่ายเงินเดือนอันคึกครื้นสิ้นสุดลง เถียนสี่ฟาก็มาที่บ้านของซ่งฝูเซิง
“พี่เขย เข้ามานั่งข้างในก่อน”
“ไม่ล่ะ เดี๋ยวคุยกับพั่งยาก่อนข้าค่อยมานั่งคุยด้วย ข้ามาเพื่อเอาเงินมาให้นาง”
“เงินอะไร?” ซ่งฝูเซิงตอบสนองไม่ทัน
เถียนสี่ฟาลูบมือของเขาและพูดอย่างตรงไปตรงมา “ข้าเคยเป็นหนี้เจ้าตอนอยู่ที่บ้านเกิดยี่สิบห้าตำลึงเงิน ตอนที่พวกเราอพยพก็เพิ่งคืนเจ้าไปแค่สิบเก้าตำลึงเงิน ตอนนี้ข้ามีเงินแล้วไง ก็เลยมาคืนอีกหกตำลึงเงินนี่ไง”