ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 420 วัดกันที่มารยาท
หน้าร้านขนมเค้ก
มือข้างหนึ่งของเป่าจูเท้าเอว มืออีกข้างชี้ตุ๊กตาหิมะพลางขมวดคิ้ว “ฝีมือเด็กแสบคนไหนกัน ถังหูลูปลอมก็ขโมยไปรึ ไม่เคยเห็นของกินหรือไง”
ต้าเต๋อจื่อไม่มีเวลาสนใจไขแม่กุญแจ รีบเข้าไปดึงน้องสาว
“พี่ ดูสิ จะดึงข้าทำไม จมูกตุ๊กตาหิมะหายไป ถังหูลูก็เหมือนกัน”
เป่าจู หุบปากเสียเถอะ
เพราะที่ฝั่งตรงข้ามถนน มือปราบกำลังแกว่งถังหูลูปลอมของนาง เดินพลางตะโกน
“ร้านค้าที่อยู่บนถนนกลางทุกร้านจงฟังให้ดี…
…นับจากวันนี้เป็นต้นไป ห้ามรื่นเริง ห้ามฆ่าฟัน…
…ผู้ชายห้ามโกนผม ผู้หญิงห้ามผัดหน้า…”
ข้อห้ามเยอะมาก
นับตั้งแต่วันที่หนึ่งของปีห้ามแต่งงาน ห้ามก่อสร้างโครงการใหญ่ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับสงคราม แบบนั้นเรียกว่าห้ามปลูกสร้าง
แน่นอนว่าสำหรับชาวบ้านและร้านค้าก็คือห้ามสร้างบ้าน ห้ามซ่อมแซมบ้าน ร้านค้าก็ห้ามตกแต่งร้าน
อย่างเช่น การจัดวางโต๊ะเก้าอี้ เมื่อก่อนเป็นอย่างไร ต่อไปก็ต้องเป็นแบบนั้นในระหว่างที่ใช้กฎนี้ ห้ามบอกว่าขยับนิดหน่อยเพื่อเสริมดวง ไม่ได้
ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเป็นแบบนี้แล้ว บรรดาคนที่เปิดร้านต่างรู้สึกเพียงว่า มีเรื่องดวงให้พูดถึงที่ไหนกัน คาดการณ์ได้เลยว่า ในระหว่างที่ใช้กฎนี้ อย่าว่าแต่คนที่จะออกมาจับจ่ายหรือไปกินข้าวที่โรงเตี๊ยมเลย คนที่ออกมาเดินบนถนนก็จะน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
ทั้งยังห้ามแต่งตัวสีฉูดฉาด ถุงหอมก็ต้องระวัง สตรีห้ามใช้แม้แต่เชือกที่มีสีสัน
การพนัน โสเภณี สุรา ยิ่งห้ามแตะต้องเข้าไปใหญ่ จะถูกตั้งข้อหาไม่ให้ความเคารพทันที
บนถนนกลางเส้นยาว
ร้านค้าน้อยใหญ่เรียงราย จะร้านกี่ชั้นก็มีหมด เยอะพอสมควร
บนถนนที่เป็นศูนย์กลางเส้นนี้ที่เบื้องหลังแทบจะ ‘มีคนหนุน’ เวลานี้กลับไม่มีคนของร้านไหนแม้แต่คนเดียวที่กล้าออกมาถามว่า ‘ห้ามนานแค่ไหน’
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงร้านค้าบนถนนเส้นอื่น ไม่กล้าถามเข้าไปใหญ่ มือปราบประกาศไปถึงถนนเส้นไหนก็พยักหน้า จดจำไว้ในใจ ไม่กล้าเดินผิดแม้เพียงครึ่งก้าว
คนที่อาศัยอยู่ในเมืองเฟิ่งเทียน ใต้พระบาทของโอรสสวรรค์ ต้องพูดเลยว่าอ่อนไหวยิ่งกว่าชาวบ้านที่อื่นมาก
แต่ละครัวเรือนสามารถเดาได้จากการที่อยู่ๆ ก็ถูกคนมาทำลายโคมแดง ถ้าฮ่องเต้ไม่สวรรคตก็คงเกิดเรื่องที่วิกฤติต่อบ้านเมืองเช่น สถานการณ์รุนแรงมาก เสาหลักล่มสลาย ถึงจะทำกันแบบนี้
ดังนั้นจะกล้าออกไปถามว่าใช้กฎนี้นานเท่าไรได้อย่างไร สมมติว่าในครอบครัวพ่อตาย ถามว่าเมื่อไรถึงจะแต่งงานได้ ไม่เท่ากับรนหาที่ตายรึ
อย่างไรเสียก็คงห้าม เมื่อไหร่จะเลิกห้ามก็ต้องมาประกาศแน่นอน
“นี่ของบ้านไหน ป้ายนั่นน่ะ” มือปราบแกว่งถังหูลูพลางถาม
ต้าเต๋อจื่อดึงเป่าจูไปไว้ด้านหลัง บังน้องสาวไว้ครึ่งหนึ่งแล้วถึงตอบ “ใต้เท้า ไม่ทราบว่าป้ายมีอะไรหรือขอรับ”
ทำไมน่ะเหรอ
ผ้าโพกผมของท่านยายที่อยู่ในรูปบนนั้นเป็นสีชมพู
แถมยังยิ้มจนหน้าบานเป็นจานเชิง มันได้เหรอ
ต้าเต๋อจื่อ “ข้าน้อยจะปลดลงมา ปลดเดี๋ยวนี้ขอรับ”
ปีนบันได
ต้าเต๋อจื่อปลดป้ายร้านลงมา เป่าจูรอรับด้านล่าง
หลังจากที่สองพี่น้องอุ้มป้ายเข้าร้านแล้ว เป่าจูก็เอาผ้าชุบน้ำบรรจงเช็ด
สาวน้อยถอนหายใจพลางเช็ดรูปท่านย่าหม่าจนสะอาดสะอ้าน
“พี่ เขาห้ามพวกเราเข้าใกล้ประตูเมือง พี่ว่าตอนนี้หมู่บ้านเหรินจยาจะรู้ข่าวหรือเปล่า”
“พี่ เมื่อครู่พวกเราไปทางจวนฉี ยังไม่ทันจะเข้าใกล้ก็ถูกขวางไว้ พี่ว่าตอนนี้พวกคุณหนูสามจะทำอะไรอยู่ แล้วก็ทางจวนผู้สำเร็จราชการด้วย”
ขณะที่ต้าเต๋อจื่อกำลังจะตอบ พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นสตรีที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีเรียบผลักประตูเข้ามา
“ข้ามาขอเงินคืน อยากยกเลิกขนมสองกล่องที่สั่งจองไว้”
“ยกเลิกเหรอ”
ผู้หญิงคนนั้นจับเป่าจูแล้วขอร้องยกใหญ่
นางบอกว่านางเองก็ไม่มีทางเลือก คนในเมืองต่างรู้ว่าขนมร้านนี้ราคาแพง มีชื่อเสียง เอาไปให้คนก็ได้หน้า นางถึงได้เอาปิ่นเงินไปจำนำเพื่ออนาคตของสามี แต่กลับนึกไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องนี้ เอาของไปให้ไม่ได้แล้ว พอได้ยินข่าวก็รอร้านเปิดมาตลอด
ดังนั้นช่วยคืนเงินได้หรือเปล่า
ดูนะ จองไว้วันพรุ่งนี้ถึงจะมารับ มาบอกสักคำว่าไม่ต้องทำแล้ว ไม่เอาแล้ว ก็ไม่เป็นการเสียเวลากันหรือเปล่า
เป่าจูมองพี่ชาย ไม่ได้หลงไปกับคำพูดของสตรีตรงหน้าแม้แต่น้อย
แบบไหนเรียกไม่เป็นการเสียเวลา ในบ้านมีปัญหาอะไรไม่ได้เกี่ยวกับพวกนางเลยสักนิด ก่อนซื้อคิดอะไรอยู่ สามีเจ้าเอาของไปมอบให้คนอื่นไม่ได้เลยอยากขอเงินคืนงั้นเหรอ ไร้เหตุผลสิ้นดี
แต่นางกังวลว่าพรุ่งนี้ท่านย่าหม่าจะเข้าเมืองไม่ได้ ส่วนนางก็ออกนอกเมืองไม่ได้ ไปเอาของที่หมู่บ้านเหรินจยาไม่ได้
เป่าจูครุ่นคิดแล้วถามกลับ “ทำไมข้าไม่เคยเห็นท่านมาก่อน”
“สามีข้าเป็นคนมาสั่ง”
“สั่งอะไรไว้ แต่ละอย่างเป็นเงินเท่าไร ลองพูดให้ข้าฟังหน่อย” เป่าจูไม่มีใบสั่งจองอยู่ในมือ ไม่รู้เลยว่าขายเท่าไร ขายให้ใคร รับเงินมัดจำไปเท่าไร ทำได้เพียงหลอกล่อ
แต่ผู้หญิงคนนี้กลับบอกได้หมด
เป่าจูขบฟัน ควักเงินออกมาคืนให้
หลังจากผู้หญิงคนนี้ไปแล้ว เป่าจูก็ขึ้นไปเก็บดอกไม้บนโต๊ะชั้นสอง เก็บหมอนอิงที่สีสันฉูดฉาด เก็บผ้าแดงที่คลุมไม้ปลุกสติเวลาเล่าเรื่อง
ตอนนี้ให้ตรวจดูเอง อีกเดี๋ยวมือปราบจะเข้ามาตรวจ ถ้ามือปราบตรวจแล้วไม่ตรงตามกฎก็จะริบของทันที
ที่ชั้นล่างมีคนมาขอเงินคืนอีกสองคน
เป่าจูกับต้าเต๋อจื่อควักเงินจ่ายต่อเนื่อง
เป็นลูกค้าขาจร จัดอยู่ในประเภทชาวบ้านธรรมดาที่มาสั่งขนมในร้านแล้วขอยกเลิก เงินที่ติดตัวของสองพี่น้องไม่พอชั่วคราว
แต่ต้าเต๋อจื่อกับเป่าจูปรึกษากันอยู่สักพัก พรุ่งนี้ต้องทำสองเรื่อง
เรื่องแรก พยายามหาทางเข้าใกล้ประตูเมืองให้ได้ สืบดูว่าออกนอกเมืองได้หรือไม่ และก็สืบดูว่าห้ามคนเข้าเมืองอย่างสิ้นเชิงหรือเปล่า
เรื่องที่สองคือ พรุ่งนี้สองพี่น้องจะเอาเงินที่ฝังไว้ในบ้านมาด้วย ถึงจะคืนเงินให้ชาวบ้านที่มายกเลิกขนมได้ ถ้าบ่าวรับใช้ของลูกค้ารายใหญ่มาขอคืนเงิน นั่นต่างหากที่จะต้องใช้เงินมากที่สุด
ก็ไม่รู้ว่าเงินเก็บของสองพี่น้องจะพอหรือเปล่า หวังว่าพวกลูกค้ารายใหญ่จะยุ่งจนไม่มีเวลาสนใจมาขอเงินคืน
ในเวลาเดียวกัน มือปราบฉีหมิงแห่งเมืองถงเหยาได้พาลูกน้องหกคนกำลังลาดตระเวนไปถึงร้านขนมท่านย่าหม่าสาขาเมืองถงเหยา
พอเห็นลูกน้องปลดป้ายร้านของท่านย่าหม่ากำลังจะโยนลงพื้น ฉีหมิงก็เข้าไปห้าม ไม่ให้ทำลายป้าย
อันที่จริงก็โทษพวกเขาไม่ได้ พวกเขาทำตามหน้าที่
ทุกอย่างที่ไม่เป็นไปตามกฎจะต้องทำลายทั้งหมด โยนทิ้งก็อาจถูกเก็บไป จึงต้องทำลายให้ละเอียด
ได้ยินว่าทหารเฝ้าประตูเมืองลำบากกว่า ถ้ากล้าปล่อยคนที่อาจก่อความวุ่นวายเข้ามาก็ลากไปตัดหัวทันที เรียกได้ว่าทหารเฝ้าประตูเมืองพวกนั้นใช้หัวตัวเองเป็นประกันคนที่เข้าเมืองมา จะไม่ให้เข้มงวดได้ไงล่ะ
ฉีหมิงให้คนนำป้ายร้านไปไว้ที่บ้านของเขา ช่วงหลายวันนี้เขาคงกลับบ้านพักผ่อนไม่ได้อย่างแน่นอน ต้องทำงานตลอด นอกจากนี้เขายังได้เขียนประกาศแปะไว้หน้าร้านขนม ความหมายประมาณว่า ทุกเรื่องต้องรอหลังวันที่สิบเจ็ดเดือนอ้ายค่อยว่ากัน
ที่เขาเอาใจใส่แบบนี้เป็นเพราะเขาเพิ่งมาจากร้านขนมของสกุลไป๋
ร้านของสกุลไป๋ก็เจอเหตุการณ์ที่เถ้าแก่ไม่อยู่ เด็กในร้านเฝ้าอยู่สองคน มีลูกค้ามาโวยวายต้องการขอเงินค่าผลไม้เชื่อมคืน ขอยกเลิกนั่นนี่ ทำตัวไร้มารยาทกันแล้ว
ร้านสกุลไป๋มีสินค้า แต่อีกฝ่ายไม่เอาแล้ว จะขอเงินคืนให้ได้ เขาถึงเข้าไปจัดการให้ ถ้ายังกล้าโวยวายเสียงดังอีกจะจับขังให้หมด
ฉีหมิงคิดในใจ ร้านของพวกพี่ซ่งจะต้องเจอเหตุการณ์แบบเดียวกันแน่นอน ลำบากกว่าสกุลไป๋ตรงที่เข้าเมืองมาไม่ได้ เพื่อป้องกันไม่มีเวลามาดูแลก็เขียนติดไว้ดีกว่าว่าไม่ได้หนีไปไหน คืนเงินได้ แต่เป็นหลังวันที่สิบเจ็ดเดือนอ้าย
อำเภออวิ๋นจง
เหล่าสุยกำลังปวดกบาล ในกระเป๋ามีเงินที่ได้จากการขายหนังหมี เขากับลูกชายคนโตออกมาเพราะอยากหาเส้นสายซื้อเสบียงอาหาร กำลังบ่นในใจ ทำอย่างไรดี จบเห่ละงานนี้ ปีนี้ค้าขายจะได้เรื่องเหรอ ลูกค้ารายใหญ่ได้ปิดประตูสนิทแน่ ขณะที่กำลังหงุดหงิดใจก็เดินผ่านร้านขนมย่าหม่าสาขาอำเภออวิ๋นจง
“เอ๊ะ? ทำอะไรน่ะ สุมหัวกันอยู่ในร้านแถมยังพังประตูด้วย ไม่มีคนอยู่เลยทำลายเหรอ”
คนพังประตูบอกว่า “ก็ดูสิ ป้ายร้านไม่มีแล้ว ขนมที่บ้านข้าจองไว้ต้องเจียดเงินมาเลยนะ ก็ต้องขอคืนสิ”
เหล่าสุยเงยหน้ามอง ไอ๊หยา ป้ายร้านก็ไปแล้ว
ถูกพวกมือปราบทุบเละไปตั้งแต่แรกแล้ว เพราะผิดกฎ
“เลิกโวยวายได้แล้ว มาๆๆ มาคุยกับข้า”
นับจากวินาทีนี้ เหล่าสุยก็พยายามที่จะช่วยซ่งฝูเซิงดูแลร้านขนมสาขาอำเภออวิ๋นจงให้
ส่วนสาขาอำเภอจยา ไม่มีคนดูแล
แต่ใต้เท้านายอำเภอจยาเป็นคนขี้ขลาด เขายกระดับกฎในอำเภอขึ้นมาอีกขั้น ความเข้มงวดเต็มกำลังสูบในระดับห้าดาว ทางที่ดีห้ามเห็นใครบนถนน หมาที่เลี้ยงไว้ทางที่ดีก็ห้ามปล่อยให้เห่า รักษาความสงบอย่างเข้มงวด
อำเภอจยาตอนกลางคืนเหมือนเมืองร้าง
ดังนั้นมีแค่ป้ายร้านที่ถูกเผารวมกับโคมแดงของแต่ละบ้าน คนที่สั่งขนมไว้ร้อนใจอยากได้เงินคืนแต่กลับไม่กล้ามาโวยวายที่หน้าร้าน