ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 412 จะยากดีมีจนต่างก็ต้องฉลองปีใหม่
เช้าวันที่สามสิบของปลายปี
มีคนสองคนที่กำลังรีบร้อนกลับบ้านให้ทันปีใหม่
คนหนึ่งคือเริ่นจื่อเซิง
ในที่สุดเขาก็พาภรรยาที่ชอบดูแคลน “ตระกูลเริ่น” กลับบ้านเกิดมาจนได้
เมื่อถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน เถ้ากระดาษกงเต็กกองเป็นพะเนินสะดุดตา ทำเอาคนควบรถม้าเกือบตกใจ
มันใช่เรื่องที่ต้องลงไปเปิดทางด้วยตัวเองไหม
ถ้าเกิดคน “ฝั่งนั้น” ยังเก็บเงินไปไม่หมด แบบนี้พวกเขาจะไม่ถูกสาปแช่งหรอกหรือ
ถ้าไม่ลงไปเก็บกวาด แล่นรถม้าเหยียบทับเถ้ากระดาษไป บรรดาเจ้านายจะไม่โกรธเอาหรอกหรือ ยิ่งวันนี้เป็นสิ้นปี วันที่สามสิบแล้ว
“นายท่าน”
นายท่านเริ่นจื่อเซิงยังไม่ทันพูด ฮูหยินซย่าเหวินฮุ่ยก็หน้านิ่วคิ้วขมวดเสียแล้ว
ช่างเป็นพื้นที่กันดารอะไรอย่างนี้ ทำไมต้องหอบสังขารมาที่บ้านนอกด้วย ยังไม่ทันเข้าหมู่บ้านก็เจอเรื่องไม่ราบรื่นเสียแล้ว
เริ่นจื่อเซิงได้แต่อดทนอยู่ในใจ กำหมัดพลางพูดใส่เถ้ากระดาษเหล่านี้ “พวกบ้า เล่นพิเรนทร์ รีบอ้อมไปเร็วเข้า”
ส่วนอีกคนก็คือท่านพ่อของลู่พั่นก็กลับมาเช่นกัน
เดิมทีลู่เหล่าเย่คาดการณ์ไว้ว่าจะถึงบ้านช่วงวันที่ยี่สิบแปด เดือนสิบสอง แต่เนื่องจากการสัญจรระหว่างทางมีหิมะตกหนัก บดบังวิสัยทัศน์ ทำให้การเดินทางล่าช้าลง
ณ จวนลู่ในขณะนี้ ไม่ว่าจะผู้อาวุโสไปจนถึงผู้เยาว์ ต่างพากันยิ้มแย้มร่าเริง
ในฐานะทายาทเพียงคนเดียวอย่างลู่พั่น วิธีการต้อนรับท่านพ่อของเขาก็คือจัดวางดอกไม้หลากสีที่ทำเองกับมือไว้เต็มสองข้างทาง ตั้งแต่ปากทางเข้าหมู่บ้านจนถึงประตูบ้าน
บรรดาบ่าวรับใช้เดินวนกันไม่หยุดและสื่อสารกันอยู่เป็นระยะๆ
“อีกยี่สิบลี้ก็จะถึงแล้ว”
“อีกสิบลี้”
“อีกห้าลี้”
เมื่อรถของลู่เหล่าเย่เลี้ยวเข้ามาที่ปากทาง ภาพดอกไม้หลากสีก็กระทบลูกตาเขา
ลู่เหล่าเย่ยิ้มร่า…ลูกชายของข้า หมินหรุ่ย ลูกชายของข้า!
เขาไม่ได้เจอลูกชายตัวเองนานมากแล้ว คิดถึงแทบแย่
เมื่อลู่เหล่าเย่เห็นดอกไม้หลากสีที่ถูกจัดอย่างสวยงาม ดวงตาของเขาเป็นประกาย ราวกับพยายามจะสื่อความว่า
“ลูกข้า รอข้าก่อน รอข้าถอดเกราะ เปลี่ยนชุดลำลองและเข้าวังก่อน ต้องเข้าวังไปกราบทูลฮ่องเต้และกราบไหว้บรรพบุรุษเจ้าให้เสร็จ เจ้าต้องอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนข้าแล้ว”
ลู่พั่นยิ้มพลางพยักหน้า ในเวลาเดียวกันก็คิดกับตัวเอง
ค่ำคืนนี้วังกลางจัดงานเลี้ยงฉลอง จากนั้นก็กลับจวนฉลองโต้รุ่งในคืนสิ้นปี
หนังสือที่น่าสนใจก็อ่านหมดแล้ว เหลือแค่อยู่เป็นเพื่อนพูดคุยกับท่านปู่และท่านพ่อ ไม่รู้ว่าเดือนแรกวันที่ห้าจะได้เจอกันอีกครั้งหรือไม่ ซ่งพั่งยาจะตอบกลับครั้งที่สี่ร้อยห้าสิบให้เขาหรือไม่
ทำไมถึงเป็นครั้งที่สี่ร้อยห้าสิบ
ครั้งที่แล้วเป็นครั้งที่สามร้อยเก้าสิบห้า พอไม่ได้เจอกัน ก็เขียนหากันอยู่เรื่อยๆ และเพิ่มเป็นครั้งที่ สี่ร้อยห้าสิบแล้ว
“พี่พั่งยาดูอะไรอยู่หรือ”
ซ่งฝูหลิงนวดหูที่ร้อนฉ่าเล็กน้อย จากนั้นก็กวักมือ ยิ้มให้ยายา “พอแล้ว พอแล้ว พี่จะเล่นด้วยจริงๆ แล้วนะ”
เล่นเกมนกอินทรีจับลูกไก่[1]
เถาฮวานำกลุ่มหญิงสาว ซ่งฝูหลิงนำกลุ่มเด็กๆ
ส่วนหมี่โซ่วกับพวกเด็กตัวเล็กๆ ก็พากันหอบเม็ดถั่วเหลืองใส่ผ้าและเล่นโยนจากหลุมหนึ่งไปหลุมหนึ่ง
ยังมีเหล่าเด็กซุกซนที่ขว้างก้อนหิมะใส่กัน เล่นกันไปมาก็พาลทะเลาะกันเอง
เหล่าเด็กผู้ชายที่ยังไม่ค่อยโตอย่างเอ้อร์หลางก็พากันเล่นลูกข่างบนพื้นน้ำแข็ง
ตรงที่ไม่ไกลกันนัก พวกเกาเถี่ยโถวและต้าหลังกำลังฝึกไถลพื้นน้ำแข็ง ขณะเดียวกันก็ได้ยินเหล่าเด็กผู้ชายในวัยเสียงแตกพานตะโกนโหวกเหวก พร้อมเสียงลื่นล้มโครมคราม
บนพื้นน้ำแข็ง ก้องกังวานไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของเด็กๆ และหญิงสาว
อีกฝากหนึ่งของแม่น้ำ มีเหล่าเด็กๆ สิบกว่าคนจากหมู่บ้านเหรินจยายืนดูอย่างอิจฉา
“มานี่สิ มาเล่นด้วยกัน”
เหล่าเด็กๆ จากหมู่บ้านเหรินจยาตะโกนร้องเริงร่า ลืมไปว่าแม่ของตัวเองกำชับมาว่าห้ามทำเสื้อผ้าสกปรก
ในเวลาเดียวกันที่ห้องอาหาร
บรรดายายๆ ทั้งแปดคนก็ออกโรงพร้อมกันอีกครั้ง
หนึ่งทหารแก่ออกม้า กำลังวังชาเพิ่มเป็นสอง[2] พวกนางกำลังทำขนมดอกพุทรา[3]ตามตำรับดั่งเดิมของบ้านเกิด
การกินขนมพุทราแบบนี้ ถือเป็นสัญลักษณ์ความรุ่งโรจน์ของชีวิต ด้านบนแป้งขนมที่คล้ายซาลาเปา ทุกชิ้นจะมีพุทราลูกใหญ่วางอยู่
ทั้งปั้นเป็นรูปปลาทอง รูปกระต่าย ดอกไม้เบ่งบาน สิบสองนักษัตร แต่ละก้อนถูกปั้นคลึงอยู่ในมือหนาสากของบรรดายายๆ ประหนึ่งพวกมันเคลื่อนไหวอย่างมีชีวิตชีวาก็ไม่ปาน
——————————-
[1] นกอินทรีจับลูกไก่ เป็นเกมเด็กเล่นอย่างหนึ่งในสมัยจีนโบราณ วิธีการเล่นก็คือ เด็กหลายคนซึ่งสวมบทบาทเป็นลูกไก่จะเข้าแถวเรียงกันโดยแต่ะละคนเอามือทั้งสองเกาะแถวของผู้ที่อยู่ข้างหน้าตนไว้ เมื่อเด็กที่อยู่หัวแถวเคลื่อนไหว หลบหลีก เด็กที่สวมบทบาทเป็นนกอินทรีไปในทิศทางใด เด็กอื่น ๆ ในแถวก็ต้องเคลื่อนไหวไปในทิศทางนั้น ตราบเท่าที่เด็กทุกคนในแถวเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน ลูกไก่เหล่านี้จะสามารถหลบหลีกนกอินทรีได้อย่างคล่องแคล่วและสามารถหลบหลีกจากการถูกนกอินทรีจับตัวได้ แฝงแง่คิดคล้ายสำนวนไทยที่ว่า “รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง”
[2] หนึ่งทหารแก่ออกม้า กำลังวังชาเพิ่มเป็นสอง หมายถึงผู้เชี่ยวชาญหรือผู้มีประสบการณ์โชกโชนหนึ่งคน มีความสามารถเทียบเท่าคนธรรมดาสองคน
[3] ขนมดอกพุทรา เป็นของว่างที่ทำจากแป้งนวดให้เป็นเส้นแล้วม้วนเป็นรูปทรงสวยงาม แล้ววางพุทราไว้ตรงกลาง เป็นขนมมงคลที่ลูกสาวที่แต่งงานออกไปแล้วนำกลับมาเยี่ยมบ้านในช่วงเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ ภายหลังยังนิยมให้ ‘ดอกพุทรา’ ในช่วงปีใหม่