ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 421 จนปัญญา
มองโลกในแง่ดีเข้าไว้ แล้วชีวิตจะดีขึ้นทุกปี
คำพูดที่ซ่งฝูเซิงให้กำลังใจทุกคนยังสดๆ ร้อนๆ อยู่ แต่ตอนนี้กลับเย็นชืดหมดแล้ว
เพิ่งจะกัดฟันทนกันมาได้ คราวนี้ทุกคนตัดสินใจครั้งใหญ่ ใช้ชีวิตแบบเศรษฐีหนึ่งวัน กินมื้อใหญ่จัดเต็ม ไม่ต้องคำนวณน้ำมัน ไม่ต้องคำนวณปริมาณอาหาร แต่นี่ต้องกลับมาสู่ชีวิตยากจนอีกแล้ว
วันแรกของปี เดิมทีควรเป็นวันกินเกี๊ยว
หยวนเป่าก้อนใหญ่ๆ ไหลมาเทมา
พวกผู้หญิงกลับถือเกี๊ยวที่ถูกห่อเสร็จและคลุมไว้ขึ้นมาอย่างเงียบๆ นำไปวางบนโต๊ะที่ใช้หิมะก่อขึ้นอย่างเงียบๆ ถาดแล้วถาดเล่า
อย่ากินเลย
เมื่อวานวันสิ้นปีเพิ่งจะกินไปมากขนาดนั้น อาหารกองอยู่ในท้องพออยู่ได้ไปอีกระยะหนึ่ง
วางเกี๊ยวไว้ข้างนอกให้มันแข็งตัว
วันหน้าถ้าพวกเด็กๆ เกิดหิวขึ้นมาก็ต้มเกี๊ยวให้คนละสองสามตัวกินพอประทังความหิว
ภายในห้องครัว คนที่รับหน้าที่หุงหาอาหารมื้อใหญ่กำลังต้มโจ๊กข้าวโพด
กินโจ๊กหน่อย ผักดองนิด พอให้หายหิวก็พอแล้ว ไม่ได้ต้องทำงานกันเสียหน่อย
ห้องทำขนมหยุดงานไปก่อนแล้ว เวลานี้บรรดาคนทำขนมที่เข้ามาทีหลังกำลังขัดเช็ดเครื่องตีไข่ พร้อมทั้งเช็ดล้างชะลอมใส่ขนมทั้งข้างนอกและใน
เอ้อร์ยา ต้ายา เถาฮวา ซ่งอิ๋นเฟิ่ง จูซื่อ รวมถึงหลี่ซิ่ว พวกนางกำลังจัดการรีดนม
พวกวัวนมไม่ได้สนว่าร้านจะหยุดหรือไม่หยุด มันยังคงผลิตนมตามปกติ ถ้าไม่เอานมออก นมจะไม่คัดเต้าจนอึดอัดเหรอ
พวกคนทำขนมคนเก่าทำงานกันตามปกติ ทั้งต้มนมหยดน้ำส้มสายชู ทั้งใช้ผ้ากรองนม นำกากนมที่คั้นเอานมออกหมดแล้วมาบีบอัดเป็นก้อนทิ้งไว้
ทั้งหกคนยุ่งจนเหงื่อออก
โดยเฉพาะหลี่ซิ่ว นางกำลังแย่งงานทำ
นางไม่ได้กำลังชิงดีชิงเด่น แต่กลัวว่าถ้าตัวเองอยู่ว่างแล้วจะคิดฟุ้งซ่าน กังวลเกินไป
ชีวิตเพิ่งจะมีความหวัง บ้านยังไม่ได้สร้าง เป่าจื่อของนางยังรู้หนังสือแค่หน้าหลัง นี่ก็จะรบกันอีกแล้ว
ก่อนหน้านี้ หลี่ซิ่วถูกซ่งฝูหลิงไล่กลับบ้าน บอกให้นางไปพักผ่อน
เมื่อคืนอยู่ข้ามปีกัน วันนี้ก็ไม่ได้นอน แต่หลี่ซิ่วกลับไม่รู้สึกง่วงแม้แต่น้อย ทำเสื้อผ้าให้เป่าจื่อ มือถูกเข็มตำจนเลือดออก นั่งไม่ติดจริงๆ อาศัยจังหวะที่ซ่งฝูหลิงไม่จับตาดูนาง หนีมาทำงานอีกแล้ว
บนเตียงอุ่นบ้านท่านย่าหม่า ยายๆ ทั้งแปดนอนแผ่เรียงกัน
แต่ละคนลืมตามองเพดาน ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
พอได้ยินข่าวนั้นแต่เช้าตรู่ ช่วงหลายวันนี้ห้ามเข้าเมืองไปค้าขาย ตอนนั้นยายทั้งแปดรู้สึกเหมือนฟ้าถล่ม
แบบนี้ไม่เท่ากับเอาชีวิตพวกนางเหรอ ไม่ได้ออกไปหาเงินหนึ่งวัน ร่างกายจะรับไหวเหรอ
อีกทั้งมีคนจองไว้อยู่แล้ว เห็นๆ อยู่ว่าขาดอีกนิดเดียว ทำเสร็จ เอาไปส่งถึงมือคนซื้อ เงินที่เหลือก็เข้ามาอยู่ในมือแล้ว แต่นี่จะให้พวกนางคายเงินออกไปเหรอ
นี่เป็นวันที่หนึ่งของปี อยู่ๆ มีฟ้าผ่าลงมาจนจิตใจของพวกนางกระวนวาย
รู้สึกรับไม่ได้ เมื่อวานยังดีๆ อยู่เลย ควรจะบอกล่วงหน้ากันสักหน่อย
แต่ตอนนี้ เวลานี้ เรื่องที่พวกยายทั้งแปดคิดอยู่ในใจต่างเหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมายคือ หลังวันที่สิบหกเดือนอ้ายให้พวกนางเข้าเมืองไปหาเงินได้ใช่ไหม คงไม่เกิดเรื่องอะไรอีกใช่หรือเปล่า
ไหนจะร้านพวกนั้นอีก
เฮ้อ รู้สึกเหมือนทิ้งลูกไว้ข้างนอกแล้วถูกกีดกันด้วยประตูเมือง พอไม่ได้เจอก็เป็นห่วง
ส่งของไม่ได้ก็เท่ากับติดเงินไปทั่ว พอติดเงิน ทางนั้นจะยอมปล่อย ‘ลูก’ ของพวกนางหรือเปล่า ประเด็นคืออยากไปตั้งใจอธิบายให้ดีแต่ก็ไปเจอหน้าไม่ได้
พอปิดประตูเมืองก็เหมือนถูกคนมัดมือมัดเท้า
ขนาดยายๆ ส่งขนมทั้งเจ็ดยังเครียดขนาดนี้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงท่านย่าหม่าเลย
“ท่านย่า ช่วยรับหน่อย”
พวกยายๆ รีบลุกขึ้น พากันลงจากเตียงรีบเข้าไปรับหม้อ
ซ่งฝูหลิงตักโจ๊กมาให้
พอยื่นหม้อโจ๊กเสร็จก็เมื่อยแขนมาก สะบัดแขนออก “ข้างนอกหนาว พวกท่านนั่งกินในบ้านดีกว่า ท่านย่า ท่านย่ายังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ รีบกินสักสองชามสิเถอะ”
“งั้นเหรอ” ท่านย่าหม่างง เอ๊ะ แปลกจริง ไม่รู้สึกหิวเลยสักนิด จำไม่ได้เลยว่ากินข้าวแล้วหรือยังไม่ได้กิน
“พ่อเจ้าเป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นหรือยัง เขาตัวเล็ก สู้ย่าไม่ได้ด้วยซ้ำ ทนหนาวไม่ได้เลยสักนิด”
ซ่งฝูหลิงบอกท่านย่าหม่า “ท่านพ่อคันมือ รีบร้อนบังคับเกวียน ท่านแม่เอาขิงทาให้แล้ว ตอนนี้ท่านพ่อออกไปข้างนอก เห็นบอกว่าจะไปรอพวกท่านลุงท่านอาที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน”
ท่นนยายเถียนได้ฟังก็วางชามข้าวลง หมดอารมณ์กินทันที ลูกชายนางยังอยู่ข้างนอก มีอารมณ์กินที่ไหนกัน
“นั่นสิ สี่ฟาเป็นคนซื่อ เมืองถงเหยาไม่เปิดประตูเมืองก็ควรกลับบ้าน แต่คนอย่างเขาจะต้องรออยู่ตรงนั้นแน่นอน พวกเจ้าไปเมืองเฟิ่งเทียนที่อยู่ตั้งไกลยังกลับมากันหมดแล้ว นี่ฟ้าก็มืดแล้ว พวกเขากลับยังไม่เห็นแม้แต่เงา”
ขณะที่กำลังพูด บ่นได้ไม่เท่าไหร่ท่านยายเถียนก็ได้ยินเสียงลูกชายของนาง จึงรีบลงจากเตียง จะออกไปทั้งที่ยังไม่ใส่รองเท้าให้ดี
ข่าวที่พวกเถียนสี่ฟานำกลับมาก็เหมือนกัน
เข้าเมืองไม่ได้ ต้องทนหนาวอยู่ตรงนั้น ต่อแถวรออย่างไร้จุดหมาย
อีกทั้งเรื่องที่แย่กว่าพวกซ่งฝูเซิงก็คือ ไม่เพียงแต่จะสอบถามไม่ได้ความอะไรที่ประตูเมือง ยังถูกกระทืบด้วย
ใครถูกกระทืบ ซ่งฝูกุ้ย
ซ่งฝูกุ้ยแค่อยากไปลองถามดูว่ามีความหวังจะได้เข้าไปไหม ถ้าไม่มีหวังก็กลับบ้าน จะได้ไม่ต้องรออย่างโง่ๆ จึงแทรกตัวเข้าไปในแถว
นึกไม่ถึงว่าบ้านที่ถูกแทรกแถวจะตะโกนฟ้องเสียงดัง “มีคนแทรกแถว เขาไม่ใช่บ่าวรับใช้บ้านข้า”
มือปราบที่เฝ้าประตูเมืองรังเกียจที่ซ่งฝูกุ้ยก่อความวุ่นวายจึงรีบเดินเข้ามาด้วยความโมโห กระชากคอซ่งฝูกุ้ย ดึงตัวเขาออกมาจากแถวพลางด่าทอ
“ดูก็รู้ว่าเจ้ามันตัวก่อกวน มาทางไหนรีบไสหัวไปทางนั้นเลย พวกเราตรวจค้นตามปกติก็ยุ่งจะตายอยู่แล้ว เจ้าตาบอดเหรอ ถ้ายังกล้าวุ่นวายไม่เลิกข้าจะจับเจ้าขัง”
ซ่งฝูกุ้ยรู้สึกไม่ดี
ข้ามาอย่างถูกต้องไหมล่ะ ในอกเสื้อมีหนังสือรับรอง
ทำไมใต้เท้ายังไม่ทันดูหนังสือรับรองก็ด่าว่าข้าเป็นตัวก่อกวนล่ะ
ท่านตรวจคนแบบนี้เหรอ มองแค่หน้างั้นเหรอ
ในใจของซ่งฝูกุ้ยมีคำพูดมากมายเหลือเกิน สีหน้าก็เก็บอารมณ์ไม่อยู่
พอเจ้าหน้าที่เห็น ไอ๊หยา เก่งนักเหรอ ไม่พูดพล่ามทำเพลงกระทืบซ่งฝูกุ้ยไปสองที จากนั้นก็ตบหน้าเขาหนึ่งฉาด
ซ่งฝูกุ้ยยอมจำนนทันที
ซ่งฝูกุ้ยเอามือจับหน้า “ฝูเซิง พรุ่งนี้ส่งข้าไปอำเภออื่นเถอะ ข้ากลัวเจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเมืองจำข้าได้แล้วจะยิ่งไม่ให้ข้าเข้าเมือง”
ซ่งฝูเซิงเกามือขวา มือแตกจนคัน “หลังจากฝูกุ้ยโดนกระทืบ พวกเจ้าก็อยู่ด้วย ไม่ได้เกิดการปะทะซึ่งหน้ากับเจ้าหน้าที่ทางการใช่ไหม”
เถียนสี่ฟาตอบ “เปล่า พวกข้าล้อมซื่อจ้วงไว้ กลัวเขาบุ่มบ่าม กลัวเจ้าหน้าที่คิดว่าซื่อจ้วงก็ไม่ยอม เดี๋ยวตกเป็นเป้าไปอีกคน”
ซื่อจ้วงที่กำลังกินโจ๊กเงยหน้ามองซ่งฝูเซิง พูดไม่ได้ ได้แค่คิดในใจ
นายท่าน ข้าไม่ได้อยากเข้าไป
ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าซ่งฝูกุ้ยถูกกระทืบ ทำไมพวกเขาต้องล้อมข้าไว้ทันทีด้วย
เดิมทีเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้สนใจข้า พอพวกเขามาล้อม เจ้าหน้าที่ก็เลยมาหา บอกให้พวกเราหยิบหนังสือรับรองออกมา ถ้าไม่มีจะจับพวกเราขัง
ท่านลุงซ่งไม่กินโจ๊กสักคำ เหมือนท่านย่าหม่า กลุ้มใจจนไม่รู้สึกหิว
เคาะกระบอกยาสูบ
“พรุ่งนี้ไปต่อ อย่าไปแค่เมืองเฟิ่งเทียนกับเมืองถงเหยาเลย ไปมันให้หมดทุกอำเภอ เข้าที่ไหนได้ก็เข้า ฝูเซิง เจ้าต้องไปหาตาแก่เริ่น ให้เขาเขียนหนังสือรับรองให้พวกเราหลายใบหน่อย แค่ไม่กี่ใบมันไม่พอ เขียนให้พวกเราสักยี่สิบใบก่อน”
เกิดความรู้สึกที่ว่า ยิ่งไม่ให้เข้าเมืองก็ยิ่งร้อนใจอยากจะเข้า
แต่น่าเสียดาย วันที่สองของปี สี่กลุ่มหอบเงินหลายสิบตำลึงไปพร้อมกับหนังสือรับรอง ก็ยังคงถูกกันไว้นอกประตูเมือง
วันที่สามก็ยังคงถูกกันไว้นอกประตูเมือง
วันที่สี่ในมือเป่าจูที่อยู่เมืองเฟิ่งเทียนไม่เหลือเงินแล้ว กำลังนับเหรียญทองแดงกับต้าเต๋อจื่อ
คนมักบอกว่าเมืองใหญ่ดี เมืองใหญ่ขายได้เยอะ
แต่พวกเขาก็คืนเงินไปเยอะเหมือนกัน
เช้าตรู่วันที่ห้า ซ่งฝูเซิงปรากฏตัวที่นอกประตูเมือง ในขณะเดียวกันต้าเต๋อจื่ออยู่ข้างในเมืองเฟิ่งเทียน ทั้งสองคนถูกกั้นด้วยประตูเมืองที่แน่นหนา ทั้งๆ ที่ทั้งสองคนไม่ได้อยู่ห่างกันเยอะ
แต่ต้าเต๋อจื่อถูกเจ้าหน้าที่ไล่ไป ซ่งฝูเซิงก็ถูกเจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเมืองปฏิเสธ
ซ่งฝูเซิงพูดว่า “ขอข้าเอาเงินเข้าไปส่งข้างในก็ยังดีนะ”
ไม่ได้
วันที่ห้ามีลูกค้ารายใหญ่มาขอเงินค่าขนมเค้กวันเกิดคืน ตอนนั้นที่ขายได้ดีใจแค่ไหน เวลานี้เป่าจูก็กลุ้มใจมากเท่านั้น
ทันใดนั้นเถ้าแก่ฉีที่อยู่ร้านหนังสือข้างๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นในร้าน ช่วยคืนเงินให้ลูกค้าร้านขนมท่ามกลางสายตาตกใจของเป่าจู