ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 410 คิดถึงท่าน / ตอนที่ 411 ปล่อยให้ความรักอยู่ในบ้านข้า
ตอนที่ 410 คิดถึงท่าน
ณ ทางแยก
ท่านลุงซ่งโบกมือและมองไปในความมืดพร้อมตะโกนว่า
“เฮ้ สิ้นปีแล้ว มานำเงินไปซื้อเหนียนฮั่ว[1]กันได้แล้วทุกคนนน”
เมื่อแสงไฟสว่างวาบ บรรดาชายฉกรรจ์ก็ยกกระดาษกงเต็งสีเหลืองลงมาจากรถเข็นเป็นปึกๆ
ราวกับปู่ซ่งมองเห็นใบหน้าผู้คนยิ้มร่าอยู่กลางท้องนาอยู่หลายคนก็ไม่ปาน จากนั้น เขาก็โบกมือเรียก
“ปาจินเอ๋ย สั่วจู้ หวางฉาย ทุกคนในครอบครัวซ่งหม่าจื่อ…
…เต๋อฟู่ อู่จู้ หลี่เกิน เถี่ยซู่…
…โซ่วฉาย ต้าลู่จื่อ เสียยาจื่อ ทุกคนในครอบครัวต้าหู…
…เอ้อร์เนา ชานกังจื่อ ซื่อเบิ้งจื่อ อู่ฉางจื่อ…”
เขม่าควันดำหม่นพวยพุ่งเป็นริ้วสาย ยามสายลมพัดผ่านก็ม้วนตัวลอยขึ้นสูง
เผากันเยอะเกินไปแล้ว
ต้องขอบคุณที่การเดินทางและการติดต่อสื่อสารที่ไม่สะดวก มิฉะนั้น เผากันแบบนี้จะทำให้ทั้งอำเภอตื่นตระหนกกันหมด
เดี๋ยวคนที่ไม่รู้ก็ นึกว่าเป็นไฟป่าล้างผลาญ
แม้อยู่ห่างไกลอย่างในอำเภอและไม่ทำให้ที่ว่าการอำเภอแตกตื่น ชื่อของแต่ละคนที่ท่านลุงซ่งเรียกหา กลับทำเอาชาวบ้านในหมู่บ้านเหรินจยาและหมู่บ้านรอบๆ รู้สึกสะเทือนใจ
คนพวกนี้ที่อพยพมาที่นี่ กำลังรำลึกถึงเพื่อนพ้องที่บ้านเกิดอยู่
มิน่าถึงเตรียมกระดาษกงเต็กเหลืองมาเยอะขนาดนั้น ที่แท้ก็เผาให้คนเหล่านั้นนี่เอง
หัวหน้าตระกูลเริ่นอย่างเริ่นโหยวจินที่หรี่ตามองคนพวกนั้นอยู่ไกลๆ พลันรู้สึกแสบตาอย่างบอกไม่ถูก
เหล่าหญิงสาวหลายคนในหมู่บ้านเหรินจยา หลังจากได้ยินเก๋อเอ้อร์นิวตะโกนเรียกเช่นนั้น ก็พากันขอบตาแดงเรื่อขึ้นมา
“ลูกจ๋า ลูกของแม่
…แม่หวังว่าเจ้าจะเป็นอยู่สุขสบาย หวังว่าจะได้รับเงินพวกนี้…
…แต่แม่ก็เป็นห่วงเจ้า ถ้าเกิดเจ้าอยู่ที่สัมปรายภพจริง แล้วเกิดไม่มีเงินใช้ เจ้าคงท้องหิวแน่”
ในสายตาของทุกคนในหมู่บ้านเหรินจยามองว่ากลุ่มคนที่อยู่ที่ริมแม่น้ำช่างเหมือนกับเก๋อเอ้อร์นิวยิ่งนัก
พวกเขาที่ได้ยินต่างพากันรู้สึกดีใจและเสียใจ
บ้างก็ตะโกนเรียกลูกชาย
บ้างก็ตะโกนเรียกลูกสาว
บ้างก็ตะโกนเรียกพี่ป้าน้าอา
ซ่งฝูเซิงที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่มคนพวกนั้น กำลังเผากระดาษพลางตะโกนเรียกพ่อตาของตัวเอง
เมื่อเผาเสร็จ ก็เหลือทิ้งไว้เพียงเถ้ากระดาษกองอยู่ตรงนั้น ถมทับกันจนเกลื่อนทางแยก
ท่านย่าหม่าเหน็บมือของซ่งฝูหลิงไว้ใต้รักแร้ของนางพร้อมพาเดินกลับบ้าน และสั่งให้หลานสาวจับต้ายาไว้ ก่อนห้ามไม่ให้ต้ายา เอ้อร์ยาและเอ้อร์หลางหันกลับไป
ขณะเดินทางกลับก็พบกับพวกจิ่วส่าว ทว่าใบหน้าท่านย่าหม่ากลับไร้ซึ่งรอยยิ้ม
เมื่อครู่นางตะโกนบอกสามีของนางว่า… ย้ายบ้านแล้ว ย้ายมาอยู่ที่เมืองเฟิ่งเทียน หมู่บ้านเหรินจยาแล้ว ขออย่าได้อยู่ในที่ที่อกุศลเลย สิ้นปีแล้ว เจ้าก็อย่าขี้เหนียวล่ะ อยู่ทางนั้นก็อย่าลืมใช้เงินที่ส่งให้ซื้อเหนียนฮั่ว…”
เพิ่งจะตะโกนพูดเรื่องพวกนี้จบ แล้วท่านย่าหม่าจะมีกะจิตกะใจที่ไหนไปทักทายผู้คนอย่างร่าเริง
พวกจิ่งส่าวต่างแอบเช็ดน้ำตาด้วยความเข้าใจ ทุกคนต่างเข้าใจความรู้สึกของท่านย่าหม่า จึงได้แต่เพียงพยักหน้าทักทายอย่างมีมารยาท
เมื่อทุกคนกลับถึงบ้านแล้ว บรรดาผู้ชายด้านนอกที่เพิ่งปล่อยมือออกจากรถเข็นก็แทบอยากจะวิ่งเข้าไปเรียกเด็กๆ ที่ส่งเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวในบ้านมาสั่งสอน
โดยเฉพาะซ่งจินเป่า
เขามีความผิดอยู่สองอย่าง
อย่างแรก ในฐานะที่เป็นเด็กอายุมากสุด เขาถูกสั่งให้รับผิดชอบดูแลเหล่าน้องๆ สุดท้ายกลับเป็นหัวโจกพาเหล่าน้องๆ ตะโกนเจี๊ยวจ๊าวกันอยู่บนแคร่
ขณะที่ผู้ใหญ่พากันเผากระดาษกันอย่างเศร้าโศก พวกจ้ากลับเล่นหัวเราะดังลั่นกันอยู่ในบ้าน แบบนี้จะไม่ให้ถูกตีได้อย่างไร
อย่างที่สอง แล้วหมี่โซ่วล่ะ ทำไมปล่อยให้เขาหายไปไหน
เด็กตั้งเยอะ ปล่อยให้หมี่โซ่วหายไปได้ทั้งคน
สุดท้ายซ่งฝูหลิงตามหาหมี่โซ่วเจออยู่ที่คอกม้าเสี่ยวหง
เมื่อครู่ ตอนที่ซ่งฝูหลิงเผากระดาษให้ปู่ในยุคปัจจุบัน นางไม่ได้ร้องไห้ เผาห้ย่าในยุคปัจจุบันก็ไม่ร้องไห้ ให้ปู่ในยุคอดีตก็ไม่ร้องไห้เช่นกัน แต่กลับบ่อน้ำตาแตกเมื่อเห็นหมี่โซ่ว
ภายในคอกม้า เห็นเพียงเด็กตัวน้อยๆ จุดธูปสามดอกและนั่งคุกเข่าอยู่ด้านใน พลางเอ่ย
“ท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านแม่ มีวันหนึ่งป้าใหญ่วิ่งผมเผ้ากระเซอะกระเซิงออกมาบอกว่า ฝันเห็นลูกชายคนที่สองของหิวโซ…
…ข้าเคยถามท่านลุงว่าทำไมข้าถึงไม่เคยฝันเห็นพวกท่านบ้าง…
…ท่านลุงบอกว่าเป็นเพราะพวกท่านรักข้า จึงไม่อยากมาเข้าฝัน…
…แต่ว่า ข้าคิดถึงพวกท่านเหลือเกิน หมี่โซ่วคิดถึงท่านแม่เหลือเกิน”
ตอนที่ 411 ปล่อยให้ความรักอยู่ในบ้านข้า
หลังจากซ่งฝูเซิงกลับมาก็รีบบึ่งไปเผากำแพงไฟที่โรงพริก
เมื่อเผาเสร็จก็ออกมาตรวจดู…ให้มันได้แบบนี้สิ ปัญหาแรกเพิ่งแก้ ปัญหาที่สองก็ตามมา
ลูกสาวของเขาเพิ่งตามหาหมี่โซ่วเจอ แต่ตัวนางกลับหายหัว
เมื่อเขาตามไปดูที่คอกม้า ก็เห็นสองพี่น้องกำลังกอดคอกันร้องไห้ มือข้างหนึ่งของลูกสาวของเขากำลังถือไฟแช็ก แต่ก็กอดน้องชายได้อย่างไม่เป็นอุปสรรค
โดยปกติแล้วฝูหลิงเป็นคนร้องไห้ยาก ซุกซนมาตั้งแต่เด็ก แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น
เดินเข้าไปดูใกล้ๆ ธูปสามแท่งมอดดับ ไฟแช็กถูกวางลงอยู่ข้างๆ
หมี่โซ่วไปแอบขโมยไฟแช็กมาตอนไหน
แต่ซ่งฝูเซิงพอก็พอจะเดาออกแล้ว
“มานี่เร็วเข้า ไอหยา ไม่ร้องๆ ดูหน้าตาเหยเกเจ้าสิ เหมือนยายแก่เลย” ซ่งฝูเซิงสวมกอดหมี่โซ่ว พร้อมกับเหลือบมองซ่งฝูหลิง
ซ่งฝูหลิงพูดขึ้น “ท่านพ่ออุ้มเขากลับไปก่อน เดี๋ยวข้าขออยู่เก็บกวาดที่นี่สักนิด ตรวจดูว่าไม่มีสะเก็ดไฟแล้วค่อยไป ไม่เช่นนั้นเสี่ยวหงคงกลายเป็นม้าย่าง”
——
ที่บ้านฝั่งตะวันตกกับฝั่งตะวันออก เริ่มมีความเคลื่อนไหวภายในบ้าน
มันเหมือนกับภาพตอนย่างเท้าเข้ามาตั้งรกรากและอาบน้ำที่นี่เป็นครั้งแรก
ซื่อจ้วงกับหนิวจั่งกุ้ยเติมน้ำลงไปในอ่างแช่ ถังแล้วถังเล่า
หมี่โซ่วนั่งอยู่ในอ่างใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยน้ำอุ่น
ซ่งฝูเซิงนั่งลงข้างๆ แคร่ ปลายแขนเสื้อเปียกชุ่ม เขาอาบน้ำให้หมี่โซ่วพลางเอ่ยถาม “เจ้าบ่นอะไรกับบรรพบุรุษเจ้างั้นหรือ”
หมี่โซ่วเม้มปากแดงเรื่อเล็กๆ พร้อมกวนมือเล็กๆ ทั้งสองข้างไปพลาง “ไม่ได้บ่นอะไร”
“เป็นไปไม่ได้ เจ้าฟ้องว่าข้าเข้มงวดเกินไปใช่หรือไม่”
หมีโซ่วส่ายหัว ก่อนมองเข้าไปในดวงตาของซ่งฝูเซิง “จะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร”
ที่บ้านฝั่งตะวันตก เฉียนเพ่ยอิงกำลังคุยกับซ่งฝูหลิงอยู่เช่นกัน
เห็นลูกสาวที่เกล้าผมขึ้น นางจึงถามอีกว่า “ตอนที่เจ้าเจอหมี่โซ่ว เขาบ่นอะไรให้ธูปฟังหรือ”
“เยอะแยะ ท่านก็รู้กันอยู่ว่าหมี่โซ่วของพวกเราเป็นคนช่างพูด”
ซ่งฝูหลิงคลายผม นางใช้มือสางผมพลางเอ่ย
“ไม่นึกว่าเขาจะจำเหตุการณ์ช่วงแรกๆ ได้ ตอนที่ท่านแม่บอกกับท่านพ่อว่า พวกเราทั้งสามคนต้องทำอย่างไร เขาบอกว่าตอนที่เขาฟังอยู่ข้างๆ ก็รู้สึกกลัวตามไปด้วย…
…แล้วก็รีบบอกภายหลังว่าไม่กลัวแล้ว…
…เขายังบอกว่าได้กินแกงงู ได้เห็นท่านปู่เกากินกระรอกน้อย และแอบดื่มน้ำบ๊วยที่ข้าให้ไว้ แต่ไม่กล้าเอ่ยปากขอ แต่มันช่างอร่อยเหลือเกิน เขากลัวว่าคนอื่นจะได้กลิ่น จึงดื่มนมที่ท่านพ่อแอบเอาให้เขาล้างปาก
…แล้วท่านแม่ล่ะ”
“ห๊ะ?”
ซ่งฝูหลิงเกาะขอบอ่างพลางพูดกระซิบเสียงแผ่ว “ดูเหมือนหมี่โซ่วจะจำเรื่องปรอทวัดอุณหภูมิได้”
เฉียนเพ่ยอิงถอนหายใจ
“เพิ่งจะห้าขวบเอง…
…ถ้าเขาเริ่มโตกว่านี้ เราคงจะหยิบของออกมาข้างนอกอย่างไม่ระวังไม่ได้แล้ว…
…ดูอย่างวันนี้สิ หมี่โซ่วแอบใช้ไฟแช็กไปแล้ว…
…พอถามหมี่โซ่วว่า รู้ได้อย่างไรว่าไฟแช็กซ่อนอยู่ที่ไหน…
…เพราะของพรรค์นี้ไม่ใช้ของที่หาได้ทั่วไปที่นี่ จึงไม่ได้เอาออกมาใช้…
…แอบซ่อนไว้ข้างนอกหนึ่งอัน เผื่อเอาไว้ใช้ตอนไปเข้าห้องน้ำกลางดึก…
…แต่ปกติก็ซ่อนมันไว้อย่างมิดชิด โดยเฉพาะในบ้านมีเด็กๆ อีกทั้งที่บ้านมีคนเข้าออกตลอดทั้งวัน จึงต้องเอาซ่อนไว้ในตะกร้าสาน…
….ทว่าหมี่โซ่วกลับแอบเอาออกมาได้…
…ลองคิดดูสิ เขารู้ได้อย่างไรว่าซ่อนอยู่ที่ไหน…
…เขาบอกว่าแอบเห็นท่านแม่ใช้…
…ลองคิดดูสิว่าเขาใช้เป็นได้อย่างไร ทั้งที่ไม่มีใครเคยสอน…
…หากถามเขาเช่นนั้น หมี่โซ่วคงจะตอบด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายว่า…มันใช้ยากตรงไหน ก็แค่กดก็มีไฟออกมาแล้ว…
…แล้วตอนจุดเวลามีลมพัด เปลวไฟไม่ลวกมือหรือ…
…หมี่โซ่วก็จะตอบด้วยสีหน้าประมาณว่า…นี่พี่สาวโง่หรือข้าโง่กันแน่ เวลาจุดธูป มือข้างหนึ่งจุดไฟ มือข้างหนึ่งป้องลมไงเล่า”
ซ่งฝูหลิงพูดต่อ
“ท่านแม่ เขาไม่ได้บ่นแค่ว่า ตลอดการอพยพได้กินดื่มอะไรไป เขายังเล่าความกังวลให้วิญญาณฝั่งโน้นฟังด้วยนะ…
…พูดว่า พ่อข้าบอกเขาว่า เวลาเห็นคนไม่ดีได้รับการลงโทษ นั่นเป็นเพราะว่าท่านปู่กับพ่อแม่บนสวรรค์กลายเป็นเทพเซียนคอยปกป้องคุ้มครองอยู่…
…ดังนั้น ไหนๆ ก็ใกล้จะปีใหม่ ในเมื่อท่านปู่กับพ่อแม่นั่งเครื่องบินขึ้นสวรรค์ไปกันแล้ว เช่นนั้นพวกท่านสามารถปกป้องคุ้มครองเหล่าคนดีบ้างได้หรือไม่…
…มีพี่แม่ทัพเล็ก มีท่านลุงที่ซื้อถั่วเมล็ดสนให้เขา แล้วยังพูดถึงท่านย่าที่คอยให้รางวัลเขา เวลาที่ไม่พูดแดกดันคนอื่น มิหนำซ้ำยังบอกรายละเอียดว่าหน้ากลมๆ มีคางบุ๋ม กลัวว่าจะปกป้องคุ้มครองผิดคน”
ซ่งฝูหลิงพูดต่อพร้อมรอยยิ้ม
“พวกเราก็ไม่รู้ว่าไปจำการพูดแบบนี้มาจากใคร เขายังถอนหายใจพูดกับธูปอีกว่า…เฮ้อ หนี้บุญคุณเป็นหนี้ที่ชดใช้ยากที่สุด…
…ท่านแม่รู้หรือไม่ เขายังกำชับท่านปู่และพ่อแม่ของเขาบนสวรรค์ว่า ให้ดลบันดาลให้ท่านพ่อของข้าหาเงินได้เยอะๆ บอกว่าข้ากับเขากินจุ ถ้าหาเงินไม่ได้แล้วท่านลุงจะเอาจากที่ไหนมาเลี้ยงดู
…ยิ่งไปกว่านั้น ยังถามธูปสามดอกกลับไปว่า…ยังสามารถมีชีวิตการเป็นอยู่แบบนี้ต่อไปได้หรือไม่ แบบที่ว่า ท่านลุงหาเงินได้เยอะๆ โดยไม่ต้องเหนื่อยมาก…
…ท่านแม่ เขาเพิ่งจะห้าขวบเอง แต่เขากลับขอให้ข้าตั้งครรภ์”
เฉียนเพ่ยอิงมองลูกสาวตัวเองอย่างตกใจ
“จริงๆ เลยเจ้าเด็กคนนี้ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เขาเล่าว่าเมื่อวานท่านย่าไปหาเขา ทำเอาเขาต้องแบกภาระหนักอึ้งไว้ในใจ ตอนนั้นเขาใช้น้ำเสียงเป็นกังวลบอกว่าไม่อยากให้ท่านลุงเสียหน้าเวลาออกไปเจอผู้คน ถูกคนรอบข้างดูแคลนมันไม่ดี เป็นไปได้ไหมที่จะดลบันดาลให้ท่านลุงมีลูกชาย”
เฉียนเพ่ยอิงหลุดขำ “ไม่เป็นไร งั้นให้พ่อของเจ้าคลอดเองแล้วกัน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้า”
หัวเราะจบก็โพล่งถามขึ้น “แล้วหลังจากนั้น พวกเจ้าสองคนกอกคอกันร้องไห้ได้อย่างไร”
ซ่งฝูหลิงหุบยิ้มนิ่วหน้า “หมี่โซ่วบอกว่าไม่กลัวที่จะถูกเข้าฝัน แต่กลัวว่าใบหน้าของท่านปู่และพ่อแม่จะเริ่มเลือนรางไปจากความทรงจำเขา”
เฉียนเพ่ยอิงทำทีเป็นรีบลุกไปเติมน้ำร้อน
ในเวลาเดียวกัน ณ บรรยากาศในบ้านฝั่งตะวันตกกลับไม่เลวร้ายนัก
ซ่งฝูเซิงก็กำลังพูดเรื่องให้กำเนิดลูกชายอะไรทำนองนี้อยูพอดี
เขาชี้แนะเด็กคนนี้ว่า
“หมี่โซ่ว ในชาตินี้ ลุงขอแค่เลี้ยงดูเจ้ากับพี่สาวของเจ้าให้เป็นผู้เป็นคนและไม่ออกนอกลู่นอกทาง แค่นี้ก็พอแล้ว…
…ลุงไม่อยากมีลูกเพิ่ม…
…เมื่อเติบใหญ่ ขอแค่พวกเจ้าทั้งคู่ได้ใช้ชีวิตตามที่ลุงปรารถนา อย่าทำให้ลุงผิดหวัง เท่านี้ข้าก็เดินตัวลอยออกไปนอกบ้านได้แล้ว แล้วจะต้องเอาอะไรไปเสียหน้าอีก จะบอกอะไรให้ ข้ามีตั้งหลายหน้านะ…
…การมีลูกเพิ่มอีกคน หากเลี้ยงดูไม่ดีคงมีแต่เรื่องเป็นกังวล แบบนั้นไม่น่าจะดีเท่าไหร่…
…อีกอย่าง ลุงเองก็มีเจ้าอยู่ทั้งคนแล้วไม่ใช่หรือ”
หมี่โซ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย “แต่ข้าเป็นของเก๊”
อยู่ๆ ซ่งฝูเซิงก็ตระหนักขึ้นได้ว่า… หลังจากนี้ห้ามพูดจาหลักลอยต่อหน้าเด็กๆ
“ข้าคือของเก๊” ประโยคนี้เป็นประโยคที่เขาหลุดปากพูดอย่างไม่ทันคิด ไม่รู้ว่าเด็กไปได้ยินตอนไหน
“เจ้าไม่ใช่ของเก๊ เจ้าคือสมบัติล้ำค่าที่สุดของตระกูลเฉียน เป็นความภาคภูมิของครอบครัว เป็นพรที่พระเจ้ามอบให้ลุง ฟังนะ มีบางเรื่องที่เจ้ายังไม่ค่อยเข้าใจ ไม่ต้องไปฟังที่ท่านย่าพูด ลุงจะค่อยๆ อธิบายให้เจ้าฟังเอง แต่ก่อนอื่นช่วยลุงถูหลังหน่อย”
ทำเอาหมี่โซ่วหืดขึ้นคอ ถูด้านขวาเสร็จต่อด้วยด้านซ้าย มือล้าไปหมด จากนั้นท่านลุงก็แกล้งเขา โดยจับมาจั๊กจี้ทั่วทั้งตัว
ทั้งสองพลันโล่งอกลงทันที
ไม่นานหนิวจั่งกุ้ยกับซื่อจ้วงก็ได้ยินเสียงหัวเราะของซ่งฝูเซิงดังลอดออกมา
เห็นคุณหนูกับคุณชายน้อยตาแดงก่ำกลับมา ทำเอาพวกเขาทั้งคู่เป็นห่วงแทบแย่
ยังมีอีกคนที่เป็นห่วงแทบแย่เช่นกัน ซึ่งก็คือท่านย่าหม่า
ตั้งแต่ท่านย่าเข้าห้องก็ทำตัวแปลกๆ
เหลือบมองไปทางบ้านฝั่งตะวันตก เมื่อเงี่ยหูฟังสถานการณ์ทางฝั่งหมี่โซ่วแลดูปกติ พวกเขาจึงสบายใจขึ้น ก่อนจะขยับไปฟังทางฝั่งซ่งฝูหลิงต่อ
“พั่งยา ย่ากำลังเรียกเจ้ากับหมี่โซ่วอยู่นะได้ยินไหม ใกล้ปีใหม่แล้ว สัมภเวสีผีเร่ร่อนข้างนอกชุกชุม ระวังอย่าให้พวกมันตามกลับมาได้ล่ะ”
“ไอหยา ท่านย่า หยุดพูดได้แล้ว ขืนพูดต่ออีก ข้าเริ่มกลัวจริงๆ แล้วนะ”
ก่อนผละตัวออกมา ท่านย่าหม่าได้กำชับเฉียนเพ่ยอิงซ้ำแล้วซ้ำอีก “ซุกมีดหั่นผักไว้ใต้หมอนให้เด็กๆ ด้วย”
ปากตอบรับไปอย่างนั้น แต่ไม่มีใครฟังท่านย่าหม่าจริงๆ สักคน
ซ่งฝูหลิงกับคนเป็นน้องอย่างหมี่โซ่วนอนอยู่ข้างๆ พ่อแม่
ค่ำคืนนี้ พวกเขาจงใจไม่นอนแยกเตียงกัน
น้องชายอย่างหมี่โซ่ว นอนซุกอยู่ในอ้อมกอดท่านพ่อ ส่วนพี่สาวอย่างฝูหลิงก็นอนอยู่ข้างๆ ท่านแม่
ซ่งฝูเซิงนอนลงพลางเอ่ยถาม “เจ้าคิดว่าเหมือนอะไร”
ขณะที่ซ่งฝูหลิงยังคิดไม่ทัน หมี่โซ่วก็ยิ้มและพูดว่า “เหมือนตอนที่อพยพไง ตอนนั้นก็นอนกันแบบนี้”
ค่ำคืนวันนี้ ทั้งสี่คนเข้านอนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เป็นการนำรอยยิ้มมงคลมาสู่วันสุดท้ายของปีที่สี่สิบเจ็ด ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่
————————-
[1] เหนียนฮั่ว หมายถึงของใช้ในช่วงเทศกาลปีใหม่ของคนจีน