ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 419 เข้าก็ไม่ได้ ออกก็ไม่ได้
ด้านหน้าประตูเมืองเก่าแก่ ขบวนยาวเรียงกันสองแถวจนมองไม่เห็นปลายแถว
ข้อเสียเวลาจะเดินทางไปไหนทีในยุคโบราณก็คือความพะรุงพะรัง
ไม่ว่าจะบรรทุกเจ้านาย ขนของกินเสื้อผ้า ขนเครื่องดื่ม ขนของใช้ ไหนยังจะต้องขนบ่าวรับใช้ไปอีก
รถม้าของครอบครัวเดียวก็ต่อแถวไปยาวเหยียดแล้ว
อีกทั้งเวลานี้ที่หน้าประตู มีต่อแถวกันอยู่หลายครอบครัว ผ่านไปครึ่งวันก็ยังไม่ขยับ
ภายใต้ท้องฟ้าที่มีเมฆครึ้ม หิมะตกหนักอีกระลอกและยังตกหนักขึ้นเรื่อยๆ
พ่อบ้านกับบ่าวรับใช้ชายของแต่ละบ้าน เดินไป-กลับประตูเมืองกับขบวนเดินทางอยู่บ่อยครั้ง ไม่นานบนหมวกก็กลายเป็นสีขาว
ปกติคนพวกนี้อาศัยบารมีนายเวลาออกไปข้างนอก ตอนนี้แต่ละคนเดินตัวงอ สองมือซุกเข้าไปในแขนเสื้อหาความอบอุ่น โดยไม่สนภาพลักษณ์อีกต่อไป หนาวจนแทบอยากขดตัวเป็นลูกบอล
แค่วิ่งไปกลับรอบเดียวเพื่อถามเรื่องหนังสือขออนุญาต จมูกก็แทบจะแข็งแล้ว
ซ่งฝูเซิงก็ต่อแถวมาครึ่งชั่วยามแล้ว กระเป๋าน้ำในมือที่เอามาแทนกระเป๋าน้ำร้อนได้หายร้อนนานแล้ว
อากาศวันนี้ ถ้าใช้คำพูดของท่านย่าหม่าก็คือ หนาวจนวังเวง
ท่านย่าหม่าเข้าเมืองมาขายขนมทุกวัน ฝึกฝนจนชินแล้วกับการทำตัวให้สดชื่นเวลามีลมหิมะพัดเข้าหาตัว แต่วันนี้กลับหนาวจนทนไม่ไหว
อีกทั้งท่านย่าหม่ายังแอบเสียใจที่ไม่เชื่อหลานสาวที่ให้เอาอ่างผิงไฟมาด้วย
บทสนทนาของสองย่าหลานในตอนนั้นเป็นแบบนี้
‘ท่านย่า เอาอ่างผิงไฟไปด้วย จะได้เอาไปอังตอนต่อแถวเข้าประตูเมือง’
‘จะไปใช้ชีวิตหน้าประตูเมืองหรือไง ต่อแถวยังต้องผิงไฟ’
‘ก็เผื่อเขาไม่ให้เข้า เกิดต้องต่อแถวจนฟ้ามืดล่ะ’
‘ถุยๆๆ เจ้าเลิกพูดเลย เดิมทีย่าก็หงุดหงิดจะตายอยู่แล้ว’
แล้วมาดูตอนนี้ เป็นจริงอย่างที่หลานสาวนางว่า สภาพนี้ ดีไม่ดีเจ้าหน้าที่พวกนั้นได้ให้แต่ละบ้านรอแถวจนฟ้ามืด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชาวบ้านชนบทอย่างพวกเรา
ซ่งฝูเซิงแหวกม่าน “ท่านแม่ ลงมา”
“ไปไหน”
“มัวรออยู่แบบนี้ไม่ได้ ไปสืบดูที่หน้าประตูเมืองดีกว่านั่งรออยู่แบบนี้”
“แต่เขาเพิ่งตะโกนบอกว่าห้ามเดินเพ่นพ่าน”
ซ่งฝูเซิงกระโดดลงจากเกวียนไปก่อน พอถึงเวลากฎระเบียบมันของตาย คนต่างหากที่มีชีวิต
ไม่ให้พวกเขาที่เป็นชาวบ้านเดินเพ่นพ่าน ปล่อยให้นั่งรอในแถว แต่พ่อบ้านกับบ่าวรับใช้พวกนั้นกลับเดินกันขวักไขว่
เกาเถี่ยโถวกับต้าหลังก็ลงมาด้วย ซ่งฝูเซิงกลับส่ายมือพลางพูด “พวกเจ้าสองคนไม่ต้องตามไป อาเกา กัวคนโต ตามข้าไป ให้แม่ข้ากับอาเกาเป็นคนนำ คนอายุมากไปถึงหน้าประตูเมือง อย่างน้อยก็ไม่มีโดนทำโทษด้วยกำลัง ย่อมคุยง่ายกว่า”
ซ่งฝูเซิงจับมือท่านย่าหม่า เดินฝ่าหิมะไปที่ประตูเมือง
ระหว่างทางได้ยินหลายบ้านที่รีบเข้าเมือง
คนที่ทำมาค้าขายก็มี
บ้างก็เปิดร้านน้ำมัน บ้างก็เปิดร้านขายชา อีกทั้งยังเป็นร้านที่ค่อนข้างใหญ่
น่าจะได้ยินข่าวเลยไม่วางใจร้านที่อยู่ในเมือง วันแรกของปีก็แห่มากันหมด
เดินไปสักพัก ท่านย่าหม่าถึงสังเกตเห็น นั่นครอบครัวเริ่นจื่อเซิงไม่ใช่เหรอ
ซย่าเหวินฮุ่ยแหวกม่านออกมาดูข้างนอกด้วยความหงุดหงิดพอดี ก็เลยเห็นย่าหม่า
ย่าหม่าคิดว่าไหนๆ ก็เห็นแล้ว สบตากันแล้ว ถามสักหน่อยแล้วกัน “ไอ๊หยา บ้านเจ้าเพิ่งต่อถึงตรงนี้รึ”
ซย่าเหวินฮุ่ยมองค้อนย่าหม่า กระชากม่านปิดราวกับโมโหมาก
ย่าหม่าถูกลูกชายดึงไป หันกลับไปถลึงตาใส่ม่านรถม้าของซย่าเหวินฮุ่ยพลางด่าในใจ ทำเป็นวางมาด เก่งนักไม่เข้าเมืองไปเลยล่ะ ใครจะกล้าขวางเจ้า กระจอก เชิญรอให้มันอกแตกตายไปเลย
“เจ้าสาม เริ่นจื่อเซิงเป็นขุนนางขั้นไหน”
“ขั้นเจ็ด”
“เขากับนายอำเภอใครใหญ่กว่า”
“พอกัน เขาเป็นขุนนางของสำนักตรวจการเมือง”
เกาถูฮูเช็ดหิมะที่คิ้ว ถามด้วยความสงสัย “สำนักตรวจการเมืองดูแลอะไร”
ซ่งฝูเซิงขี้เกียจอธิบายละเอียด ประเด็นคืออธิบายเยอะไปพวกเขาก็ฟังไม่เข้าใจ
“ก็คือเขาไม่กลัวถูกคนร้องเรียนเพราะงานที่ทำ ได้ยินว่าเขาก็เพิ่งได้เลื่อนตำแหน่ง เมื่อก่อนเป็นเจ้าหน้าที่เล็กๆ ที่อยู่ใต้กวงลู่ซื่อ กวงลู่ซื่อเป็นหน่วยงานที่ดูแลจัดการเรื่องอาหารการกิน มีคนในสังกัดจำนวนมาก เขาถึงได้ช่วยพ่อให้มีช่องทางได้มาก รับไก่รับเป็ด ใครก็ตามที่ทำด้านนี้ล้วนจัดอยู่ในวงการเดียวกัน รู้จักกันหมด หาประโยชน์เข้าตัวได้บ้าง”
“งั้นตอนนี้ตำแหน่งเขาหาประโยชน์ได้ไหม”
ซ่งฝูเซิงส่ายหน้าเล็กน้อย
ในความคิดของเขา ตำแหน่งของเริ่นจื่อเซิงก็ประมาณเจ้าหน้าที่เล็กๆ ของคณะกรรมการตรวจสอบวินัย
ต้องเป็นคดีที่ใหญ่มากถึงจะไปถึงมือพวกเขา
เมื่อถึงสำนักตรวจการเมือง หากต้องขอร้องเจ้าหน้าที่ให้ช่วยเดินเรื่อง ก็ไม่มีทางต้องขอร้องเริ่นจื่อเซิง เจ้าหน้าที่เล็กๆ จะช่วยแก้ไขปัญหาอะไรได้ ก็แค่พอจะได้ยินข่าวเท่านั้น
ยังได้ประโยชน์สู้พวกเจ้าหน้าที่ของกวงลู่ซื่อที่ดูแลนำเข้าอาหารไม่ได้ด้วยซ้ำ
ถ้าเป็นเขา ยอมทำงานเบื้องหลัง ขอยอมไม่เลื่อนตำแหน่ง
ก็ไม่จำเป็นจะต้องเป็นกวงลู่ซื่อ อย่าไปอยู่หน่วยงานใหญ่ๆ ก็พอ งานใดก็ตามที่ต้องคลุกคลีกับชาวบ้าน ผลประโยชน์ก็พอให้กินอิ่ม
แน่นอนว่า สถานการณ์ในตอนนี้คือ โชคดีที่ไม่ได้เป็นขุนนาง ตอนนี้ใครมายกตำแหน่งขุนนางให้เขา เขาก็ไม่เอา
จากสถานการณ์ในตอนนี้ ซ่งฝูเซิงคิดในใจ
ถ้าอ๋องเยี่ยนชนะก็แล้วไป ถ้าไม่ชนะ เปลี่ยนนาย ขุนนางพวกนี้ยังจะมีจุดจบที่ดีรึ
เอาแค่นี้ มีหวังซวยกันหมด
ต่อให้ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกเขา วันข้างหน้าก็ยังพูดยาก
เพราะถ้าพูดออกไปว่ามีความเกี่ยวข้องกับจวนผู้สำเร็จราชการ พอถึงเวลาต้องเปลี่ยนนาย จะปล่อยครอบครัวของเขาไปหรือเปล่าก็ไม่รู้
เอางี้ ตอนนั้นที่ลี้ภัยให้หนีไปที่ไหนน่ะเหรอ
มันมีความรู้สึกว่าหนีไปไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น
เพราะไม่ว่าจะไปที่ไหน สุดท้ายก็ต้องสู้กันไปสู้กันมา เพื่อจะรวมเป็นหนึ่งเดียว
ตอนนั้นคิดว่าที่นี่มีฮ่องเต้ประทับอยู่ อย่างน้อยก็พอจะสงบสุขไปได้ปีสองปี และอย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็พอจะเก็บเงินได้บ้าง มีบ้านให้อยู่พอดิ้นรนกันไปได้ ปรากฏว่านี่แค่เพิ่งไม่กี่เดือน
โชคชะตาของพวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกมันเป็นยังไงกัน
ไม่มีใครเข้าใจความกระวนกระวายในก้นบึ้งหัวใจของซ่งฝูเซิง
พอไปถึงประตูเมือง ยังไม่ทันได้เข้าไปใกล้ก็ได้ยินคนพูดกัน ซ่งฝูเซิงยิ่งกระวนกระวายใจมากกว่าเดิม
ตรงประตูเมืองกำลังตรวจค้นครอบครัวขุนนางใหญ่ขั้นสี่
ขั้นสี่เชียวนะ
ตอนนี้ขุนนางขั้นสี่ถึงขั้นลงมาจากรถแล้ว แต่ไม่ปล่อยให้เข้าไปทั้งหมด
เหตุผลคือปล่อยบ่าวรับใช้ไปทั้งหมดไม่ได้ เพราะไม่ทราบประวัติที่ชัดเจน
ท่านย่าหม่าได้ยินฮูหยินของบ้านนั้นพูดว่า “สาวใช้ที่ติดตามข้าออกเรือน จะพูดว่าไม่ทราบประวัติชัดเจนได้อย่างไร”
นายท่านขุนนางขั้นสี่ดูมีธุระสำคัญ รีบร้อนเข้าเมืองเพื่อไปแสดงความจงรักภักดีต่อฝ่าบาท อยากรีบกลับเข้าศาลาว่าการโดยเร็วที่สุด อยู่ข้างนอกไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจ แต่ก็เพราะรู้อยู่แก่ใจถึงได้ลนลาน
ไม่ได้สนใจเรื่องบ่าวรับใช้ สั่งให้พ่อบ้านรีบจัดการหารถม้าที่ว่างคันหนึ่งแล้วส่งบ่าวรับใช้ที่ไม่ถูกปล่อยเข้าเมืองให้กลับบ้านเกิดไปก่อนชั่วคราว
ต่อมาเป็นญาติของครอบครัวขุนนางขั้นสอง
ทั้งเมืองเฟิ่งเทียนมีขุนนางขั้นสองอยู่แค่ไม่กี่คน
ญาติที่ว่านี้ก็ไม่ได้ห่างไกล อาศัยอยู่ในจวนเดียวกัน ก็ควรเป็นครอบครัวเดียวกัน
จากนั้นก็วางมาด มักมีคนที่คิดว่าตัวเองเจ๋งอยู่เสมอ ไม่พกหลักฐานยืนยันตัวตนสักอย่างเลยถูกล้อม เหล่าทหารที่ประตูเมืองปฏิบัติอย่างเข้มงวดมากทีเดียว
ครอบครัวนั้นผวาจนไม่กล้าอวดดี รีบค้นหาภาพอักษรพู่กันของขุนนางขั้นสองคนนั้นในรถม้า พยายามหาหลักฐานมาแสดงว่าเป็นญาติจริงๆ
สุดท้ายก็ไม่ถูกจับ เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเมืองเชื่อ
อันที่จริงซ่งฝูเซิงรู้สึกว่า เจ้าหน้าที่อาจรู้จักหมดทุกคน แต่ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้จัก มาทางไหนไปทางนั้น ทุกอย่างต้องทำตามขั้นตอน
เข้มงวดกวดขัน
จากนั้นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว เป็นบรรดาสาวใช้บ่าวรับใช้ชายที่ยืนยันตัวตนไม่ได้ว่าอยู่เมืองเฟิ่งเทียน อนุญาตแค่คนที่เป็นขุนนางเข้าเมือง ไม่ปล่อยคนที่ ‘ตัวตนไม่ชัดเจน’
“เอ๊ะ พวกเจ้าทำอะไรน่ะ”
ซ่งฝูเซิงดึงท่านย่าหม่าถอยหลังทันทีเพื่อให้ทางเถ้าแก่ร้านน้ำมันอยู่ข้างหน้า
คนที่ไหวตัวได้เร็วแบบซ่งฝูเซิง ยังมีเถ้าแก่อีกหลายคนที่เปิดร้านในเมืองเฟิ่งเทียน
เถ้าแก่ร้านน้ำมันมองซ้ายมองขวา เมื่อครู่เขามุงดูก็เห็นๆ อยู่ว่าไม่ได้ยืนเป็นคนแรก
จำต้องบากหน้าตอบไป “ใต้เท้า ข้าน้อยเปิดร้านขายน้ำมันอยู่ในเมือง ขอเรียนถามว่า เมื่อไรจะถึงคราวตรวจพวกเราหรือ”
“ไปๆๆ คนที่รีบเข้าเมืองไปทำงานยังตรวจไม่เสร็จ มาทางไหนกลับไปทางนั้น ไม่ได้ยินประกาศรึ ก่อนวันที่สิบหก จะมาเปิดร้านอะไรอีก”
“แต่ว่าร้านของข้าน้อย”
ซ่งฝูเซิงดึงท่านย่าหม่าเดินออกไปแล้ว
พอเถอะ เข้าไม่ได้ อยู่ตรงนี้มีแต่จะหนาวตาย สามวันแรกจะต้องปิดข่าวเงียบแน่นอน
ก็ไม่รู้ว่าทางเมืองถงเหยาที่ให้เถียนสี่ฟา พวกพี่เขยไป จะเป็นอย่างไรบ้าง
ท่านย่าหม่าขึ้นนั่งบนเกวียน พอเห็นลูกชายหันเกวียนกลับก็รู้สึกหงุดหงิดใจ
“ทำไงดีล่ะ ตอนนี้ข้าไม่คิดเรื่องขายขนมเค้กก่อนวันที่สิบหกแล้ว ก็แค่อยากเข้าเมืองไปคืนเงินมัดจำ เห็นร้านเราปิด จะโดนพังร้านหรือเปล่า”
ในเวลาเดียวกัน บรรยากาศในเมืองก็ตึงเครียดยิ่งกว่านอกประตูเมือง
เป่าจูกับต้าเต๋อจื่อถูกทหารลาดตระเวนเรียกถาม
“เรียนใต้เท้า พวกเราก็แค่อยากไปเก็บของในร้าน” ไม่ให้แขวนโคมแดงก็ต้องจัดการเก็บลงหรือเปล่า