ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 409 สอนพูดโกหก
พอได้ยินคำว่าลูกกวาด ซ่งจินเป่าก็รีบวิ่งแจ้นเข้ามาทันที
พร้อมกับลากเฉียนหมี่โซ่วที่ไม่รู้สึกตื่นเต้นกับลูกกวาดของท่านย่าหม่ามาด้วย
ท่านย่าหม่าส่งกิ่งไม้ให้เฉียนหมี่โซ่ว บอกให้นั่งบนเก้าอี้และให้อยู่คอยช่วยนางเติมฟืน
จากนั้นก็ควักน้ำตาลอี๋ถัง[1]ออกมาจากกระเป๋ากางเกงหนึ่งปึก “อ่ะ กินสิ”
“ท่านย่า ข้าไม่อยากกิน เก็บไว้ให้จินเป่าเถอะ”
“ข้าให้เจ้า ก็รับไว้สิ”
“งั้นข้าเก็บไว้ก่อนแล้วกัน” หมี่โซ่วเก็บใส่กระเป๋า ก่อนเงยหน้าขึ้นเอ่ย
“ท่านย่า ท่านป้าบอกให้ข้ากินน้ำตาลให้น้อยๆ ยิ่งตกดึก ยิ่งไม่ควรกิน หากหลังจากนี้ฟันผุคงดูไม่ดีเอาไว้พี่จินเป่าทำตัวดีๆ ข้าค่อยเอาไว้ให้รางวัลเขา แล้วบอกว่าท่านย่าเป็นคนให้ แบบนี้ดีไหม”
ไอหยา ท่านย่าหม่าได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกตื้นตันใจ
ซ่งจินเป่าของนางโตขึ้นทุกวัน แต่พูดกันตามตรง เทียบกับเด็กอายุห้าขวบที่อยู่อยู่ข้างหน้าไม่ได้สักนิด
ได้ยินมาว่าเจ้าเด็กคนนี้อ่านหนังสือท่องตำราราวกับเล่นของเล่น ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเลยสักนิด
ลองดูคำพูดคำจาของเด็กคนนี้สิ ช่างรู้จักพูดอะไรเช่นนี้ ทั้งไม่หวงของกิน ทั้งนอบน้อม ต่อให้หิวหรืออยากกินอะไรแค่ไหนก็ไม่เคยแย่งของกิน
หลานสาวเคยบอกไว้ว่าอย่างไรนะ อ่อ ใช่สิ ดูมีการศึกษา ได้รับการอบสั่งสอนมาเป็นอย่างดี
เมื่อเปรียบเทียบเด็กคนนี้กับเด็กๆ จากหลายๆ ครอบครัวแล้ว เห็นได้ชัดว่าดูแตกต่างอยู่ไม่น้อย
ไอหยา… ถ้าเป็นลูกหลานในไส้ของตัวเองจริงๆ จะต้องดีไม่น้อย ต่อให้ต้องเลี้ยงดูปูเสื่อหรือต้องเหนื่อยจนสายตัวแทบขาดก็ยอม
“หมี่โซ่ว”
“ทำไมหรือท่านย่า”
“ย่าอยากจะคุยกับเจ้าหน่อย ไม่รู้ว่าเจ้าจะเข้าใจหรือไม่ คือว่า…”
ท่านย่าหม่าเดินไปเติมน้ำลงหม้อพร้อมคิดสรรหาคำพูดไปพลาง
ซ่งฝูเซิงตามเข้ามาอย่างไม่ค่อยไว้ใจเท่าไหร่ ก่อนแอบฟังแม่ของตัวเองพูดคุยเรื่องทัศนคติของการไม่มีลูกชายให้เด็กห้าขวบฟัง ทำนองว่า เป็นเรื่องที่น่าอายอะไรประมาณนั้น
ทั้งหมดก็เป็นเพราะว่าไม่อยากให้เขาเสียหน้า
ซ่งฝูเซิงโมโหจนแทบจะฝ่าเข้าไป แต่ขณะที่เขาทาบมือลงบนบานประตู เสียงคุยกันด้านในก็ทำเอาเขาหยุดชะงัก
“ท่านย่าอย่าไปว่าท่านลุงแบบนั้นเลย หมี่โซ่วจะคอยดูแลท่านลุงยามป่วยไข้เอง และจะทำงานให้ได้ตำแหน่งสูงๆ จะตั้งใจเรียนหนังสือ เติบใหญ่จะได้หาเงินมาคอยเลี้ยงดูท่านลุง ทำให้ท่านลุงมีหน้ามีตากว่าใคร”
ท่านย่าหม่านั่งลงบนเก้าอี้ตั้งพื้นอีกตัว จู่ๆ ก็ยกแขนเสื้อขึ้นมาปาดน้ำตา
ท่านย่าเองก็นึกไม่ถึงว่าเด็กคนนี้จะพูดให้นางร้องไห้ได้
เพียงแค่รู้สึกปวดใจเวลาถูกใครถามถึงเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นใครจะอยากพูดเรื่องโกหกพรรค์นี้
ท่านย่าร้องไห้อยู่ครู่หนึ่ง แล้วรีบเอาแขนเสื้อเช็ดหน้าอีกครั้ง หันไปมองหมี่โซ่วที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยดวงตาแดงเรื่อ นางสัมผัสใบหน้าอันอ่อนโยนของเด็กน้อยด้วยมือหยาบหนา ก่อนปรับน้ำเสียงและคลี่ยิ้มให้หมี่โซ่ว
“ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้ว เจ้าพูดมาสองครั้งแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าความจำดี ในอนาคตเจ้าต้องจำสิ่งที่พูดกับข้าให้ได้นะ”
หัวเล็กๆ ของหมี่โซ่วที่แนบกับมือหนาสากของท่านย่าหม่าพยักขึ้นลงอย่างหนักแน่น
“หมี่โซ่ว แต่ก่อนหน้านี้ข้าไปบอกคนในหมู่บ้านว่าเจ้าเป็นลูกชายของท่านลุงเจ้า เพื่อไม่อยากให้ลุงของเจ้าถูกคนอื่นดูแคลน เจ้าลองคิดดูสิ หากวันไหนไปเล่นไถลพื้นน้ำแข็งอีกแล้วเผลอตะโกนเรียกท่านลุงขึ้นมา จะทำอย่างไร”
หมีโซ่วฟังเข้าใจ “แล้วให้ข้าเรียกว่าอะไร”
ท่านย่าหม่าสูดน้ำมูกที่ไหลออกมาตอนร้องไห้เมื่อครู่
ภายในใจครุ่นคิด จะให้เจ้าเรียกว่าพ่อ ก็ดูไม่ซื่อตรง
“ท่านย่า ไม่งั้นให้ข้าเรียกชื่อ?”
ท่านย่าหม่า “…”
ก็ได้ เรียกชื่อแบบนี้ก็ได้ ถ้าเรียกชื่อก็ไม่น่าเป็นปัญหา
“ตกลง ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงอย่าลืม อย่าเผลอหลุดปากล่ะ แล้วก็อย่าบอกท่านลุงกับท่านป้าของเจ้าว่าข้าคุยอะไรกับเจ้า จำได้หรือไม่ ห้ามบอกใครทั้งนั้น เอาไว้วันหลังข้าจะซื้อลูกกวาดดีๆ ที่ไม่ทำให้ฟันผุมาให้”
“ขอรับ”
“ไหนลองบอกข้าหน่อยสิว่า ก่อนหน้านี้เจ้ากินลูกกวาดแบบไหน ไว้ข้าจะซื้ออันที่เจ้าไม่เคยกินมาให้ แต่เราจะกินของแพงบ่อยๆ ไม่ได้นะ รู้ไหม”
“มีเยอะเลย ที่ข้าเคยกิน…”
ด้านนอก ซ่งฝูเซิงฟังไม่ทันจบก็ผละตัวออกไปอย่างเงียบๆ
ความรู้สึกอันบอกไม่ถูกผุดขึ้นภายในใจของเขา ความพูดมากมายผสมปนเปจนสุดท้ายกลั่นออกมาเป็นใจความที่ว่า หลังจากนี้คงต้องทำตัวดีๆ กับท่านแม่หน่อย ไม่ควรทำตัวรีบร้อนด่วนสรุป
วันที่ยี่สิบเก้า เดือนสิบสอง
เช้าวันรุ่งขึ้น เหล่าหญิงสาวที่ได้รับเงินจากการทำงานราวยี่สิบกว่าคน ต่างส่งยิ้มให้ท่านลุงซ่ง
ส่งยิ้มให้จนท่านลุงซ่งรู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นอย่างอดไม่ได้ “เอาล่ะๆ ใครจะตามไปในอำเภอก็ตามมา ข้าวหม้อใหญ่ปล่อยให้เด็กๆ ไปหุง นำหมั่นโถวและกับข้าวติดไม้ติดมือไปคนละนิดก็พอแล้ว”
บรรดาหญิงสาวแทบจะส่งเสียงกรีดร้องออกมา
พวกนางเพิ่งได้รับเงิน โลกใบนี้กว้างใหญ่ขนาดนั้น พวงนางก็อยากออกไปท่องโลกกับเขาบ้าง
แม้จะต้องจ่ายเหรียญทองแดงไป พวงนางก็อยากให้รางวัลตัวเองก่อนปีใหม่บ้าง
บรรดาหญิงสาวเหล่านี้ไม่ได้ตามกลุ่มของท่านย่าหม่าไปที่เมืองเฟิ่งเทียน
ด้วยเหตุผลประการแรกคือ ท่านย่าหม่ามีเกวียนวัว ซึ่งมีแต่พวกผู้ชายไปช่วย พวกนางจึงไม่จำเป็น
ประการที่สองคือ ค่าครองชีพในเมืองเฟิ่งเทียนค่อนข้างสูง ไปก็ได้แค่เดินดู ซื้อไม่ได้ เงินไม่พอ มิหนำซ้ำระยะทางยังไกลกว่า
ไปกับกลุ่มที่ออกเดินทางไปเมืองถงเหยา อำเภออวิ๋นจงและอำเภอจยาดีกว่า
นอกจากบรรดาหญิงสาวเหล่านี้จะถูกสามีไหว้วานให้ซื้อผ้าไหมผ้าแพรให้คนแก่และเด็กๆ พวกนางยังทำถังหูลู่มากมาย พร้อมกับเสียบเต็มมัดหญ้าฟางเป็นสิบๆ มัด
ถ้าไม่ใช่เพราะพวกนางต้องการช่วยเข็นรถขนมเค้กและต้องการให้ท่านย่าเหล่านั้นได้พักผ่อนในวันนี้ พวกนางคงไม่ทำถังหูลู่เสียบหญ้าฟางยี่สิบมัดตลอดทั้งคืนเพื่อนำไปขายหรอก
จะไปเดินเล่นโดยเปล่าประโยชน์ได้อย่างไร ในเวลาเดียวกันก็ไม่พลาดโอกาสออกไปสู่โลกภายนอก
แต่ถึงแม้โลกภายนอกจะน่าตื่นเต้นมากมายเพียงใด แต่ก็เต็มไปด้วยความไร้หนทาง ไม่ว่าไปที่ไหนก็ต้องคิดหาเงินอยู่ตลอดเวลา
“เดี๋ยวก่อน เวลาขายถังหูลู่ก็พยายามอย่าคุยกับคนอกให้มากนัก”
“ต้องซื้อผ้าสีเข้มหน่อย พวกเด็กชอบเล่นซน ถ้าซื้อสีอ่อนเกินไปก็ใส่ได้ไม่กี่ปี” ก่อนใช้จ่ายจำเป็นต้องคิดตามหลัก…ชุดใหม่ใส่สามปี ชุดเก่าใส่สามปี ฉีกขาดเย็บปะใส่สามปี[2]
ซ่งฝูเซิงลืมเกือบสนิทว่านับวันเด็กๆ ก็โตขึ้นเรื่อยๆ
“อย่าลืมคอยดูแลกันล่ะ อย่าปล่อยให้คนหลง”
“เวลาเดินซื้อของก็เก็บกระเป๋าเงินกันดีๆ อย่าปล่อยใหถูกขโมยล่ะ”
ท้องฟ้ายังคงมืดอยู่ ท่านลุงซ่งยืนอยู่ริมแม่น้ำ พลันนึกเป็นกังวลขึ้นอีกระลอก
ทุกครั้งที่คนในครอบครัวกลุ่มใหญ่ออกเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นใคร เขาก็เป็นแบบนี้อยู่ตลอด ฟ้ายังไม่ทันสางก็คอยตะโกนเตือนอยู่ตลอด
ซ่งฝูเซิงเคยถามเขาว่า “ท่านไม่ง่วงหรือ”
“ข้าสามารถงีบหลับกับเหล่าเด็กๆ ตอนบ่ายได้”
เมื่อฟ้าเริ่มสาง
คนจากตระกูลเริ่นก็ข้ามแม่น้ำมาส่งไก่
พร้อมกับเต้าหู้แช่แข็งและเต้าหู้สดมายังยังอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ
วันนี้หมู่บ้านเหรินจยาก็คึกคักเช่นกัน เพราะหัวหน้าตระกูลเริ่นต้องการแบ่งหมูป่าสองสามตัวที่เกิ่งเหลียงมอบให้ให้คนในหมู่บ้าน
คนที่มารับเนื้อแบ่งจากครอบครัวของเริ่นกงซิ่นคือเริ่นจื่อจิ่ว
ช่วงนี้พ่อของเขาก็เจ็บป่วยค่อนข้างบ่อย ดื่มยาชนิดหนึ่ง อาการหนึ่งดีขึ้น แต่อีกสองสามอาการดันโผล่มาใหม่
ส่วนน้องชายของเขาอย่างเริ่นจื่อเฮ่าก็ยังคงพักฟื้นอยู่ที่บ้าน หน้าตาซีดเซียวจนไม่สามารถออกจากบ้านได้
สะใภ้คนเล็กของเขาก็ถูกเหล่ายายๆ รุมด่าจนไม่กล้าออกจากบ้านเช่นกัน
ภรรยาของเขาอยู่เตรียมกับข้าวที่บ้าน
ซึ่งอันที่จริงเริ่นจื่อจิ่วก็ไม่อยากออกมารับส่วนแบ่งเนื้อนี้ แต่พี่ชายเขาจะกลับมาช่วงปีใหม่ปีนี้ ดังนั้นเขาจึงต้องออกมาบอกข่าว
และก็เป็นไปอย่างที่คิด เมื่อเห็นเริ่นจื่อจิ่ว เหล่าพวกขี้นินทาในหมู่บ้านก็ถามขึ้นทันที “ปีนี้พี่ชายของเจ้าไม่กลับมาอีกแล้วหรือ”
เริ่นจื่อจิ่วสูดลมหายใจเข้าหนึ่งเฮือก ก่อนยืดอกตอบกลับไป “พรุ่งนี้เที่ยงๆ พี่ชายข้าก็กลับมาแล้ว”
“พี่ชายของเจ้าคงมีผู้ติดตามไม่น้อยเลยกระมัง”
“แน่นอน”
ซ่งฝูเซิงก็ได้ยินเช่นกัน ภายในใจคิดว่า ไม่เห็นต้องกระแนะกระแหนกันขนาดนั้นเลย นานๆ ทีลูกชายบ้านเขาจะได้กลับมาฉลองปีใหม่ แทนทีจะยินดีกับพวกเขา แค่ได้ยินก็ระคายหู ถ้าเป็นบ้านอื่นคงถูกต่อยสั่งสอนไปนานแล้ว
ซ่งฝูเซิงแวะมาหาเริ่นโยวจินพร้อมกับนำกระเทียมเหลืองห่อเล็กๆ กับเหล้ากระดูกเสืออ่อน[3]หนึ่งไห เมื่อเข้าประตูบ้านไปก็พบว่าบ้านของเริ่นโยวจินมีเพียงผู้หญิงกับหมาป่าตัวใหญ่ที่วิ่งเข้ามาเห่าใส่เขา จากนั้นเขาจึงหันหน้าไปมองทางศาลเจ้าบรรพบุรุษ
เมื่อเห็นเริ่นโยวจิน ซ่งฝูเซิงจึงกล่าวขึ้น “พวกเราไม่สามารถเจอกันช่วงเดือนแรกของปีได้ ข้าจึงมาหาท่านก่อน”
“ไม่ต้องพูดให้มากความ เจ้าขี้เกรงใจเกินไป ไปดื่มชากัน”
ซ่งฝูเซิงคิดในใจ ก็ต้องเกรงใจสิ พวกข้าอพยพมา ระหว่างทางญาติพี่น้องล้มตายไปจำนวนมาก ก็ต้องระมัดระวังเป็นธรรมดา อีกทั้งพวกข้าก็อพยพเข้ามาอย่างไม่เป็นมิตรเท่าไร
ซ่งฝูเซิงไม่ได้นั่งแช่อยู่ที่บ้านตระกูลเริ่นนานนัก เพราะซ่งฝูกุ้ยมาตามกลับไป บอกว่าครอบครัวเฉินตงส่งคนนำของขวัญปีใหม่มาให้ เถ้าแก่สุยก็มาด้วย
ดังนั้นตลอดทั้งวันของวันที่ยี่สิบเก้า ซ่งฝูเซิงใช้เวลาเกือบทั้งวันอยู่ต้อนรับแขกเรื่ออยู่ที่บ้าน
ครอบครัวเฉินตงนำแอปเปิ้ลและลูกแพร์มาให้อย่างละสองตะกร้า ช่างเหมาะสมกับฤดูกาลนี้ ซ่งฝูกุ้ยบอกเขาว่าให้เก็บไว้ให้เด็กๆ ถือว่าเป็นของขวัญที่มีคุณค่าจริงๆ
เถ้าแก่สุยนำขนสัตว์คลุมไหล่มาให้ห้าตัว ซึ่งมีค่ามาก มองแวบแรกก็รู้ได้เลยว่านำมามอบให้ใครทั้งห้าคน
ของท่านย่าหม่าสีน้ำตาลดำ ส่วนเฉียนเพ่ยอิงกับซ่งฝูหลิงมีปกขนสีขาวตามขอบ ซึ่งสามารถเย็บติดลงบนคอเสื้อได้ ของซ่งฟู่เซิงกับหมี่โซ่วเป็นสีดำ ซึ่งของหมี่โซ่วมีขนาดเล็กกว่าและดำสนิท ไร้สีอื่นแซม
เถ้าแก่สุยนั่งอยู่บนแคร่ในบ้านของซ่งฝูเซิงพลางหัวเราะและเล่าว่า…หนังหมีของเขาขายออกแล้ว เขาขายได้ร้อยตำลึงเงิน ได้เงินมาไม่น้อย ทำให้เขาฉลองปีใหม่ได้อย่างอิ่มหนำสำราญ
หลังจากส่งเถ้าแก่สุยเสร็จ ซ่งฝูเซิงยังอยู่ต้อนรับลูกชายคนโตของครอบครัวปู่หยวน และถามไถ่ว่าท่านพ่อของอีกฝ่ายลุกจากเตียงได้หรือยัง พอได้ยินว่าพอใช้ไม้เท้าค้ำลุกขึ้นยืนได้ ซ่งฝูเซิงก็พลอยมีความสุขมากไปด้วย
ครอบครัวปู่หยวนนำไก่ เป็ด และห่านมาให้
ปู่หยวนคนนี้เป็นคนคิดถี่ถ้วน ของขวัญที่นำมามอบให้ รวมกันได้สามสิบห้าตัวพอดี
ลูกชายคนโตบ้านนี้พูดอธิบายอย่างเคอะเขิน “ท่านพ่อบอกว่า คนที่รอดพ้นจากการอพยพมาได้ ควรกินเนื้อในช่วงวันส่งท้ายปีเก่า”
ต่อมา ซ่งฝูเซิงยังได้ต้อนรับคนอีกสามกลุ่มซึ่งเขาไม่ได้คาดคิดมาก่อน จากกลุ่มโรงเตี๊ยมสองแห่งและกลุ่มที่เปิดร้านเครื่องปรุงรสหลายเจ้า
แห่งหนึ่งเป็นโรงเตี๊ยมจากเมืองถงเหยา อีกแห่งหนึ่งเป็นโรงเตี๊ยมเฉิงหนานจากเมืองเฟิ่งเทียนที่ร่วมการค้าขายกับท่านย่าหม่ากันในระยะยาว และยังมีร้านเครื่องปรุงรสจากอำเภอจยาอีก ก่อนหน้านี้แค่คิดว่าคนเหล่านี้เป็นเพียงคู่ค้า แต่นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมอบของขวัญปีใหม่ให้
ของขวัญมีทั้งของหนักของเบา มีทั้งกล่องผลไม้เชื่อมน้ำผึ้ง พุทรา ลำไย และข้าวเหนียวต่างๆ นานา
สิ่งที่ซ่งฝูเซิงมอบให้คนเหล่านี้กลับคืนไปคือสาเกที่ครอบครัวหมักเองและพริกเคี่ยวโหลเล็กๆ
บอกตามตรง เขาไม่เสียดายของที่ให้กลับ แต่เขาเสียดายโหลนั่นมากกว่า
ตกเย็น ท่านย่าหม่ากลับมาพร้อมกับของขวัญจากโรงน้ำชา ท่านลุงซ่งจึงรีบพาทุกคนออกเดินทางทันที
ในบ้านจึงเหลือแค่เด็กๆ ที่อายุต่ำกว่าแปดขวบ
เกรงว่าเด็กเล็กจะร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงขณะเดินทาง อีกอย่าง กลัวพวกเขาเห็นสิ่งไม่ดีจากโลกภายนอก เหล่าผู้ใหญ่จึงไม่อยากให้ไปเท่าไร
ส่วนที่เหลือก็พากันไปเผากระดาษกงเต็ก
การเคลื่อนไหวนี้ทำเอาชาวบ้านในหมู่บ้านตะลึงอีกครั้ง
กลุ่มคนที่อยู่อีกฝั่งของแม่น้ำ แม้จะเห็นผู้คนเข้าออกอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่ค่อยเห็นกลุ่มคนขนาดใหญ่เท่านี้ข้ามมาฝั่งนี้มากนัก
คนกลุ่มนี้ยังมาพร้อมกับรถเข็นหลายคัน
บรรทุกอะไรงั้นหรือ บรรจุกระดาษเหลืองกงเต็กอย่างไรเล่า
คนที่ไม่รู้ก็คิดว่าพวกเขาทำกระดาษเหลืองกงเต็กขาย มิหนำซ้ำยังซื้อไปไม่น้อย
ใช่แล้ว ผู้คนที่อยู่อีกฝั่งของแม่น้ำพากันซื้อกระดาษเหลืองกงเต็กไปจำนวนมาก ซื้อไปก็ไม่เสียหาย
หากไม่มีสุสานใช้เผาส่งให้บรรพบุรุษ ก็แค่เขียนชื่อบรรพบุรุษลงกระดาษและเผาอยู่ตรงทางแยกก็ใช้ได้แล้ว
————————
[1] น้ำตาลอี๋ถัง คือน้ำตาลที่เกิดจากการหมักเมล็ดธัญพืช เช่น ข้าวโพด ข้าวบาร์เลย์ ข้าวสาลี ข้าวฟ่าง หรือข้าวโพด มีรสชาติหวานหอม อีกทั้งมีคุณสมบัติเป็นยาในทางแพทย์แผนจีน
[2] ชุดใหม่ใส่สามปี ชุดเก่าใส่สามปี ฉีกขาดเย็บปะใส่สามปี เป็นแนวคิดที่แสดงถึงความประหยัดมัธยัสถ์ของคนจีนในสมัยก่อน หมายความว่าเสื้อผ้าใหม่ใส่ได้สามปี พอเริ่มเก่าแล้วก็ใส่ได้อีกสามปี และเมื่อเริ่มขาดก็ใช้เศษผ้าเย็บปะปิดรอยฉีกขาด ก็สามารถใส่ต่อได้อีกสามปี
[3] เหล้ากระดูกเสืออ่อน เป็นเหล้าที่เคี่ยวจากกระดูกเสือและสมุนไพรจีน เป็นเครื่องดื่มที่เชิดหน้าชูตาสำหรับคนมีฐานะ