ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 407 โกหก
เย็นวันนี้ ซ่งฝูหลิงกลายเป็นพี่สาวที่สวยที่สุดในสายตาของเหล่าหญิงสาวหลายคนในหมู่บ้านไปแล้ว
โดยปกติ เวลาแขกเหรื่อมาบ้าน เหล่าหญิงสาวก็แทบไม่ได้ออกมาเจอหน้าต้อนรับ
หากจำเป็นต้องโผล่หน้าออกมาจริง ก็ได้แต่ทักทายอย่างขวยเขิน หรือไม่ก็แค่คอยส่งน้ำส่งขนมให้แขก
แต่ถึงกระนั้น พวกนางก็คอยแอบดูอย่างเงียบๆ อยู่ตลอด
ท่านย่าได้นำถั่วลิสงสุดรักสุดหวง ยกออกมาให้พี่สาวคนนั้นกิน ซึ่งปกติพวกนางแทบไม่ได้กินเลย
ท่านย่าเคี้ยวถั่วพร้อมกล่าวชมพี่สาวไปพลาง ปรนนิบัติพัดวีกับพี่สาวคนนั้นดีมากกว่าพวกนางหลายเท่า
ภายในใจของเหล่าหญิงสาวพวกนี้ ต่างรู้สึกว่าพี่สาวผู้เป็นแขกคนนี้ช่างแต่งกายงดงามเสียจริง
ชุดของนางช่างงามสง่า
กระโปรงของนางช่างสวยงาม
รองเท้าของนางช่างวิจิตร
ส่วนที่งดงามที่สุดของพี่สาวคนนั้นคือใบหน้า
ผิวของนางช่างขาวนวลเสียจริงเชียว
ท่านย่าก็เอาแต่เอ่ยปากชมไม่ขาดสาย “ช่างขาวงามนวลลออ”
ภายในใจของหญิงสาวพากันปรารถนา…หากพวกนางโตขึ้นอีกหน่อย จะสามารถงดงามได้เหมือนดั่งพี่สาวคนนั้นได้หรือไม่ แล้วเหนียงจะยอมสั่งตัดเสื้อผ้ากับรองเท้าปักลายอย่างที่นางใส่ให้พวกนางหรือไม่
ซ่งฝูหลิงไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองกลายเป็นพี่สาวแสนสวยของบรรดาหญิงสาวเหล่านี้ไปแล้ว
นางรู้เพียงแค่ ท่านย่าของนางช่างพูดกว่าที่นางรู้จักมากนัก ซ้ำยังโกหกอย่างแนบเนียน
ท่านย่าของนางโกหกอยู่สี่เรื่อง พูดเป็นตุเป็นตะประหนึ่งเรื่องจริง
เรื่องแรก ท่านย่าพานางเข้าหมู่บ้านไปหาครอบครัวที่มีชื่อเสียงในพื้นที่เพื่อสร้างความสัมพันธ์ เพราะต้องการให้พวกเขาพาไปซื้อไก่
ท่านย่าผู้ดูแลครวบครัวนั้นชื่อว่าจิ่วส่าว ซึ่งนางเรียกว่าท่านย่าจิ่ว
ท่านย่าอีกคนเอ่ยถาม “เชิญเจ้ามาเป็นแขกกี่ครั้งกี่ครา ใช้ทั้งไม้แข็งก็แล้ว ไม้อ่อนก็แล้วก็ไม่ยอมมาเสียที”
ซึ่งท่านย่าจะโกหกไปประมาณนี้…
“ใช่ว่าไม่อยากมา อยู่ต่างบ้านต่างเมือง ข้าย่อมเข้าใจคำกล่าวที่ว่าญาติผู้อยู่ไกลมิสู้เพื่อนบ้านผู้อยู่ใกล้[1]มากกว่าใคร…
…เราอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน เงยหน้าไม่เจอ ก้มหน้าเจอ[2] มีเรื่องอะไรก็เรียกขานหากัน ก็ต้องสนิทกว่าคนไกลไม่ใช่หรือ ใจก็อยากมาเยี่ยมตั้งนานแล้ว…
…แต่เจ้าลองคิดดู วันๆ กลับถึงบ้านก็ตกค่ำแล้ว ไหนจะต้องกินข้าว อาบน้ำ ทำนั่นทำนี่ จะเอาเวลาไหนแวะมาเยี่ยมกันเล่า…
…พอมาเป็นแขกบ้านเจ้า ก็ต้องจุดตะเกียงน้ำมัน[3]พูดคุยเรื่องสัพเพเหระ ข้าเกรงว่าพวกเจ้าจะพักผ่อนแต่หัววัน จะให้เที่ยวมาเคาะประตูบ่อยๆ คงไม่ดี…
…ส่วนครั้งนี้ก็ใกล้จะปีใหม่แล้ว เมื่อครู่ข้าเพิ่งคุยกับหลานสาวข้า ช่วงเดือนแรกเราไม่สามารถไปเยี่ยมเยียนเพื่อนบ้านได้ คงต้องหาโอกาสไปเยี่ยมท่านย่าจิ่วของเจ้าบ้างแล้ว”
ท่านย่าอีกคนก็ช่างพูดไม่แพ้กัน “แค่เคาะประตูบ้านจะกลัวอะไร มีน้ำมันตะเกียงให้จุดอยู่ตั้งเยอะ เอาไว้คราวหน้าอยากมาตอนไหนก็มาเถิด ไม่ต้องคิดมาก แต่เป็นอย่างที่เขาลือกัน เจ้ากิจการรัดตัวนี่คงเป็นเรื่องจริง”
เรื่องโกหกเรื่องที่สองคือ
ประเดี๋ยวท่านย่าจิ่วก็พาไปซื้อไก่
สั่งจองไก่เนื้อตัวใหญ่ไปสามสิบตัว
สะใภ้คนโตของครอบครัวนางเป็นครอบครัวเลี้ยงไก่ที่ใหญ่สุดในหมู่บ้าน ท่านย่าหม่าก็ต้องการเลือกแต่ไก่ตัวใหญ่
ซ่งฝูหลิงผู้เลอโฉม กวาดมองเล้าไก่พลางกลืนน้ำลายดังอึก เป็นถึงแม่ไก่บ้าน ขนเหลือบเขียว เป็นพันธุ์ที่ต้องเลี้ยงอยู่หลายเดือน เนื้อจะต้องหอมหวานจนต้องร้องตะโกนออกมาแน่นอน
อาจเป็นเพราะพวกนางต้องการซื้อรวดเดียวสามสิบตัว ซึ่งจัดว่าเป็นการซื้อขายขนานใหญ่ไม่ใช่หรือ อาจเป็นไปได้ที่อยากสร้างสัมพันธ์อันดีกับท่านย่าจิ่วก่อน เป็นเหตุให้ต้องเข้าเรือนมาจิบน้ำหวานนั่งพูดคุยกัน
เมื่อถูกถามถึงความสัมพันธ์กับ “ตระกูลจิ่ว” ช่วงก่อนอพยพ ท่านย่าของนางก็โกหกไปว่า “เป็นญาติ เป็นเพื่อนสนิทที่เหมือนคนในครอบครัว ก่อนที่จะมาที่นี่ พวกข้าสนิทกันตั้งแต่อยู่ที่บ้านเกิดแล้ว”
บรรดาหญิงสาวที่แอบฟังอยู่ ต่างรู้สึกประมาณว่า เป็นไปได้อย่างไร อดอยากปากแห้งมาด้วยกันตลอดทาง ถ้าไม่สนิทกัน ท่านคงทำก็ต้องทำเพื่อคนในครอบครัวตัวเองก่อนสิ แค่มองดูก็รู้แล้วว่าพวกท่านสนิทกันยิ่งกว่าสนิทเสียอีก
อีกฝ่ายอาศัยจังหวะนี้เปลี่ยนไปชื่นชมท่านย่าหม่า
ตระกูลเริ่นเป็นเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่รายใหญ่ ท่านย่าจิ่วรู้มาว่าซ่งฝูเซิงรู้จักกับเถ้าแก่โรงเตี๊ยมหลายเจ้า
พวกเขาเริ่มจากผูกมิตรกับเถ้าแก่เหล่านี้ก่อน จากนั้นก็ดูว่าโรงเตี๊ยมเหล่านี้ซื้อไก่มาจากใคร แต่ภายหลังพบว่าครอบครัวของพวกเขามีผลประโยชน์ต่อตน จึงพยายามเข้าไปตีสนิท
เหล่าหญิงสาวต่างพากันชื่นชม
พวกท่านช่างทำงานเก่งกันจริงๆ
ดูท่าพวกท่านคงหาเงินมาได้ไม่น้อย ช่วงฤดูใบไม้ผลิ เห็นทีคงต้องสร้างโรงเรือนจากอิฐทั้งหลังแล้วกระมัง
ท่านย่าหม่าพูดโกหกต่อ “ไม่ถึงขนาดนั้น พวกข้าดูเหมือนยุ่งและหาเงินได้มากก็จริง แต่ความจริงแล้วรายจ่ายก็มากเช่นกัน”
ขณะที่ซ่งฝูหลิงได้ฟังก็รู้สึกว่าท่านย่าของนางช่างวางตัวได้ยอดเยี่ยมเหลือเกิน
อย่างเช่น บอกคนพวกนี้ว่าพวกนางต้องหาเงินสำหรับซื้อดินสอและกระดาษให้เหล่าเด็กๆ หลายสิบคน
ท่านย่าของนางยังบอกว่า เคยต้องเสียเงินสี่ตำลึงเงินซื้อหนังสือให้ลูกสามเรียนหนังสือด้วย
ทำเอาอีกฝ่ายตะลึงงัน สี่ตำลึงเงินเชียวหรือ
ท่านย่าของนางยังพูดกับอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกอันท่วมท้นอีกกว่า
ก่อนอพยพ ลูกชายสามของนางมีตู้หนังสือขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยหนังสือมากมาย
แต่ขนมาพร้อมกับการอพยพครั้งนี้ไม่ทัน
ดังนั้นนางจึงคิดว่าจะพยายามหาเงินหลังจากนี้ และทยอยซื้อหนังสือให้ลูกชายทีละเล่ม เพราะต้องการให้ลูกชายได้อ่านหนังสือร่ำเรียนเหมือนดั่งแต่ก่อน และนี่ก็เป็นสาเหตุที่นางต้องปากกัดตีนถีบ ทำงานหามรุ่งหามค่ำเช่นนี้
หลังจากเหล่าหญิงสาวได้ฟังก็เอ่ยถาม “แล้วถ้าต้องการซื้อหนังสือพวกนั้น ท่านต้องเสียไปกี่ตำลึงเงิน”
ท่านย่าของนางพูดด้วยท่าทีเรียบนิ่ง
“ไม่ว่าจะต้องเสียไปเท่าไหร่ ก็เป็นเรื่องที่สมควรจะต้องจ่าย…
…ในสายตาข้า การทิ้งเงินให้ลูกหลานเพื่อกินดื่มอย่างอิ่มหนำสำราญ ก็ไม่สู้ทำให้พวกเขามีทักษะหากินติดตัว…
…เช่นเรื่องการเรียน ถือเป็นเรื่องที่ต้องลงทุน และเมื่อการลงทุนออกผล ก็เท่ากับเปลี่ยนประตูเรือน[4]…
…ถ้าเรียนหนังสือไม่ได้ ก็ไปเรียนงานฝีมือ ไม่ว่าอยู่ที่ใดก็สามารถใช้ทักษะวิชาหาเงินเองได้เช่นกัน ดีกว่าไม่มีทักษะอะไรติดตัวเลย…
…พวกเจ้าเห็นด้วยกับที่ข้าพูดหรือไม่”
“ถูกต้อง!” ตาเฒ่าเริ่นกงซิ่นโผล่พรวดออกมา พลางเบิกตามองท่านย่าหม่า
ภายในใจครุ่นคิด ดูภรรยาบ้านอื่นเข้าสิ ถ้าบ้านไหนได้หญิงแบบนี้ไปเป็นภรรยา เท่ากับได้สมบัติล้ำค่า
จู่ๆ มีชายแก่พรวดพราดโผล่มา ทำเอาท่านย่าหม่าถึงกับสะดุ้ง ภายในใจพลางนึก เจ้าเป็นบ้าหรือไง โผล่ออกมาไม่ให้สุ่มให้เสียง
เมื่อถูกขัดจังหวะ ท่านย่าหม่าก็รู้สึกอยากกลับบ้านขึ้นมา เพราะตาแก่นั้นเอาแต่ส่งสายตากรุ้มกริ่มให้นางอยู่ตลอด
ก่อนกลับ เหล่าหญิงสาวในครอบครัวขายไก่ต่างเดินไปส่ง พลางเอ่ยถาม “ท่านป้าซื้อไก่สามสิบตัวสำหรับปีใหม่หรือ ถ้าเช่นนั้นเราจะเชือดให้แต่เช้า หลังจากตัดปลายเล็บเสร็จจะรีบส่งให้ทันที ตรงเวลาแน่นอน ว่าแต่ท่านป้าจะเคี่ยวไก่ใส่กับอะไร ครอบครัวท่านมีคนเยอะขนาดนั้น”
“อ๊า จริงสิ ลืมไปเลย เคี่ยวใส่เห็ดหอมแห้งก็แล้วกัน พวกเจ้ามีเห็ดหอมแห้งขายบ้างหรือไม่ ข้าขอแบ่งซื้อสักหน่อย”
“ยังจะต้องซื้ออะไรอีก” เริ่นกงซิ่นที่ยืนอยู่ตรงประตูพูดแทรกขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นก็สั่งลูกสะใภ้คนโตไปหยิบเห็ดหอมแห้งมาครึ่งตะกร้าจากห้องเสบียง
พอลูกสะใภ้คนโตได้ยินเช่นนั้นก็พูดขึ้น “ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้ เช่นนั้นท่านรอก่อน”
สุดท้าย ลูกสะใภ้คนโตไม่เพียงนำเห็ดหอมแห้งกลับมา แต่ยังพาสะใภ้คนอื่นมาด้วยอีกสองสามคน ซึ่งก็คือพวกที่เข้าเมืองไปครั้งก่อนและงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ที่ร้านขนมเค้ก
ทุกคนต่างนำเห็ดหอมแห้งมาจากบ้านตัวเองและเทใส่ไปในตะกร้า
ท่านย่าหม่าพูดขึ้นอย่างเกรงใจ “ข้าต้องการซื้อนะ พวกเจ้าทำแบบนี้ไม่ได้”
เหล่าสะใภ้ต่างพากันพูดขึ้น “เป็นของไม่มีค่าอะไร เห็ดหอมพวกนี้ คนในหมู่บ้านเก็บมาจากในป่า ท่านจะเสียเงินซื้อได้อย่างไร ไม่เห็นเคยได้ยินเลยว่า แค่เห็ดหอมแค่สองสามคำต้องเสียตำลึงเงิน”
คนละสองสามจิน ผลลัพธ์เป็นดั่งที่ท่านย่าหม่าและซ่งฝูหลิงตั้งใจไว้
ซ่งฝูหลิงสะพายตะกร้าเห็ดหอมที่ได้มาอย่างเสียไม่ได้ อักทั้งยังได้ตะกร้ามาอีกใบ
ราวกับว่าเหล่าสะใภ้พวกนี้ว่างงาน พวกนางทำเหมือนเดินไปส่งท่านย่าหม่าที่ริมแม่น้ำ แต่ขณะเดียวกันก็ถามขึ้นอีกคำถาม ทำเอาท่านย่าหม่าต้องพูดโกหกเป็นเรื่องที่สี่
“พวกเราเคยเจอกับเด็กผู้ชายท่าทางฉลาดเฉลียวของครอบครัวท่านแล้ว หลานสาวของท่านคนนี้ก็ด้วย แต่ลูกชายของลูกสามของท่านป้าคือคนไหนกัน ใช่เด็กที่สวมชุดผ้าฝ้ายสีฟ้าหรือไม่ ที่ก่อนหน้านี้เคยเล่นไถลพื้นน้ำแข็งกับหลานชายข้า ใช่คนนั้นหรือไม่”
ซ่งฝูหลิงรู้ทันทีว่าบรรดาสะใภ้พวกนี้หมายถึงหมี่โซ่ว
ท่านย่าของนางจึงยิ้มและโกหกไปว่า “ใช่ คือเด็กคนนั้นแหละ”
“ลูกสามของท่านมีแค่ลูกสาวหนึ่งคนกับลูกชายหนึ่งคนเท่านั้นหรือ ไม่มีอีกหรือ”
“อืม ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง”
“พระเจ้า เขาช่างหน้าตาเหมือนลูกสามของท่านจริงๆ กะแล้วเชียว พวกเราเดาไม่ผิดจริงๆ”
——————————
[1] ญาติผู้อยู่ไกลมิสู้เพื่อนบ้านผู้อยู่ใกล้ หมายถึงเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้กันย่อมพึ่งพาอาศัยและช่วยเหลือกันได้สะดวกรวดเร็วกว่าญาติพี่น้องที่อยู่ห่างไกล
[2] เงยหน้าไม่เจอก้มหน้าเจอ หมายถึงบ้านใกล้เรือนเคียง เจอหน้ากันได้บ่อยๆ
[3] จุดตะเกียงน้ำมัน หมายถึงการใช้เวลาทำอะไรสักอย่างเป็นระยะเวลานานๆ จนตกค่ำ
[4] เปลี่ยนประตูเรือน หมายถึง ยกระดับฐานะความเป็นอยู่ของวงศ์ตระกูลขึ้นอีกระดับ