ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 414 คืนนี้ที่มิอาจลืม / ตอนที่ 415 เกิดเหตุ
ตอนที่ 414 คืนนี้ที่มิอาจลืม
การเคารพคน ไม่ใช่แค่เคารพผู้ที่อาวุโสที่สุดเท่านั้น
แต่ต้องเคารพเหล่าผู้สูงวัยจากครอบครัวอื่นด้วย
หลังจากคุกเข่าเคารพท่านลุงเสร็จ แต่ละครอบครัวก็แยกย้ายไปคุกเข่าเคารพปู่ย่าตายายประจำครอบครัวตน
สำหรับคนที่ไม่มีปู่ย่าตายาย เช่น ซ่งฟู่กุย เขากับภรรยาก็นั่งด้านหน้าเพื่อให้ลูกชายคาราวะ
เหล่าผู้ใหญ่นำผ้าที่ซื้อไว้ พร้อมกับเงินมามอบเป็นของขวัญให้ลูกหลาน
เพียงแต่สิ่งที่มอบให้คือเนื้อผ้า ไม่ใช่เสื้อผ้าที่พร้อมสวมใส่
เพราะเหล่าหญิงสาวหาเวลาเย็บเสื้อผ้าใหม่ให้ไม่ได้จริงๆ และซื้อผ้าช้าไปหน่อย จึงเย็บแต่เสื้อผ้าสำหรับมอบให้ผู้อาวุโสเท่านั้น
ในขณะนั้นเอง ก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้เหล่าผู้อาวุโสทุกคนคาดไม่ถึง
เป็นเหตุการณ์ที่เกิดจากฝีมือของซ่งฝูงหลิง
ทำงานชิ้นใหญ่ไม่ได้ แต่นางทำงานประณีตได้ดี
ซ่งฝูหลิงยกเค้กดอกไม้ถาดใหญ่ด้วยมือทั้งสอง
ในบรรดาเด็กๆ แต่ละครอบครัวที่กราบไหว้ผู้ใหญ่จะคัดเลือกตัวแทนเพื่อใช้ไม้เล็กๆ คีบดอกไม้ในเค้ก
ต้าหลางเอ่ยขึ้น “ท่านย่า กินนี่แล้วก็ขออวยพรให้ท่านย่ายิ้มอย่างมีความสุขตลอดไป”
ท่านย่าหม่านั่งบนเก้าอี้และรับมาอย่างซาบซึ้งใจ
ขายขนมเค้กมาก็นาน นอกจากชิมฝีมือเค้กที่ทำออกมาครั้งแรกของหลานสาวที่แทบจะสำลัก ก็ไม่เคยได้กินอีกเลย ครั้งนั้นกินเร็วไป จนลืมรสชาติ
พวกเก๋อเอ้อร์นิ่ง ท่านยายหวางและท่านยายกัว รับเค้กดอกไม้จากลูกหลานด้วยสองมือ เข็นรถขายขนมมานาน วันนี้จะได้ชิมดูว่ารสชาติเป็นอย่างไร ทำไมถึงขายแพงจัง
เด็กสองขวบกว่าก้มหัวเคารพหลี่ซิ่วอย่างมีมารยาท
เด็กน้อยวิ่งน้ำลายไหล และยื่นเค้กดอกไม้สีแดงให้หลี่ซิ่ว “แม่ กินดอกไม้สิ”
“ลูกรัก วันข้างหน้าต้องตั้งใจเรียนนะ”
หลังจากแบ่งแล้ว ยังเหลือเค้กดอกไม้สองดอก
ซึ่งซ่งฝูหลิงตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น
ซ่งฝูหลิงจูงมือหมี่โซ่ว แล้วอยู่ๆ ก็นั่งคุกเข่าลงด้านหน้าซ่งฝูเซิงและเฉียนเพ่ยอิง “ท่านพ่อ ท่านแม่ ขอให้พวกท่านมีสุขภาพแข็งแรง และอยู่เคียงข้างลูกไปนานๆ”
ในยุคปัจจุบัน นอกจากเวลาผู้สูงอายุในบ้านเสียชีวิต ซ่งฝูหลิงก็ไม่เคยคุกเข่าให้ใคร
เมื่อมาอยู่ที่นี่ ประเดี๋ยวคุกเข่าให้คนนั้นคนนี้ แต่ไม่เคยตั้งใจคุกเข่าต่อหน้าพ่อแม่อย่างจริงจังเลยสักครั้ง
เมื่อลูกสาวทำท่านี้อย่างกะทันหัน ก็ทำเอาซ่งฝูเซิงซาบซึ้งใจขึ้นมาทันที ซาบซึ้งกว่าเฉียนเพ่ยอิงเสียอีก จนดวงตาแดงเรื่อขึ้นมา
กลัวว่าตัวเองจะเสียอาการ ซ่งฝูเซิงหันไปหาหมี่โซ่วพร้อมกับรับเค้กดอกไม้ของหมี่โซ่วมากัดไปหนึ่งคำ จากนั้นก็จะหอมแก้มหมี่โซ่วทั้งที่ปากยังคงเปื้อนเค้กไปอยู่ พอเริ่มทะเลาะกับหมี่โซ่วก็หันไปยิ้มให้ลูกสาว
สาเหตุที่เฉียนเพ่ยอิงไม่ค่อยร่าเริงเหมือนซ่งฝูเซิง เป็นเพราะจุดสนใจของเธออยู่ตรงอื่น
นางคว้าเค้กดอกไม้มา แล้วดึงซ่งฝูหลิงขึ้นมาพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “เจ้าคิดว่าวันนี้คุกเข่าน้อยไปหรือเข่าของเจ้ายังเจ็บไม่พอใช่ไหม ทำไมต้องคุกเข่าให้ข้าอีก”
นางยังคงถือเค้กดอกไม้พูด “ข้าไม่กินแล้ว ใช่ว่าข้าไม่เคยกินมาก่อน ข้าจะเหลือให้หมี่โซ่ว วางข้างนอกแล้วให้เย็นหน่อย แล้วค่อยกินตอนฉลองโต้รุ่ง”
“ท่านแม่” ซ่งฝูหลิงจนปัญญา
นางกำลังอ่อนไหวอยู่ ทำอะไรเนี่ย ขอความร่วมมือหน่อยไม่ได้หรือ
“ได้ๆๆ ขอบคุณเจ้านะลูกสาว ช่างน่ารักจริง”
เด็กๆ ทั้งห้องเด็ก “ขอให้ปู่ย่าตายายพ่อและพ่อแม่ยิ้มหัวเราะมีความสุขตลอดไป”
ปู่ซ่งชูเค้กดอกไม้ขึ้น และกัดเข้าไปแล้วครึ่งหนึ่งอย่างเต็มคำ ก่อนหัวเราะอย่างมีความสุขและพูดว่า “ความสุขมาถึงแล้ว เริ่มมื้ออาหารกันได้”
ทันทีที่พวกเขาได้ยินว่าให้เริ่มทานอาหาร เด็กๆ ก็ลุกขึ้นจากพื้นและรีบวิ่งไปที่ห้องอาหารพร้อมส่งเสียงดีใจ
รับผ้า ทำเสื้อผ้าใหม่? ไม่ ไม่ ไม่ ไม่สนใจ
กินเนื้อ กินของอร่อย กินของหวาน และกินของทอด เป็นช่วงที่เด็กๆ ตั้งหน้าตั้งตารอที่สุดในวันปีใหม่ต่างหาก
ตอนที่ 415 เกิดเหตุ
ฐานะเป็นแบบไหนถึงกินของดีได้ขนาดนี้ หือ? ซ่งฝูกุ้ยกับพวกผู้ชายจับจ้องอาหารตรงหน้า ใบหน้าเปื้อนยิ้ม ลูกกระเดือกขยับไม่หยุด ควบคุมน้ำลายที่ทะลักออกมาเรื่อยๆ ไม่ได้
ตอนยังไม่ลี้ภัย ไม่เคยกินอาหารแบบนี้
ตอนนั้นแค่ต้มไก่หนึ่งตัว ปลาหนึ่งตัว ห่อเกี๊ยวปีใหม่ ใช้หมี่เส้น แค่นั้นก็ดีถมเถไปแล้ว
แล้วมาดูตอนนี้ที่เอาโต๊ะต่อกันหลายตัว กับข้าวกับปลาเยอะแยะมากมาย
ซ่งฝูเซิงเดินเข้ามาพูด “นั่งสิ ทำไมไม่เริ่มกินล่ะ”
มีผู้ชายหลายคนยิ้มกว้างพลางพูด
“ไม่รู้ว่าควรกินอันไหนก่อน”
“ไม่แม้แต่จะเคยเห็น”
“น้องชาย เจ้าพูดถูก ไม่กล้าขยับเลยจริงๆ ท้องไม่เคยได้กินของดี ดีไม่ดีกินไปกลัวท้องเสีย”
ซ่งฝูกุ้ย “ข้าก็ไม่เคยกล้าแม้แต่จะคิด อาหารหนักเนื้อแบบนี้ ข้าว่าก่อนตายข้าก็ไม่มีทางได้กิน คงได้แต่เฝ้ารอพวกเนียนปาเผาไปให้กิน”
ลุงซ่งได้ยินก็ถลึงตาใส่ ปีใหม่ทั้งที ยังไม่ทันได้ฉลองก็พูดจาเหลวไหลกันแล้ว
ซ่งฝูกุ้ยก็รีบถุยคำพูดไม่ดี ฉีกยิ้มพลางยกมือคารวะไปทางลุงซ่งท่ามกลางคนมากมาย
ก็มันปลื้มปริ่มนี่ อาหารดีๆ เยอะแยะขนาดนี้ ไม่ได้ทำเพื่อต้อนรับใครเป็นพิเศษ เอาเข้าท้องได้ทันที มันสุดแสนจะมหัศจรรย์ราวกับความฝัน
“ข้าว่า พวกเรามาตะโกนกันหน่อยดีกว่า!”
ตะโกนอะไร เกิดอะไรขึ้นอีก คนที่เข้ามาทีหลังรู้สึกสงสัย
“ก็ตะโกนว่า ขอบคุณลุงซ่งที่เฝ้าบ้านให้พวกเรา ขอบคุณน้องฝูเซิงที่พาพวกเราหาเงิน หัวใจของข้าน่ะ ถ้าไม่ตะโกนออกไปมันอึดอัดเหลือเกิน”
คาดว่าคนที่เห็นอาหารเต็มโต๊ะแล้วอัดอั้นตันใจจะมีมากเหลือเกิน พากันยกมือป้องปากตะโกนออกมา “ขอบคุณลุงซ่ง ขอบคุณพี่/น้องฝูเซิง”
ปากของเฉียนหมี่โซ่วกำลังเคี้ยวเนื้อที่พี่สาวแอบป้อนให้ เงยหน้าด้วยความตื่นเต้น ตะโกนพร้อมพวกเด็กๆ เช่นกัน “ขอบคุณลุงฝูเซิง”
เฉียนเพ่ยอิงยิ้มพลางนั่งลง ยื่นหน้าเข้าไปพูดกับลูกสาว
ไม่ยื่นหน้าเข้าไปไม่ได้หรอก มันไม่ได้ยิน คนพวกนี้กำลังแหกปากตะโกนแข่งกัน
อีกทั้งตอนนี้ไม่ได้ขอบคุณแค่สามีของนางแล้ว ไล่ขอบคุณกันไปทั่ว
แม้แต่หนิวจั่งกุ้ยที่เลี้ยงวัวเลี้ยงม้า ก็ได้รับการแสดงความขอบคุณในความลำบาก
หนิวจั่งกุ้ยเพิ่งเติมอาหารให้เสี่ยวหงเสร็จกลับมา ป้อนแอปเปิ้ลหนึ่งผล คุณหนูเล็กให้มา บอกว่าวันนี้ตอนกลางคืนยังมีอีกหนึ่งผล พอเข้ามาเห็นบรรยากาศครึกครื้นขนาดนี้ก็ขอบคุณตามคนอื่นไปด้วย เขาแสดงน้ำใจแทนตัวเองกับซื่อจ้วง
เฉียนเพ่ยอิงพูดกับลูกสาว “คอยดูเถอะ อีกเดี๋ยวดื่มเหล้าเสร็จก็พากันร้องเพลงน้องสาวจงหาญกล้าเดินไปข้างหน้าอีก ร้องเป็นกันแค่สองท่อนนั้น พวกเขาร้องจนน้องสาวคนนั้นได้แต่เดิน คงเหนื่อยน่าดู”
ซ่งฝูหลิงหัวเราะคิกคักพลางคะยั้นคะยอให้ท่านย่าหม่ากินหนังเป็ด “หนังหอม”
ท่านย่าหม่า อาหารเยอะแยะขนาดนี้ เด็กคนนี้อย่าเอาแต่พูดสิ ก้มหน้าก้มตากินเข้า จะบอกว่าหนังหอมทำไม หนังรึจะสู้เนื้อ
“ท่านย่า ระหว่างทางข้าบอกท่านว่าจะกินเป็ดย่าง ข้าทำได้แล้วใช่ไหมล่ะ”
ท่านย่าหม่าชูเป็ดพลางพยักหน้าอย่างแรง เป็ดย่างหอมมาก มันหอมเหลือเกิน กินแล้วชุ่มฉ่ำ ท่านย่าหม่ายังดื่มเหล้าข้าวตามไปอีก
อาหารสิบอย่าง ทุกคนกินกันอย่างเอร็ดอร่อย แม้แต่น้ำราดลูกชิ้นสี่มงคลก็ยังถูกจิ้มด้วยปัวปัวจนหมดเกลี้ยง
ซ่งฝูหลิงได้ยินพวกพี่สาวมาระบายความในใจกับนางระหว่างงานเลี้ยง
ตอนแรกที่บอกให้กินรวมกัน ไม่ใช่แบ่งสัดส่วนกันไปกิน
ไม่ใช่ช่วงกินเลี้ยงปีใหม่ ก็มีแต่จะถูกด่าเพราะคนนั้นกินเนื้อเยอะ คนนี้ได้กินน้อย บางคนยังถูกเอาตะเกียบเคาะหัว
พวกพี่สาวบอกซ่งฝูหลิง “นับตั้งแต่มีน้องพั่งยา เจ้าไม่ถูกตี อาสามกับอาสะใภ้สามรวมถึงท่านย่าหม่าประคบประหงม พวกเราที่เป็นผู้หญิงก็เลยพลอยถูกด่าน้อยลงไปด้วย ขอบคุณนะ”
ซ่งฝูหลิงฟังจบยังจะพูดอะไรได้ จำต้องเตือน “อย่าเพิ่งกินเยอะ กลางคืนยังมีเกี๊ยวอีกนะ”
เกี๊ยวตอนเที่ยงคืน เรียกว่าเกี๊ยวผลัดเปลี่ยนปี ปีใหม่แทนปีเก่า
คนที่นี่จะเรียกเกี๊ยวข้ามปีว่า ‘ราบรื่นหมื่นเรื่อง’
อีกทั้งไม่ใช่แค่ต้มเกี๊ยว ยังมีการต้มบะหมี่ แบบนั้นเรียกว่าการเอาหยวนเป่าทองมาร้อยเรียงกัน
อาหารมื้อนี้กินกันไปหนึ่งชั่วยามครึ่ง นับเวลาตามยุคปัจจุบันก็คือสามชั่วโมง แสดงให้เห็นว่าครึกครื้นเพียงใด
แม้แต่ซ่งฝูหลิงยังมีพวกพี่สาวมาพูดความในใจด้วย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซ่งฝูเซิง
ซ่งฝูเซิงถึงขนาดจำสับสนว่าบ้านไหนเป็นบ้านไหน หูได้ยินคนเรียกไม่หยุด ต่างอาศัยฤทธิ์สุรามาพูดความในใจกับเขา
ระบายช่วงชีวิตที่เคยลำบาก
เล่าให้เขาฟังว่าชีวิตในตอนนี้เป็นชีวิตที่ไม่กล้าจินตนาการขนาดไหน อยากให้ซ่งฝูเซิงพาพวกเขาหาเงินไปตลอดมากขนาดไหน วันหน้าชี้ไปทางไหนก็จะไปทางนั้น
ผู้ชายบางคน พอเห็นซ่งฝูเซิงยกแก้วพลางพูดว่า “วันเวลาดีๆ เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ตราบใดที่ยังไม่แก่ ปีหน้าเวลานี้ พิสูจน์ต่อฟ้า พิสูจน์ต่อผืนดิน พิสูจน์ต่อคนรอบข้าง อาศัยสองมือนี้ ทำให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป” ก็ซาบซึ้งจนเกือบหลั่งน้ำตา
ท่านลุงซ่งมองพวกเด็กๆ ที่นั่งเรียงแถวกัน หัวเราะเสียงดังหลายครั้งจนสำลัก
ได้ยินเด็กๆ พวกนี้ท่องคัมภีร์สามอักษรกันอย่างพร้อมเพรียง กรูกันเข้าไปแย่งชอล์กเขียนบนกระดานดำ
ต่อมา หลังจากงานเลี้ยงกินอาหารสามชั่วโมงเสร็จสิ้นลง ทุกคนก็ออกไปดูพวกเกาเถี่ยโถวต่อสู้ แข่งกระโดดแพะภูเขา แข่งวิดพื้น
ไม่อย่างนั้นพวกผู้หญิงก็เก็บโต๊ะไม่ได้
ชามข้าวกับจานอาหารจำนวนมากขนาดนี้ต้องใช้เวลาล้างสักพัก
แต่ถ้ามีคนถามพวกนางว่าเหนื่อยหรือไม่ อีกเดี๋ยวยังต้องไปห่อเกี๊ยวกันอีก
พวกนางจะต้องยิ้มร่าตอบอย่างมั่นใจว่า “ไม่เหนื่อย ได้กินอาหารดีขนาดนี้ยังจะเหนื่อยอีกรึ”
ซ่งฝูเซิงที่ฉลองจนหน้าแดง หลังจากก่อไฟกำแพงไฟในโรงเพาะปลูกพริกเสร็จก็อาศัยจังหวะที่ไม่มีคน เพราะแห่กันไปห่อเกี๊ยว ฟังลูกสาวเขาเล่าเรื่อง กินใบชาทอด กินสาลี่แช่แข็ง กินถังหูลู คนนั่งกันอยู่เต็มเตียงเตา
เขาโอบเฉียนเพ่ยอิง ลมหายใจมีแต่กินเหล้า พยายามจะเต้นท่ายากในโรงพริกที่มีพื้นที่แคบๆ ให้ได้
ร้องไปเต้นไป
“ไฮยาไฮ้ ไฮยาไฮ้ ถึงภูเขาจะสูง ถึงน้ำจะลึก
ไฮยาไฮ้ ไฮยาไฮ้ ก็ไม่อาจขัดขวางอนาคตของฉัน
ไฮยาไฮ้ ไฮยาไฮ้ บนทางเดินที่ไม่อาจล่วงรู้ ฉันจะตั้งใจเผชิญหน้ากับชีวิต”
เฉียนเพ่ยอิงโอบตอบซ่งฝูเซิงพลางหัวเราะร่า “นี่ ทำนองนี้ไม่ดี พวกเรากระโดดหยองแหยงอย่างกับหลบลูกระเบิด”
คืนข้ามปีห้ามนอน
สองมือของเฉียนหมี่โซ่วถือไอศกรีมหนึ่งแท่งที่เริ่มละลาย เขาลืมกิน ง่วงจนสัปหงกไปหลายรอบ แต่แล้วก็ถูกท่านย่าหม่าสะกิดให้ตื่น
ท่านย่าหม่ายังได้แย่งไอศกรีมไปเลียในส่วนที่ละลายแล้วส่งคืนให้หมี่โซ่ว
หมี่โซ่วรับมายัดใส่ปากตามสัญชาตญาณ
ที่นี่ทุกบ้านต่างเป็นแบบนี้ เคยชินกับการที่จะต้องอยู่ในคืนข้ามปี
อย่างเช่นลู่พั่น เขาเองก็ชินแล้ว
โดยเฉพาะเมื่อพ่อของเขาถาม “ไม่มีแม่นางบ้านไหนที่ถูกใจเลยรึ ไม่มีสักคนเลยหรือ” เขายิ่งตื่นตัว ความง่วงที่มีเพียงน้อยนิดหายเป็นปลิดทิ้ง สีหน้าไม่เปลี่ยน “ไม่มี”
ส่วนเป่าจูที่อยู่ในเมืองก็กำลังมองท้องฟ้าสลัว ขึ้นปีใหม่วันที่หนึ่งแล้ว
นางเป่าเทียนในโคมไฟสิบสองนักษัตรที่แขวนอยู่ตรงลานบ้านให้ดับด้วยความเสียดาย ขอบคุณคุณหนูซ่งที่สร้างความประหลาดใจให้นางมากขนาดนี้
พอดับเทียนในโคมไฟเสร็จทันใดนั้นเป่าจูก็ได้ยินเหมือนเสียงเอะอะจากตรงถนน มีเสียงมือปราบหลายคนกำลังพูดคุย
บ้านของนางอยู่ติดกับถนน
“พี่ อย่ามัวแต่เหม่อ รีบออกไปดูหน่อยสิ”
“ทำไมรึ”
“ไม่รู้ ข้าได้ยินเหมือนมีคนกำลังเถียงกันว่าทำไมแย่งโคมของเขาไป”
ช่วงเช้า หมี่โซ่วกับซ่งฝูหลิงยังนอนเอาแรงอยู่ ท่านย่าหม่าเองก็รู้สึกว่านอนต่ออีกหน่อย วันนี้ร้านขนมไม่เปิด ในที่สุดนางก็ได้พักผ่อนอย่างสบายใจแล้ว พรุ่งนี้วันที่สองถึงจะเปิดร้าน แต่แล้วก็ได้ยินเสียงคนคุยกันที่ลานบ้าน ดูเหมือนจะเป็นคนนอก
ท่านย่าหม่าใช้มือมัดผมพลางหลับตาที่ยังไม่ตื่นดี เปิดประตูออกไปถาม “ใครมารึ เดือนอ้ายพวกเราไปเยี่ยมบ้านไหนไม่ได้ รับแขกก็ไม่ได้”
ซ่งฝูเซิงหันมามอง “มีมือปราบมาจากในเมืองหลายคน บอกให้ทุกคนในหมู่บ้านข้ามสะพานไปฝั่งนู้น ห้ามขาดแม้แต่คนเดียว”
ท่านลุงซ่งกระวนกระวายใจ เมื่อครู่ที่มือปราบมาแจ้งสีหน้าเคร่งเครียดพอสมควร