ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 408 หาเงินมาได้ก็ไม่รู้จะเอาไปซ่อนไว้ที่ไหน
ย่าหลานทั้งสองคนเดินขึ้นสะพาน เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นบรรดาสะใภ้บ้านอื่นกลับบ้านกันเรียบร้อยแล้ว
ท่านย่าหม่ารีบพูดขึ้น “รีบปลดตะกร้าลงเร็วเข้า ข้าสะพายเอง”
“ไม่เอา”
“ไม่เอาอะไร รีบปลดลงเร็วเข้า เดี๋ยวชุดใหม่เจ้าก็พังหมดพอดี”
“ข้าบอกแล้วว่าไม่ใส่ชุดนี้ ท่านก็จะให้ข้าใส่อยู่ได้”
“เสียเงินไปตั้งมากมายกว่าจะตัดชุดนี้ได้ ก็ต้องใส่ออกมาให้ผู้คนยลโฉมหน่อยสิ เราไม่ได้ขโมยใครมา จะกลัวอะไร ให้สาวๆ พวกนั้น ได้รู้ซึ้งถึงความงามของหลานสาวข้าเสียบ้าง”
สุดท้าย ซ่งฝูหลิงเถียงท่านย่าไม่ขึ้นและถูกแย่งตะกร้าไป จากนั้นก็ช่วยท่านย่าสะพายขึ้นหลังใหม่อีกครั้ง “แต่ถึงอย่างนั้น ท่านย่าก็ต้องให้ชุดคลุมข้าบ้างนะ ดูสิ ตัวข้าเย็นไปหมดแล้ว ตอนที่ข้านั่งรถม้าเข้าเมืองก็ใส่ชุดคลุมด้วย”
พอท่านย่าหม่าได้ยินหลานสาวตัวเองบ่นหนาว ก็จับมือซ่งฝูหลิงเข้าไปซุกไว้ใต้รักแร้ ก่อนจะรีบจ้ำเท้ากลับบ้านอย่างรวดเร็ว
แต่ซ่งฝูหลิงกลับไม่รีบร้อน นางสูดจมูกก่อนเอ่ยถาม “ท่านย่า ครั้งนี้เสียเงินซื้อไก่ไปไม่น้อยเลยใช่หรือไม่”
“ก็ใช่ ก็ตั้งสามสิบตัว…
…ใครกันเล่าที่ให้เราสัญญาไว้กันก่อนหน้านี้
…ตอนเทศกาลไหว้ขนมบัวลอย ลั่นวาจาเอาไว้ว่าจะเลี้ยงไก่ทุกคน แต่ก็ไม่ได้กิน…
…ไม่ช้าก็เร็ว เรื่องนี้ก็ต้องวนกลับมาอยู่ดี ถึงคราวนั้นจะกลืนน้ำลายตัวเองก็ไม่มีให้กลืนแล้ว เสียเงินก็เสียไป แต่อย่างน้อยก็ไม่เป็นขี้ปากคนอื่น…
…ช่วงนี้ทุกคนก็มาช่วยงานที่ห้องอบขนมไม่น้อย…
…ถึงตอนนั้น เจ้าเองก็ต้องกินให้มากๆ รู้ไหม กินน่องไก่สักสี่น่องใหญ่ๆ ไปเลย”
“ไม่ใช่แบบนั้น ท่านย่า คือข้าจะถามว่า ท่านย่าอยากจะบอกลุงใหญ่กับลุงสองว่าท่านหาเงินได้แค่ห้าสิบตำลึงเงินไม่ใช่หรือ ถ้าหักเงินซื้อไก่ไป เงินของท่านย่าก็คงไม่พอ ถ้าเช่นนั้น ประเดี๋ยวถึงบ้านแล้วค่อยนำเงินค่าไก่มารวมกับท่านดีไหม”
เมื่อท่านย่าหม่าฟังจบก็จิ๊ปากทันที
สำหรับเรื่องบัญชีของย่าหลานคู่นี้ มันเป็นมาอย่างไรกันแน่
กิจการร้านขนมเค้กนี้สร้างรายได้ขนานใหญ่ให้แก่ท่านย่าหม่ากับซ่งฝูหลิงยิ่งนัก
โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ มีเงินไหลเข้าบัญชีวันละหลายสิบตำลึงเงินทุกวัน
ท่านย่าหม่าสามารถจ่ายเงินให้ลู่จือหว่านสามร้อยเจ็ดสิบสี่ตำลึงเงินได้ภายในเวลาเพียงสองเดือน คิดดูแล้วกันว่าตัวนางเองจะหาได้เท่าไหร่
ซึ่งก่อนที่ลู่จือหว่านจะเข้าร่วม ท่านย่าก็ออกไปขายขนมเค้กนอกบ้านทุกวันแล้ว แม้ขายไปทั่วทั้งสี่อำเภอจะได้กำไรน้อยกว่าเปิดร้านอยู่มาก แต่นางก็เก็บหอมรอมริบมาได้มากเช่นกัน ซึ่งตอนนั้นก็ถือว่านางหามาได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
สรุปยอดรวมของนาง หลังจากหักต้นทุนทุกชนิด เช่น เงินค่ากระเบื้อง น้ำมัน แป้ง น้ำตาล ไข่ ฯลฯ ตั้งแต่เริ่มต้นขายขนมเค้กจนถึงวันที่สิบห้าของเดือนแรก ทั้งที่นางไม่เคยนำเงินจากยอดสั่งจองขนมเค้กมาคิดรวมด้วยซ้ำ เพราะเงินจำนวนนั้นเป็นเงินที่ยังไม่ได้รับจึงไม่ได้นำมาหมุนเวียน ซึ่งเมื่อรวมกำไรทั้งหมดก็ประมาณสี่ร้อยสิบแปดตำลึงเงิน
ก่อนที่จะเปิดร้าน นางได้พูดคุยกับลู่จือหว่านแต่เนิ่นๆ ว่าให้จัดหาร้านให้หน่อย
แต่แน่นอน พวกนางไม่ได้ทำตามข้อตกลงทั้งหมด ในช่วงแรก พวกนางให้วัตถุดิบพวกเขาเพิ่มเติม ทั้งวัวนมตัวใหญ่สองสามตัว และยกเกวียนวัวสองเล่มให้พวกเขาใช้งาน
โดยตอนนี้พวกท่านย่าหม่ามีหน้าที่หลักๆ คือคอยจ่ายเงินเดือนให้กับคนงานทุกคน
ดังนั้นท่านย่าหม่าต้องหักเงินออกจากยอดสี่ร้อยสิบแปดตำลึงเงินที่นางหามาได้ ทั้งเงินเดือนของเสี่ยวเกา เสี่ยวหวาง เสี่ยวซ่ง เป่าจู ต้าเต๋อจื่อและยอดค่าใช้จ่ายภายในบ้านสำหรับคืนนี้ รวมยอดที่ต้องหักทั้งสิ้นหนึ่งร้อยแปดสิบเอ็ดตำลึงเงิน
ที่เหลือสองร้อยสามสิบเจ็ดตำลึงเงินคือยอดทั้งหมดของท่านย่าหม่าและซ่งฝูหลิง เท่านี้ก็ไม่ติดค้างใครแล้ว
จากนั้นท่านย่าหม่าก็นำไปแลกเป็นทองก้อนสามก้อน ทำให้เงินลดลงไปอีกหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึงเงิน
นางคิดจะบอกคนในครอบครัวว่า เงินที่หามาได้ในกระเป๋า มีอยู่ห้าสิบตำลึงเงิน
ส่วนเงินที่เหลืออีกสามสิบเจ็ดตำลึงเงินก็ใช้จ่ายไปกับหลานสาวตอนที่เข้าเมือง
แต่อันที่จริง โดยนิสัยของท่านย่าหม่ามักมองว่า ไม่ว่าจะซื้ออะไรก็สิ้นเปลืองทั้งนั้น แต่การเสียเงินซื้อหนังสือให้กับลูกสาม กลับถือว่าไม่สิ้นเปลือง ทั้งยังเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงหัวใจนางด้วย
สรุปก็คือ หลานสาวใช้เงินสามสิบเจ็ดเหรียญเงินไป แต่จะทำอย่างไรได้ เพราะนางไม่อาจดุด่าเด็กๆ ได้
นอกจากนั้น นางยังเก็บทองคำก้อนสามก้อนไว้กับซ่งฝูหลิง
เนื่องจากหลานสาวนางเคยพูดจาล้อเลียนว่า มีรายได้เข้าร้านวันหนึ่งก็ตั้งมาก แต่ท่านย่าเอาแต่ใส่เกงกางผ้าฝ้าย แล้วจะเอากระเป๋าที่ไหนเก็บทอง
พอท่านย่าหม่าลองคิดตาม มันก็ใช่ จะเอาที่ไหนเก็บทอง ยิ่งใกล้จะปีใหม่แล้ว บรรดาสะใภ้ทั้งหลายก็จะพากันเก็บกวาดเรือน เอาทองคำก้อนสามก้อนนี้เก็บไว้ที่ไหนก็คงไม่ปลอดภัย เช่นนั้นก็ไว้กับหลานสาวแล้วกัน
“นี่ ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าให้ลืมเรื่องที่พวกเรามีทองคำก้อนสามก้อน”
“ท่านย่า ข้าไม่ได้พูดถึงทองคำก้อนสักหน่อย”
“แต่สิ่งที่เจ้าพูดทำให้ข้าคิดแบบนั้น ที่บอกว่าบวกเพิ่มคืออะไร เอาจากไหนมาล่ะ หักเงินซื้อไก่ออกไปก็เหลือแค่สี่สิบตำลึงเงินกว่าๆ ข้าบอกพวกเขาว่ามีเท่านี้ แค่นี้ก็สุดยอดแล้ว เจ้าไม่ได้บอกแม่เจ้าใช่ไหม”
ซ่งฝูหลิงไม่อยากโกหก “ท่านย่า ไม่ต้องถึงขนาดนี้ก็ได้ จะปิดบังลุงใหญ่ ลุงสองและพ่อของข้าไปทำไม พวกเขาเป็นลูกของท่านนะ อีกอย่าง ท่านคิดว่าท่านยายเถียนจะไม่กลับไปบอกป้าของข้าหรอกหรือ”
“ป้าของเจ้าจะไปรู้อะไร วันๆ เอาแต่ไปเฝ้าม้า อีกอย่างต่อให้ป้าของเจ้ารู้ก็ไม่เป็นอะไร นางไม่ใช่คนปากโป้ง”
ท่านย่าหม่าพูดต่อ “หึ ข้าไม่อยากบอกพวกเขาหรอก บังอาจไม่ไว้ใจข้า หลังจากนี้ ต่อให้ต้องการเงินสี่สิบกว่าตำลึงเงิน ข้าก็ไม่มีทางเอามาจากกองกลาง คอยดูนะ ก่อนตายข้าจะสร้างหนี้ไว้ให้พวกเขาชดใช้ให้ดู โดยเฉพาะพ่อของเจ้า ขืนมางี่เง่ากับข้า เดี๋ยวข้าจะไปกินดื่มที่โรงเตี๊ยมให้สะใจ แล้วแปะโป้งติดหนี้เป็นชื่อเขา ให้เขาตามใช้หนี้ให้เข็ด”
“ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะใสกังวานของซ่งฝูหลิงดังไปทั่วสะพาน ท่านย่าของนางช่างโหดเสียจริง
ท่านย่าที่ถูกหลานสาวหัวเราะใส่ก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย
พูดกันตามตรง ท่านย่าหม่าเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่อยากบอกลูกๆ ของตัวเอง
บางทีอาจเป็นเพราะต้องการจะเก็บทองคำก้อนไว้ให้หลานสาวสักครึ่งหนึ่งกระมัง หากไม่มีหลานสาวจะหาเงินขนาดนี้ได้อย่างไร
ไม่กลัวถึงตอนนั้นจะอธิบายไม่ได้หรอกหรือ
ก็ไม่เชิง อายุมากปูนนี้แล้ว จะตายวันนี้วันพรุ่งก็ไม่รู้ ทิ้งเศษเงินไว้ให้ลูกๆ สานต่อ ก็ไม่สู้ยกให้หลานสาวแต่เพียงผู้เดียว
ก่อนนางออกเรือน เด็กคนนี้ถือว่าเชื่อใจได้
อย่างไรก็ตาม ท่านย่าหม่าตั้งใจที่จะแอบเก็บทองคำก้อนไว้กับหลานสาวตัวน้อยของนาง ในอนาคตหากย่าหลานคู่นี้ใช้เงินไม่ทัน ก็จะนำไปแลกเป็นทองคำก้อนอีก ยังไม่ต้องพูดถึงที่เก็บ ตอนที่นางเปิดร้านเคยได้ยินคนกล่าวไว้ว่า สภาพสังคมยิ่งลำบากมากเท่าไร ทองคำก็ยิ่งมีค่ามากขึ้นเท่านั้น
อีกอย่าง นางเคยเห็นก้อนทองคำของหมี่โซ่วมากับตาตัวเอง
ก้อนทองคำนั่นมันช่างสะท้อนแสงแวววาวแสบตาเสียจริง
ในเมื่อท่านพ่อหาเงินไว้ให้ลูกหลานได้ ก็หวังว่าสักวันหนึ่งนางจะสามารถทำได้เช่นกัน
เมื่อกลับถึงบ้าน ซ่งฝูหลิงก็ถูกพ่อกวักมือตะโกนเรียกเข้าไปในห้อง
“อายุยี่สิบแปดแล้ว ยังเรียกแบบนี้อยู่อีก?”
“ก็เพราะอายุยี่สิบแปดไง จึงต้องเรียกแบบนี้ ต่อให้อายุสามสิบก็จะเรียกแบบนี้ไม่หยุด”
“ก็ได้”
ส่วนท่านย่าหม่า ไม่ได้ตามลูกสามของตนเข้าไปร่วมสนุกด้วย
นางนำเห็ดหอมแห้งไปเก็บไว้ห้องอาหาร จากนั้นก็ทำทีไปพักดื่มน้ำที่บ้านลูกสาม และอาศัยจังหวะนี้ส่งสายตาให้ซ่งฝูกุ้ยให้ตามนางออกไป
หาฝูกุ้ยมีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ
จะเป็นอะไรไปได้ ก็เรื่องที่ตัวเองคุยโม้เอาไว้ แล้วต้องตามเก็บกวาดภายหลัง
ณ มุมอับสายตา
“ฝูกุ้ย เจ้ามักจะไปมาหาสู่กับคนในหมู่บ้านอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น หากมีคนอื่นถามเจ้า…”
ท่านย่าหม่ากลั้นใจพูดออกไป นางกำชับซ่งฝูกุ้ยว่าถ้าออกไปข้างนอก ห้ามหลุดปากพูดเรื่องซ่งฝูเซิงไม่มีลูกชาย ให้บอกไปว่ามี ซึ่งก็คือหมี่โซ่ว
ซ่งฝูกุ้ยแอบรู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย ท่านย่าหม่าผู้ดีเลิศประเสริฐศรี แต่ก็น่าสงสารหัวอกคนเป็นแม่ ในวัฒนธรรมเช่นนี้ นางคงไม่อยากให้ลูกชายตัวเองถูกคนอื่นนินทาว่าไม่มีน้ำยาให้กำเนิดลูกชายได้
“ท่านแม่ โปรดวางใจ ไม่ใช่แค่ข้า ข้าจะพยายามเตือนพวกเราทั้งหมดถึงเรื่องนี้ด้วย” ซ่งฝูกุ้ยพูดเสียงแผ่ว
ท่านย่าหม่าพยักหน้าอย่างเขินอาย นางไม่เคยเคอะเขินแบบนี้มานานแล้ว ก่อนจะรีบขอตัวออกไปและตะโกนเรียกหมี่โซ่ว
“หมีโซ่ว หยุดยิ้มน่ารักแบบนั้นได้แล้ว มานี่มา ย่ามีลูกกวาดในกระเป๋า เจ้าตามย่ามาเร็วเข้า”