ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 413 แนวคิดและการสืบทอด
ผู้คนมักพูดว่า หิมะตกเป็นสัญญานบอกว่าปีหน้าจะอุดมสมบูรณ์
เวลานี้ หิมะเริ่มตกลงมาแล้ว
ปุยหิมะลอยว่อนสู่วิถีชน ช่างเป็นหิมะที่ตกลงมาถูกเวลา ยิ่งเพิ่มมวลแห่งความสุข
ปล่องไฟแต่ละบ้านในหมู่บ้านกำลังปล่อยควันขาวลอยฟุ้ง
กลิ่นหอมลอยอบอวลออกมาจากประตูบ้านแต่ละหลัง สูดจมูกดมตั้งแต่ทิศตะวันตกจนถึงทิศตะวันออกของหมู่บ้าน ปนกลิ่นหอมเย้ายั่วจากอาหารชั้นเลิศ
บางบ้านเริ่มมื้ออาหารเร็วว่าบ้านอื่น เสียงประทัดดังปะทุอยู่เรื่อยๆ ดังขึ้นตลอดทั้งสาย ตั้งแต่ทิศตะวันออกไปจรดทิศตะวันตกของหมู่บ้าน
ครอบครัวที่อาศัยอยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำวิ่งออกมาเรียกลูกๆ ของตัวเองเข้าบ้าน “เถี่ยตั้น อิ๋นตั้น กังตั้นกลับบ้านได้แล้วลูก”
เถี่ยตั้น อิ๋นตั้น กังตั้นรีบทิ้งก้อนหิมะปั้นในมือทันที จากนั้นก็วิ่งแจ้นกลับบ้านประหนึ่งวิ่งแข่งขัน
เด็กๆ แต่ละคนที่เล่นสนุกอยู่นอกบ้านพากันถูกความเย็นกัดจนหน้าแดงเรื่อ “แม่? กินข้าวแล้วหรือ”
“กินข้าวแล้ว”
ที่ห้องประชุม
เมื่อเปิดประตูหน้าต่าง ไอร้อนพวยพุ่ง
ทันใดนั้น ไอความเย็นก็แล่นเข้ามาจับแทนไอร้อนในบ้าน มีลมเย็นกับไอร้อนสลับกันไปมา หม้อเหล็กขนาดใหญ่สี่ใบได้ถูกเปิดฝาออก ไม้พายจุ่มลงไปเพื่อเคี่ยวไก่ตุ๋นเห็ดหอม ไอร้อนที่เจือกลิ่นหอมทำเอาคนอีกฝั่งมองไม่เห็นหน้าคนปรุง
“ใครก็ได้ช่วยหอบฟืนมาให้ข้าหน่อย ฟืนไม่พอใช้แล้ว”
“พี่สะใภ้สอง พวกพี่ปอกแอปเปิ้ลเสร็จหรือยัง”
“ปอกเสร็จแล้ว ข้ากำลังหั่นหมูหนาว[1]อยู่”
“อ่า เช่นนั้นข้าไปตามลุงสามก่อน ไม่รู้ว่าต้องเชื่อมแอปเปิ้ลหรือไม่ แต่ถึงต่อให้เชื่อมพวกเราก็ทำไม่เป็น”
ภายในห้องโถงขนาดใหญ่ ตอนนี้บรรดาหญิงสาวยุ่งจนมือเป็นระวิง
ภรรยาของกัวคนโตสายตาไม่ดี อีกนิดก็จะเหยียบมือของภรรยาน้องชาย “เจ้าก้มลงไปทำอะไร”
“ข้ากำลังใช้ตะเกียบจิ้มกระดูกหมูตุ๋น ดูว่าเนื้อเปื่อยหรือยัง”
ทุกคนชอบกัดกินแบบคากระดูกจึงต้องตุ๋นให้เปื่อยได้ที่
ถ้าเคี่ยวกระดูกจนเปื่อยละลายในปาก ก็จะดูดกินไขกระดูกข้างในได้ อีกทั้งกะหล่ำปลีดองที่เคี่ยวรวมกับกระดูกก็จะชุ่มไปด้วยน้ำมันและมีรสชาติหอมหวาน
ในห้องโถงไม่เพียงมีหม้อเหล็กขนาดใหญ่สี่ใบที่กำลังปรุงอาหารอยู่ แต่หม้อในครัวจากสิบกว่าครัวเรือนก็ไม่ได้วางเปล่าอยู่เฉย
ห้องครัวของเฉียนเพ่ยอิงได้รับมอบหมายให้ทำตุ๋นปลาและเนื้อปลาทอด
ปลาพวกนี้ก็ถูกคัดสรรมาเป็นพิเศษ เลือกปลาตัวที่ใหญ่ที่สุด แต่หลังจากปรุงเสร็จก็ยังกินไม่ได้ เพราะต้องวางบนโต๊ะเพื่อไหว้บูชาบรรพบุรุษเสียก่อน
วันแรกของปีเท่านั้นถึงจะสามารถนำลงจากโต๊ะบูชาบรรพบุรุษ และแจกจ่ายให้กำลังหลักสำคัญของครอบครัวก่อน คนแก่ ผู้หญิง และเด็กไม่มีทางได้กินก่อน
เพราะแบบนี้ ปลาพวกนั้นซึ่งเป็นปลาที่ซ่งฝูเซิงพาผู้ชายที่มีอำนาจสูงสุดของแต่ละบ้านไปจับมา จึงมีสิทธิได้กินก่อน
ตอนที่เฉียนเพ่ยอินได้ยินครั้งแรกก็แทบไม่อยากเชื่อ แต่ไม่ทำตามแล้วจะทำอย่างไรได้ คนที่นี่เขาเชื่อกันแบบนี้ ไม่เป็นไร ปลาชืดๆ ที่วางไว้จนเย็นถึงวันที่หนึ่ง ใครเขาจะอยากกิน
แต่ปีใหม่ทั้งที อาหารวันรวมญาติจะไม่มีปลาไม่ได้ ดังนั้น เฉียนเผ่ยอิงจึงใช้น้ำมันที่เหลือจาก “แป้งทอดงาดำ”ของท่านย่าหม่ามาทอดปลาตัวเล็กต่อ
พอพูดถึงปลา นับวันนี้ก็ยิ่งลดน้อยลงทุกที
ตั้งแต่เริ่นโหยวจินประกาศให้จับปลาได้ แม่น้ำก็กลายเป็นแหล่งอาหารของทั้งหมู่บ้านไปแล้ว
คนในหมู่บ้านก็พากันทำตาข่ายดักปลา วันที่ไม่มีอะไรทำก็ไปตกปลา ได้กินอิ่มท้องโดยไม่เสียเงินแบบนี้ช่างเป็นเรื่องที่ดีเสียกระไร
พอเป็นเช่นนี้ ก็เริ่มมีกลุ่มที่หมกมุ่นกับการตกปลาอยู่พักหนึ่ง ทำเอาระยะหลังกลุ่มของพวกเขาไม่ปลาให้จับ
อันที่จริงชาวบ้านก็คิดเหมือนกันว่า กลุ่มคนที่อยู่อีกฟากของแม่น้ำก็บ้ามาก นอกจากบริเวณที่เด็กๆ เล่นแล้ว บนพื้นน้ำแข็งไม่มีบริเวณไหนสภาพดีเลย เจาะหลุมตกปลาหลุมแล้วหลุมเล่าโดยไม่คิดจะบอกคนในหมู่บ้านสักคน
เมื่อครู่พูดถึง “แป้งทอดงาดำ” หลังจากบรรดายายๆ นึ่งขนมดอกพุทราโบราณเสร็จ ก็เริ่มทำแป้งทอดงาดำที่ได้รับสืบทอดตำรับมาจากรุ่นสู่รุ่น
อาหารนี้หน้าตาเหมือนอะไรนะ ในสายตาของเฉียนเพ่ยอิงที่กำลังไปหยิบน้ำมันมัน ดูคล้ายกับมันฝรั่งทอดในยุคสมัยใหม่ มันก็แค่มันฝรั่งทอดกรอบๆ แต่พวกบรรดายายๆ ใช้แป้งแทน จากนั้นก็รีดเป็นแผ่นบางๆ ก่อนนำไปทอดในกระทะ
ท่านย่าหม่าหยิบมาสองสามแผ่นส่งให้เฉียนเพ่ยอิงชิม “เป็นอย่างไร”
“อร่อยมาก หอมกลิ่นทอดกรอบ โรยเกลืออีกนิดหน่อยน่าจะอร่อยกว่านี้”
เท้าข้างหนึ่งของเฉียนเพ่ยอิงก้าวไปข้างหน้าพร้อมน้ำมันที่เหลือจากแป้งทอดงาดำ ส่วนอีกข้างยังอยู่กับที่ นางเอี้ยวตัวไปพูดกับท่านย่าหม่าแกมหัวเราะ “อันที่จริงพั่งยาดูเหมือนท่านแม่มาก คือเป็นคนชอบกิน แค่ได้กินก็มีความสุข”
ท่านย่าหม่าตอบกลับไปว่า “มันแน่อยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ตระกูลเฉียนมีสภาพเป็นอย่างไรก็รู้อยู่ สะใภ้ของลูกทั้งสามคนไม่เคยได้กินดีอะไรทั้งนั้น”
นี่คืออาหารประจำตระกูลสองอย่างที่เฉียนเพ่ยอิงและท่านย่าหม่าปรุงขึ้นในครัว
ส่วนอาหารในหม้อของครอบครัวอื่นคือ
ซี่โครงหมูตุ๋นน้ำแดง
หมูสับนึ่งแป้งใส่ลังถึง[2]
ตอนนี้ซ่งฝูเซิงอยู่ที่บ้านของท่านยายหวาง และกำลังใช้หม้อเหล็กขนาดใหญ่สองใบของบ้านยายหวางสาธิตการทำลูกชิ้นแห่งความสุขทั้งสี่[3]ให้หวังจงอวี้และกัวคนโต
ตอนนี้ ซ่งฝูเซิงกำลังพาเหล่าชายฉกรรจ์ทำอาหารจานนี้ ตั้งแต่จับกระทะทำซอสพริกผัด พวกเขาก็เกือบลืมแนวคิดที่ว่าผู้ชายทำอาหารไม่เป็นไปเลย
ที่สำคัญก็คือ ซ่งฝูเซิงเป็นครูสอนที่ดี
โดยปกติเขามักจะสอนประมาณว่า “ทำตัวขึงขังแสดงความเป็นชายไปเพื่ออะไร แบบนั้นลูกและภรรยาก็ไม่เคยมีช่วงเวลาดีๆ กับพวกเจ้า ระบายอารมณ์โดยการทุบตีลูกและภรรยาตัวเอง ใช้กำลังบังคับขู่เข็ญให้นางเชื่อฟังมันน่าภาคภูมิใจตรงไหน ความภาคภูมิใจของพวกเจ้ามันขึ้นอยู่กับพวกเจ้า เวลาออกไปข้างนอกจะได้เป็นที่ชื่นชมในหมู่ลูกผู้ชาย ไม่ใช่จะใช้ผู้ที่อ่อนแอกว่าเป็นเครื่องมือ”
คำพูดพวกนี้ มักจะถูกพูดขึ้นเวลาเห็นพฤติกรรมขัดหูขัดตา คำพูดพวกนี้มีอิทธิพลต่อพวกเขามาก โดยเฉพาะกับต้าหลาง เถี่ยโถวและเด็กที่กำลังจะโต ไม่ว่าลุงสามจะพูดอะไรก็ถูกไปหมด
ภายใต้การสาธิตของซ่งฝูเซิง ทำให้บรรดาผู้ชายแต่ละทำลูกชิ้นแห่งความสุขทั้งสี่ขนาดเท่ากำปั้นได้สำเร็จ ทำไมต้องทำลูกใหญ่ ไม่ได้หรอก เดี๋ยวไม่พอกิน
น้ำแกงสีแดงข้นตักราด
หนึ่งจานจัดวางสี่ลูก เป็นสัญลักษณ์สื่อถึงความร่ำรวย ความราบรื่น อายุยืน และโชคลาภ เป็นสิริมงคลทั้งสี่ในชีวิตของมนุษย์
มีครบสำหรับวางสิบโต๊ะพอดี
นอกจากนี้ เช่นเดียวกับครอบครัวท่านลุงซ่ง เกาถูฮู่ ซ่งฝูกุ้ยและอีกหลายครอบครัว ตอนนี้ หม้อในบ้านของพวกเขาที่ตุ๋นห่านตัวใหญ่อยู่กำลังเดือดปุดๆ
ห่านตุ๋นในหม้อเหล็ก
ทันทีที่เปิดฝาหม้อออก กลิ่นหอมของเนื้อก็แผ่ซ่านไปทั่ว
ในเวลาเดียวกัน เสี่ยวเกา เสี่ยวหวาง เสี่ยวซ่งจากร้านขนมในเมืองเฟิ่งเทียนก็เปิดประตูห้องอบขนมเข้ามา
พวกนางทั้งสามคนได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมเพื่อทำเป็ดย่าง
ซ่งฝูหลิงบอกวิธีทำเป็ดย่างรวดเดียวจบ จากนั้นซ่งฝูเซิงก็พูดเสริมอีกระลอก พูดเสร็จทั้งสองก็ไม่อยู่ดูแล และปล่อยให้พวกนางทั้งสามทำกันเอง
ยังดีที่ทั้งสามนางไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง หลังจากให้เวลาอบอยู่ประมาณครึ่งชั่วยาม ก็ได้เป็ดย่างหนังสีน้ำตาลเหลืองแลดูกรุบกรอบ ใช้ตะเกียบเสียนตรวจทาน เนื้อด้านในยังคงนุ่มชุ่มฉ่ำ ครั้นดึงตะเกียบออกมา มีน้ำมันจากหนังเป็ดติดมาด้วย
ลูกชิ้นแห่งความสุขทั้งสี่ ปลาทอด หมูสับนึ่งแป้ง ขาหมูตุ๋นน้ำแดง เป็ดย่างเนื้อนุ่มหนังกรอบ กะหล่ำปลีดองตุ๋นกับกระดูกหมู ไก่ตุ๋นเห็ดหอม ห่านตุ๋นในหม้อเหล็ก แอปเปิ้ลเชื่อม และหมูหนาว
อาหารสิบอย่างถูกจัดวางลงบนโต๊ะสิบโต๊ะ วิธีนี้เรียกว่า สิบอาหารมงคล
ในที่สุด ขนมดอกพุทรารูปทรงต่างๆ ก็ออกจากหม้อนึ่งพร้อมควันกรุ่นแล้ว
“เด็กๆ ทั้งหลาย มากินข้าวได้แล้ว”
ครั้งนี้ไม่ใช่เสียงตะโกนเรียกของท่านลุงซ่ง
ตอนนี้ลูกชายคนโตของท่านลุงซ่งกำลังหวีผม มัดผม สวมรองเท้าให้เขาอยู่ เป็นรองเท้าผ้าฝ้ายที่ลูกสะใภ้ทำให้ จากนั้นก็ล้างมือและกราบไหว้ะบรรพบุรุษที่ศาลประจำบ้านอย่างเคร่งขรึม
คนที่ออกมาตะโกนเรียกเด็กๆ คือท่านย่าหม่าในชุดสีชมพู
บนลานน้ำแข็ง ซ่งจินเป่าวิ่งนำเป็นคนแรก เด็กๆ วิ่งกลับบ้านพร้อมเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข
ไอหยา ช่างเป็นชีวิตที่งดงามจริงๆ
ชีวิตมันช่างเป็นสุขอะไรเช่นนี้
เมื่อเช้าเพิ่งกินบัวลอยหมักสุรา[4] ตอนนี้ก็กำลังจะกินปลาตัวใหญ่ เนื้อก้อนโต
ซ่งฝูหลิงจูงมือหมี่โซ่ววิ่งตามจินเป่ากลับบ้านอยู่ด้านหลัง
พวกเถาฮวาและบรรดาเด็กสาวต่างรู้สึกสนุกยิ่งกว่า พากันจูงมือน้องชายน้องสาว สะพายย่ามที่เย็บจากเศษผ้าวิ่งกลับบ้าน
ใบหน้าของทุกคน วิ่งรับลมจนแดงเรื่อ
ปุยหิมะตกมาค้างอยู่บนหัว เห็นได้ชัดว่าพวกนางเล่นสนุกอยู่ข้างนอกนานแค่ไหน
สำหรับเด็กสาวเหล่านี้แล้ว ชีวิตทุกวันนี้กับก่อนหน้านี้ช่างแตกต่างกัน มันช่างมีความสุขยิ่งนัก ทั่วทั้งร่างกายผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อเทียบกับตอนที่อยู่บ้านเกิด พวกนางไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน
อายุขนาดนี้แล้ว คงไม่สามารถออกมาเล่นสนุกในวันสิ้นปีแบบนี้ได้
ต้องคอยอยู่ช่วยแม่ทำอาหารที่บ้าน
อีกทั้งยังต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์
เมื่อเหล่าหญิงสาวอายุได้ประมาณสิบขวบ หากยังออกไปเที่ยวเล่นสนุกจนเลยเถิดก็จะถูกคนอื่นตำหนิสั่งสอน
แต่วันนี้ลุงสามบอกว่า
ปล่อยให้บรรดาเด็กๆ และสาวๆ ออกไปเล่นสนุกและได้พักผ่อนเถิด
ก่อนออกเรือน ได้เล่นสนุกอีกสักสองสามครา อายุพวกนางแต่ละคนก็เพิ่งจะสิบขวบเอง
ไม่ว่าคนอื่นจะมองอย่างไร ขอแค่คนของพวกเราไม่หัวเราะเยาะใส่กันก็พอ
หากคนอื่นมองว่าไม่งาม? คนอื่นที่ว่าเป็นใคร แล้วรู้จักกันด้วยหรือ อย่าคิดเหมารวมว่าทุกคนเป็นเช่นนั้นสิ
อันที่จริงก็ยังยืนยันคำพูดเดิม หลักๆ เป็นเพราะแนวคิดของซ่งฝูเซิงได้ซึมซับลงไปในส่วนลึกของทุกคน
ทุกคนมองออกไป เห็นพั่งยาเล่นสนุกอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ดูเด็กนั่นสิ ใช้ชีวิตอย่างไม่คิดมากอะไร ใบหน้าเล็กๆ ก่อนหน้าเริ่มมีน้ำมีนวลขึ้นมาบ้างแล้ว ความสดใสบนใบหน้าล้วนมาจากความสุขทั้งนั้น
คนเป็นพ่อเป็นแม่เห็นเช่นนั้น จะไม่ปลื้มปริ่มที่ได้เห็นลูกสาวตัวเองเหมือนพั่งยาได้อย่างไร
เพียงเท่านี้ จึงยอมปล่อยให้เด็กสาวที่อายุมากหน่อยออกมาเล่นสนุกได้ จะได้รู้สึกผ่อนคลาย
ท่านย่าหม่ายกมือห้ามปรามซ่งจินเป่าที่วิ่งนำหน้ามาเป็นคนแรก สายตามองไปที่ผ้าโผกหัวสีชมพูของตัวเองพลางนึกเสียดาย จึงได้แต่ต่อว่า “ตกลงเจ้าจะสั่งน้ำมูกออกมาหรือจะสูดกลับเข้าไปกันแน่” จากนั้นก็ปัดเศษหิมะที่ติดบนหัวหลานออก
และพอเงยหน้าขึ้นมาก็อุทานตกใจ “แล้วกางเกงของหมี่โซ่วทำไมถึงขาด”
ซ่งฝูหลิงไม่ใส่ใจ ได้แต่เหลือบมองน้องชาย “ไถลเนินหิมะเล่นจนขาด”
“ขาดแล้วไม่รู้จักพากลับมาเปลี่ยนที่บ้าน ปล่อยให้เล่นสนุกล่อนจ้อนแบบนี้ได้อย่างไร ไม่โดนลมเย็นพัดใส่จนหมดหรือ เดี๋ยวก็ป่วยเอาหรอก”
แค่ล่อนจ้อนจะเป็นอะไรไป เพราะเขายังมือถลอกจนเลือดออกอีกด้วย
ท่านย่าหม่ารู้สึกว่าไม่ควรเสียเวลากับเด็กพวกนี้
โต๊ะกราบไหว้บูชาบรรพบุรุษถูกจัดตั้งขึ้นชั่วคราว อาหารสิบอย่างถูกจัดวางอยู่ด้านบน ตรงกลางคือหัวหมู เหล้า หมั่นโถว และเชิงเทียนที่ผูกผ้าแดง
ท่านลุงซ่งยังไม่ทันจุดธูปก็เริ่มกล่าวติเตียนตัวเองแล้ว
เขาพูดว่า “เครื่องสักการะบรรพบุรุษทั้งหลายค่อนข้างเยอะ หวังว่าเหล่าบรรพบุรุษจะไม่ตำหนิ”
ใช่แล้ว ถึงแม้ว่าแซ่ซ่งจะมีชื่อเสียงที่นี่ แต่พวกเขาก็ยกระดับมาจากการเป็น “แซ่นอกคอก”
ตอนที่อพยพออกมา ไม่ได้มีแต่แซ่ซ่ง
ยังมาครอบครัวของยายหวางที่เป็นแซ่หลาง แซ่เกาของเกาถูฮู่ ยังมีครอบครัวของหลี่ซิ่วที่มีสามีแซ่จ้าว ต่อให้จะเหลือธูปแค่ดอกเดียว ก็จำเป็นต้องกราบไหวทั้งหมดใช่หรือไม่
ยังมีหมี่โซ่วอีก เขาแซ่เฉียน
คำว่าทุกคนหมายความว่าอะไร ความสามัคคีกลมเกลียวหมายว่าอะไร หมายความว่าต้องดูแลเกื้อหนุนกันในทุกด้าน
กราบไหว้บรรพบุรุษตระกูลซ่งได้ฉันใด ก็ต้องกราบไหว้ตระกูลอื่นได้ฉันนั้น
ลูกหลานเหลน เรียงแถวหน้ากระดาน ตั้งแต่โอสาวุไปถึงผู้เยาว์ ตั้งแต่ผู้ชายไปจนถึงผู้หญิง ทุกคนต่างคุกเข่าด้วยทีท่าสำรวมเคร่งขรึม
ธูปถูกจุดขึ้น
ไหว้ฟ้า ไหว้ดิน ไหว้บรรพบุรุษ
ท่านลุงซ่งยืนอยู่หน้าแท่นบูชาและกล่าวคำขอพรปีใหม่ง่ายๆ สามประโยค
ขอให้อย่ามีอันตราย
ขอให้อย่ามีทุกข์โศก
ขอให้เหล่าบรรพบุรุษปกป้องคุ้มครองพวกเราทุกครอบครัว ขอให้ปีหน้ามีชีวิตเหมือนตอนอยู่ที่นี่ในช่วงสองสามเดือนก็พอแล้ว ขอแค่ใช้ชีวิตเช่นนี้เรื่อยไปก็พอแล้ว
ท่านลุงซ่งไม่กล้าขอให้ร่ำรวยใหญ่โตอะไร
ขั้นตอนสุดท้าย ไหว้คนที่ยังมีชีวิตอยู่
ท่านลุงซ่งหันกลับมานั่งบนเก้าอี้ที่เตรียมก่อนหน้านี้ เบื้องหน้าคือยายๆ ทั้งแปดคนและชายชราสองสามคน นำพาลูกหลานทุกครอบครัวก้มหัวเคารพท่านลุงซ่ง
ปุยหิมะค่อยๆ ร่วงหล่นลงบนศีรษะทุกคน
———————-
[1] หมูหนาว เป็นอาหารจีนโบราณ ลักษณะคล้ายกับขาหมูพะโล้ นิยมกินแบบเย็นเป็นวุ้น กินกับข้าวสวยร้อนๆ วุ้นที่เกิดจากเจลาตินในหนังหมูจะละลายใส่ข้าว คล้ายกับแกงกระด้างของไทย
[2] ลังถึง ภาชนะสำหรับนึ่ง ลักษณะคล้ายหม้อซ้อนกันเป็นชั้นๆ ชั้นล่างสุดใส่น้ำสำหรับต้มให้ร้อนจัด มีฝาครอบทรงสูงคล้ายฝาชี
[3] ลูกชิ้นแห่งความสุขทั้งสี่ ทำมาจากหมูสับนำไปหมักเครื่อง และปั้นเป็นลูกกลมๆ โตๆ นำไปทอด
[4] บัวลอยหมักสุรา เป็นของว่างของจีนในแถบเจียงหนาน เม็ดบัวลอยปั้นจากแป้งข้างเหนียวต้มสุกพร้อมสุราหมักเข้มข้น รสหวาน เม็ดบัวลอยนุ่มเหนียว กลิ่นหอม นิยมใช้บำรุงกำลังปละระวังเหงื่อ