ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 422 เชื่อความดวงดีของพวกเจ้าแล้ว
เถ้าแก่ฉีก็ไม่มีข่าวคราวใดๆ จากจวนผู้สำเร็จราชการ
เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น จวนของขุนนางใหญ่ขั้นสามขึ้นไปก็ต้องห้ามชาวบ้านเข้าใกล้อย่างแน่นอน
ทำได้เพียงคาดเดาจากรถม้าที่เข้าออก ผ้าบนรถถูกเปลี่ยนเป็นสีเรียบทั้งหมด น่าจะเข้าวังหลวงกันหมดทุกคนทุกวัน
เข้าวังหลวงกันหมดทุกคน แค่คิดก็รู้แล้วว่าจวนผู้สำเร็จราชการยุ่งกันขนาดไหน
ส่วนเรื่องที่เถ้าแก่ฉีมาปรากฏตัวในร้านขนมได้ก็มีอยู่สองสาเหตุ
สาเหตุแรก นี่เป็นร้านของคุณหนูสาม เขารู้อยู่แล้ว จะทนดูอยู่เฉยๆ ไม่ได้
สาเหตุที่สอง คุณชายเคยทำงานที่นี่ เคยขนย้ายอิฐ เอาแค่พฤติกรรมนี้ก็ชวนคิดไปไกลแล้ว
เดิมทีถ้ามองจากด้านนอกร้านหนังสือคือปิดอยู่
หลังจากเกิดเรื่อง เถ้าแก่ฉีก็บอกทุกคนว่าถ้าจะออกไปไหนให้ใช้ประตูหลัง
อีกทั้งภายในร้านก็วุ่นอยู่กับการจัดชั้นหนังสือใหม่
เก็บหนังสือที่ใช้สำหรับสอบออก เพื่อให้มีที่ว่างตรงตำแหน่งที่เห็นได้ชัด จากนั้นก็เอาหนังสือของนักปรัชญาตามยุคสมัยไปวางแทน
ผลงานประพันธ์ของนักปรัชญาเหล่านี้มีจุดที่เหมือนกัน สุดท้ายได้วิเคราะห์ความคิดออกมาเหมือนกันในหนังสือของตัวเอง นั่นก็คือ ราชวงศ์ต้องรวมเป็นหนึ่ง มีบ้านเมืองถึงมีครอบครัว ยามใดที่ภัยคุกคาม บ้านเมืองก็ยิ่งต้องฝ่าฟันไปด้วยกัน
วันนี้ถึงได้ตั้งใจมาปรากฏตัวในร้านขนมโดยเฉพาะ
เพราะเถ้าแก่ฉีรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเด็กสองคนนี้ที่อยู่ร้านข้างๆ จะรับมือไม่ไหวแล้ว
อันที่จริงมาคิดดูก็โทษลูกค้าที่มาขอคืนเงินไม่ได้
ส่วนใหญ่คนที่จะมาสั่งจองขนมร้านท่านย่าหม่าได้ ฐานะค่อนข้างดี
อีกทั้งลูกค้าส่วนใหญ่ก็ไม่ได้คิดจะเล่นตุกติก
ต่อให้ขนมเค้กที่จองไว้เอาจะไปมอบเป็นของขวัญหรือรับรองแขกไม่ได้อีกแล้ว ถ้าเช่นนั้นก็ว่าไปตามท้องเรื่อง ถึงวันรับก็ควรมาเอาของ แบบนั้นก็ต้องมีของให้หรือเปล่า
พอไม่มีให้ จะโทษที่พวกเขามาขอเงินคืนไม่ได้ ไม่มีของให้จะไม่คืนเงินก็คงไม่ได้
บอกให้พวกเขารอ เถ้าแก่เข้าเมืองไม่ได้ ทางนี้ก็ไม่มีสมุดบัญชี
เหตุผลจะมากแค่ไหน แต่ก็ไม่ใช่ธุระที่ลูกค้าจะต้องรอ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรแบบนี้
ไม่ใช่ธุระที่ลูกค้าจะต้องมาอีกรอบเพื่อขอคืนเงินมัดจำสองตำลึงในสถานการณ์ที่ตึงเครียดเดินเพ่นพ่านบนถนนไม่ได้แบบนี้
ดังนั้นภายใต้สถานกาณ์เช่นนี้ เรายอมเสียเปรียบดีกว่าเกิดความวุ่นวาย อย่ามัวแต่มานั่งเถียงกัน
เถ้าแก่พูดกับเป่าจูแบบนี้
ในสายตาของเขา ตอนนี้จะปล่อยให้เกิดเรื่องที่ส่งผลต่อชื่อเสียงสกุล ‘ลู่’ ไม่ได้
สถานการณ์ตอนนี้เป็นไงน่ะเหรอ จะปล่อยให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งเพราะเงินสองตำลึงได้ยังไง ที่นี่คือเมืองเฟิ่งเทียนเชียวนะ
เถ้าแก่ฉียังได้ถามเป่าจูอีกว่า คนที่สั่งเยอะ สั่งของแพง มีอีกหลายคนที่ยังไม่มาใช่หรือเปล่า
เป่าจูบอกใช่ มีคนสั่งขนมเค้กกลมก้อนใหญ่ที่ราคาแพงมาก ดูเหมือนวันนี้วันที่ห้าคือวันกำหนดรับ แต่กลับยังไม่มาเอา และก็ไม่ได้มาขอเงินคืน
เถ้าแก่ฉีพยักหน้า รู้เหตุผล คงไม่มีเวลาสนใจ
ยิ่งเป็นตระกูลที่ตำแหน่งสูง เวลานี้ก็ยิ่งไม่มีเวลาสนใจเรื่องเล็กน้อย ไม่มาเอาก็คือไม่ต้องการแล้ว เรื่องเงินนึกขึ้นได้เมื่อไรก็อาจให้คนวิ่งมาเอา แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นวันไหนแล้ว
แต่เพื่อความรอบคอบ ไม่เพียงแต่เถ้าแก่ฉีจะทิ้งเศษเงินที่รวมแล้วยี่สิบตำลึงให้เป่าจู ยังบอกอีกว่า ถ้ามีลูกค้าที่ต้องคืนเงินให้จำนวนมากก็ไปเรียกเขาที่ข้างร้าน เขาจัดการให้
หลังจากเถ้าแก่ฉีกลับไป
เด็กโตทั้งสองที่รู้สึกสงสัยก็สนทนากันดังนี้
“พี่ว่า ทำไมเขาต้องช่วยเราด้วย”
ต้าเต๋อจื่อครุ่นคิดอยู่สักพัก “อาจอยากใช้โอกาสนี้ผูกมิตรกับสกุลลู่หรือเปล่า หรือเขาจะรู้ว่าเบื้องหลังพวกเรามีจวนลู่กับจวนฉี ก็ไม่รู้ว่านายที่อยู่เบื้องหลังของเขาเป็นจวนไหน”
เมื่อเป็นแบบนี้ก็ไม่ต้องสนแล้วว่าจะวันที่ห้าหรือสิบห้า ในที่สุดเป่าจูกับต้าเต๋อจื่อก็ไม่ต้องกระวนกระวายแล้ว
มาขอคืนเงินเหรอ เอาสิ เงินไม่พอก็ไปหาเถ้าแก่ฉี
แต่เรื่องที่กล่าวมานี้ ทุกคนในหมู่บ้านเหรินจยาไม่มีใครรู้
ท่านย่าหม่ากับซ่งฝูเซิงกลุ้มใจเหลือเกิน
ช่วงหลายวันมานี้ท่านย่าหม่านอนฝัน ก็ยังฝันถึงการตะเกียกตะกายประตูเมือง จะเข้าไปข้างใน
ซ่งฝูเซิงกลับรู้สึกกังวลเรื่องร้านขนมเค้กไม่มาก
คนไม่อยู่ ล็อคประตูไว้ แล้วจะยังไงได้ ใครจะกล้าพังร้าน เห็นพวกมือปราบตายกันหมดแล้วหรือไง
ก่อความวุ่นวายในเวลาแบบนี้มีแต่จะรนหาที่ตาย คนที่ซื้อขนมเค้กได้ก็แสดงว่าเป็นคนที่หาเงินเป็น ต่อให้ร้อนใจกลัวเสียเงินเปล่าแค่ไหน ก็ยังต้องมีสมองหลงเหลืออยู่บ้าง คงไม่ถึงกับเงินแค่เล็กน้อย อย่างมากก็หนึ่งตำลึงสองตำลึง จะต้องมาปล้นมาพังร้านกัน
เรื่องที่เขากลุ้มใจกว่าก็คือ เข้าเมืองไม่ได้ก็ไม่รู้จะไปหาซื้ออาหารที่ไหน
ปัญหาของชนบทก็คือแบบนี้ แต่ละครอบครัวเก็บเกี่ยวตอนฤดูใบไม้ร่วง หักค่าส่วย เก็บไว้ให้พอคนในครอบครัวกิน บางบ้านเหลือไม่พอกินด้วยซ้ำ อยากแลกเป็นเงินก็ต้องเอาไปขายให้ร้านอาหารแห้งทั้งหมด เว้นเสียแต่จะเป็นครอบครัวที่ร่ำรวย
ซ่งฝูเซิงเข้าบ้าน ถอดหมวกฝ้ายออก สะบัดหิมะที่อยู่บนนั้นแล้วถอนหายใจนั่งลงบนขอบเตียง
เมื่อครู่เขาออกไปสืบข่าว วันนี้หัวหน้าตระกูลเริ่นไปบ้านเศรษฐีที่ดินใหญ่ที่อยู่หมู่บ้านข้างๆ ก็ยังหาซื้ออาหารแห้งไม่ได้เหมือนกัน
เฉียนเพ่ยอิงกลับมาจากโรงเพาะปลูกพริกเพื่อมาเติมฟืนเตียงอุ่นโดยเฉพาะ นางชะโงกหน้าเข้ามา “ออกไปเดินมาหนึ่งรอบได้ข่าวอะไรบ้าง”
ซ่งฝูเซิงไม่ตอบ ถามกลับ “ฝูหลิงล่ะ”
“อยู่ห้องทำขนม…
…ลูกเจ้าน่ะ เวลาคนอื่นยุ่ง ตัวเองว่าง…
…แต่เวลาคนอื่นว่าง ตัวเองกลับยุ่งเสียเหลือเกิน…
…เห็นว่าทำเต้าหู้นมอะไรสักอย่างกับพวกคนทำขนมและก็พวกเด็กๆ…
…นมที่รีดมาได้แต่ละวัน ลูกเราไม่ปล่อยให้เสียเปล่าเลยสักนิด…
…หากใช้คำพูดของหมี่โซ่วก็คือ ‘พี่สาวกำลังทำอิฐนม’ ในสถานการณ์ที่ไม่ดีแบบนี้ เขากินสองก้อนก็อิ่มท้องแล้ว อิฐนมอยู่ท้องดี”
“เด็กคนนี้นี่” ซ่งฝูเซิงไม่ได้ยิ้มมาหลายวันแล้ว ในที่สุดก็ยิ้มออก
ตอนนี้พวกเด็กๆ ในบ้านต่างรู้ว่าครอบครัวขาดแคลนอาหาร เหลือกินถึงแค่เดือนสามที่ยังไม่ถึงเวลาเก็บเกี่ยว ต้องกินน้อยหน่อย ถ้าไม่อย่างนั้นหากหาซื้ออาหารแห้งไม่ได้ คงต้องออกไปขอข้าวกินแล้ว
ต้องพูดเลยว่า แม้แต่เด็กที่เคยอพยพลี้ภัยยังตระหนักรู้ได้มากกว่าคนทั่วไป
“พรุ่งนี้ข้าจะพาฝูหลิงกับหมี่โซ่วไปด้วย เจ้าหาเสื้อผ้าหนาๆ ให้พวกเขาสองคนหน่อย”
“หา?” เฉียนเพ่ยอิงถือกระบองเขี่ยฟืนเข้ามาในบ้าน สีหน้าตกใจสุดขีด “เจ้าจะพาพวกเขาสองคนไปทำไม”
“เข้าเมืองไง”
“ขนาดเจ้ายังเข้าไม่ได้ จะพาพวกเขาสองคนไปทำไม”
“เกิดพาพวกเขาสองคนไปแล้วเข้าได้ล่ะ”
เฉียนเพ่ยอิงถึงได้เข้าใจ กลอกตามองบน กดดันจนเริ่มเชื่อเรื่องดวงแล้วล่ะสิ เชื่อเรื่องที่เด็กสองคนนี้นำโชคสินะ
“ไม่ได้ ทางที่จะไปหนาวขนาดนั้น แล้วพวกเจ้าต้องต่อแถวถึงเมื่อไหร่ ช่วงสองสามวันนี้ข้างนอกหนาวจะตาย”
ซ่งฝูเซิงเอาสองมือถูหน้า
“อย่ามาไม่ได้น่า เพ่ยอิง เจ้าเดาดูสิวันนี้ตอนเข้าเมืองข้าเห็นอะไร ดูเหมือนจะเป็นรถขนเสบียง…
…ทหารยังไม่เคลื่อนพลแต่เสบียงมาก่อนแล้ว วันที่ห้าเองนะ เสบียงมาถึงแล้ว ถ้ายังเข้าเมืองไม่ได้อีก อาหารคงได้ถูกส่งไปที่แนวหน้าหมด…
…อีกอย่าง ต่อไปจะต้องมีการควบคุมอาหารเข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ แน่ เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเวลาทำสงครามแต่ละครั้งมันใช้เวลากี่ปี ไม่ใช่การโจมตีทางอากาศเสียหน่อยที่แค่ไปทิ้งระเบิดแล้วกลับ พวกเราต้องกักตุนอาหารไว้ ยิ่งมากยิ่งดี…
เงินทั้งหมดไม่ต้องแบ่งแล้วว่าของเจ้าหรือของข้า ทั้งหมดต้องเอาไว้ประทังปากท้องในวันข้างหน้า”
เฉียนเพ่ยอิงน้ำเสียงอ่อนลง ถอนหายใจเหมือนกัน “งั้นเจ้าก็พาฝูหลิงไปเถอะ ลูกโตแล้ว ทนหนาวได้ หมี่โซ่วเด็กเกินไป อย่าเอาเขาไปเลย เดี๋ยวจะไม่สบาย”
ซ่งฝูเซิงลงจากเตียง จะไปคุยกับลูกสาวและหมี่โซ่ว
คิดในใจ ต้องเอาหมี่โซ่วไปด้วย เอาผ้าห่มห่อให้หนาๆ
แค่ลูกสาวเขาคนเดียว เขากลัวไม่ได้ผล บวกหมี่โซ่วไปอีกคน แบบนั้นเรียกรวมพลังคูณสอง
อีกอย่าง พรุ่งนี้ต้องเปลี่ยนแผน เขาจะไปเส้นทางเมืองเฟิ่งเทียนไม่ได้อีก
ไปที่นั่นทุกวัน ทหารเฝ้าประตูเมืองจำเขาได้หมดแล้ว ยังไม่ทันอ้าปากก็ไล่
พาเด็กสองคนไปด้วย งั้นก็ต้องไปที่ใกล้ๆ ทดสอบดวงของเด็กสองคนนี้ที่เมืองถงเหยาแล้วกัน
เช้าตรู่ ซ่งฝูหลิงห่อตัวเองแน่นหนาแล้วขึ้นไปนั่งบนเกวียน
หมี่โซ่วนอนอยู่ในถุงนอนที่ท่านป้าเย็บให้แบบสะเปะสะปะ ถูกลุงแบกขึ้นเกวียน
ต่อให้ออกเช้าแค่ไหน แต่เมื่อไปถึงประตูเมืองถงเหยาก็เจอแถวยาวเหยียดแล้ว
พวกเจ้าหน้าที่เองก็ลำบาก เจ้าหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานทราบข่าวตอนอยู่บ้านเกิด เดิมทีมีการแบ่งหน้าที่ครึ่งหน้าครึ่งหลัง แต่คราวนี้ต่างรีบกลับมากันหมด
ขึ้นปีใหม่ได้น่ากลุ้มใจ กลัวว่าถ้าไม่รีบกลับมาเดี๋ยวได้ถูกถอดหมวกขุนนาง ปรากฏว่าพอมาถึงประตูเมือง จะกลับบ้านยังต้องต่อแถว
หมี่โซ่วหลับตลอดทาง นอนอยู่ในอ้อมกอดของท่านย่าหม่ากับท่านยายกัว ถูกต้อง ท่านย่าหม่าก็เปลี่ยนเส้นทางเช่นกัน เกวียนโขยกเขยกพอถึงปลายทางก็ตื่น
ตื่นแล้วก็ไม่อยากนั่งตักท่านย่าหม่า จะไปแหวกม่านดูกับพี่สาวให้ได้
ซ่งฝูเซิงได้ยินเด็กสองคนพูดขึ้น “เอ๊ะ นั่นคนรู้จักนี่”
ใคร
ช่วงหลายวันมานี้ฉีหมิงไม่ได้ออกนอกเมือง วันนี้พาลูกน้องคุมตัวบุคคลต้องสงสัยของเมืองถงเหยาถึงออกมาได้
ตอนซ่งฝูเซิงบังคับเกวียนเข้าเมืองถงเหยา
เขาหันไปพูดกับลูกสาว “พรุ่งนี้พวกเจ้าสองคนนั่งเกวียนไปที่อื่นด้วยนะ”