ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 426 ทำเหมือนรวย
คิดเงินของทางด้านหอนางโลม จ่ายไปหนึ่งร้อยสามสิบเจ็ดตำลึง
ของที่ไม่ครบจิน ท่านย่าหม่าก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับแม่เล้า ส่วนใหญ่จะปัดเศษขึ้นให้
คิดเงินให้เต็มจำนวน
อย่างเช่น เกลือไม่ครบร้อยจิน ขาดอยู่นิดหน่อย นางก็คิดให้ร้อยจิน
ไข่ไก่ไม่ครบพัน นับกันอย่างคราวๆ ในนั้นมีที่แตกแล้วด้วย โดยรวมก็ขาดอยู่ไม่กี่ฟอง ท่านย่าหม่าก็ให้ไปหนึ่งตำลึง
ผักที่อยู่ในห้องเก็บของใต้ดินยิ่งแล้วใหญ่
บางช่วงแม่เล้าบอกให้ท่านย่าหม่าคิดให้ละเอียด แต่นางไม่มีเวลาคิด กว่าจะเอาผักออกมาจากห้องใต้ดินยังต้องใช้เวลาอีกสักพัก
แต่ไหนๆ ก็เป็นคนดีไปแล้ว
ท่านย่าหม่าปวดใจที่ทำตัวหน้าใหญ่
เวลาแบบนี้เป็นช่วงที่ต้องใช้เงิน ตัวเองกลับยังแสร้งเอาหน้า
แต่ปากกลับพูดอย่างเต็มปากเต็มคำ ตบมือของแม่เล้าเบาๆ
“ข้าพอมีเงิน ถึงจะให้เงินเจ้ามากเป็นพิเศษไม่ได้ กำลังทรัพย์ของข้ามีจำกัด แต่คิดไปเต็มๆ เพิ่มไปแค่นี้ ไม่ได้เดือดร้อนอะไร”
พอแม่เล้าเห็นท่านย่าหม่าเป็นแบบนี้
“ไหน้ำมัน ไหซีอิ๊ว พวกท่านเอาไปได้เลย ไม่ต้องคิดค่าไหหรอก ซีอิ๊วนั่นข้าก็ไม่เอาเงินหรอก ไม่อย่างนั้นพวกท่านจะเอาอะไรใส่…
…ถ้าพวกท่านขนโอ่งน้ำไปได้ ก็ทิ้งถังน้ำไว้สักสองสามใบให้พวกเราใช้ช่วงไม่กี่วันนี้ โอ่งข้าก็ไม่เอาแล้ว…
…ดูเอานะว่ามีอะไรพอใช้ได้บ้าง เอาไปได้หมด…
…จริงสิ เดี๋ยวข้าหาผ้าห่มที่ไม่ใช้แล้วให้พวกท่านเอาไปคลุมผัก เดี๋ยวระหว่างทางแข็งหมด”
“ถ้าผู้ดูแลหม่ากลับมาจะต่อว่าเจ้าหรือเปล่า”
“ท่านถึงต้องรีบหน่อยไงล่ะ”
“อ้อๆ”
ท่านย่าหม่ากระซิบกำชับซ่งฝูเซิงกับต้าหลังว่า ให้เอาพวกข้าวสาร แป้ง หมู น้ำมันที่มีค่าขนไปไว้หน้าประตูก่อน เอาเป็นว่าของที่มีค่าก็ขนไปกองไว้ที่ประตูก่อน จากนั้นค่อยลงไปขนผักที่ห้องใต้ดิน ตัดสินใจกันเอาเอง นางจะกลับไปเรียกคน
ไอ๊หยา เจ้าพวกที่เดินมั่วอยู่ข้างนอกรีบกลับกันมาสักที
นอกจากนี้ ท่านย่าหม่าสะพายเข่งไข่ สองมือก็หิ้วไข่ไก่ ตอนที่รีบร้อนออกประตูหลังก็หันไปกำชับอีก “ทำอะไรก็เบาๆ หน่อย อย่าให้คนอื่นตกใจ”
ข้อแรกอย่าให้คนที่เดินอยู่ข้างนอกตกใจ
ข้อสองอย่าให้พวกสาวๆ ที่อยู่ในหอตกใจ
คาดว่าพวกสาวๆ ที่อยู่ในหอนางโลมคงไม่เพียงแต่จะเก็บของกันอยู่ น่าจะยังต้องรีบทำเสื้อกันหนาวไว้ใส่เองระหว่างทางด้วย ปกติพวกนางไม่จำเป็นต้องใส่เสื้อกันหนาวตัวหนาๆ แทบอยากจะใส่น้อยชิ้นให้มากที่สุดเสียด้วยซ้ำ
…
หลายปีหลังจากนี้ ถ้ามีคนชวนหมี่โซ่วไปเที่ยวหอนางโลม
หมี่โซ่วคงส่ายหน้าอย่างไม่กล้าให้ความสนใจแม้แต่น้อย เที่ยวอะไรล่ะ ตอนข้าไปเที่ยวหอนางโลมพวกเจ้ายังนุ่งผ้าอ้อมพูดจาอ้อแอ้กันอยู่เลย
เวลานี้หมี่โซ่วกำลังอุ้มฟักทองผลใหญ่เดินทุลักทุเลขนไปที่ประตู
เล่นเอาเขาเหนื่อยมาก ขาน้อยๆ ขยับช้าๆ พยายามช่วยอุ้มไปให้ถึงประตู
พี่สาวของเขาพูดว่า ของกินพวกนี้ช่วยให้ทุกคนอยู่รอดไปถึงเข้าฤดูใบไม้ผลิ ขอเพียงแต่ขนกลับบ้านได้อย่างราบรื่น นี่เป็นปริมาณสำหรับสองเดือนครึ่ง
ซ่งฝูเซิงกับต้าหลังกำลังแบกกระสอบข้าวจากห้องเก็บของไปยังประตูหลังทีละกระสอบ เดินไม่กี่ก้าวก็นำหมี่โซ่วที่เดินเซเป็นวงกลม
ส่วนซ่งฝูหลิงอยู่ในห้องเก็บของใต้ดิน กำลังยัดผักกาดขาวใส่กระสอบใส่เข่ง
พอท่านย่าหม่าเรียกคนมาก็จะได้ลากไปทีละกระสอบ ใส่ไว้ล่วงหน้า มีกันตั้งหลายคน ไปกลับสิบกว่ารอบก็ขนหมดห้องใต้ดินแล้ว
ซ่งฝูหลิงที่ขี้เกียจมาตลอด นับตั้งแต่ลงไปในห้องเก็บของใต้ดินก็ก้มหน้าก้มตาทำงานตลอด ขนของไม่ได้หยุด จับใส่กระสอบอย่างต่อเนื่อง ภายในห้องใต้ดินที่ขุดลงไปลึกเต็มไปด้วยเสียงหายใจหอบของนาง
ในขณะเดียวกันทางด้านท่านย่าหม่าก็ราบรื่นพอสมควร
ท่านยายกัวเพิ่งช่วยนางเอาเข่งลงจากหลัง พวกเกาถูฮูกับเกาเถี่ยโถวก็จูงเกวียนกลับมากันแล้ว
พอเข้าร้านก็บอกว่า “ไม่มีเลย ข้างนอกไม่มีร้านอาหารเปิดเลย”
ท่านย่าหม่าพูดว่า “รีบตามข้ามา ซื้อได้แล้ว พวกเรากินได้สองเดือนกว่าเลยล่ะ”
เกาถูฮูรีบขนของลงจากเกวียนให้เหลือแค่ม้วนเชือกป่านขนาดใหญ่ที่เอาไว้มัดของ พอพวกเขาออกมา กลุ่มของกัวคนโตกับเด็กผู้ชายคนอื่นๆ ก็วกกลับมากันพอดีเพราะทนความหนาวไม่ไหว
ทั้งหมดพากันไปที่หอนางโลมทันที
ท่านยายกัวที่อยู่ในร้านก็ไม่ได้อยู่ว่าง เก็บข้าวของตรงจุดที่ไม่สะดุดตา พอพวกเขาขนอาหารมาก็จะได้มีที่วาง
ระหว่างทาง ท่านย่าหม่ากำชับทุกคนหลายเรื่อง
เป็นต้นว่า ต้องทำให้เร็ว ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวผู้ดูแลหม่ากลับมาต้องเสียเวลาพูดอีก
เป็นต้นว่า ระหว่างขน ไม่ว่าจะใช้เกวียนขนหรือว่าตัวเองแบกอยู่บนหลัง ถ้าถูกเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนถามว่าทำอะไรก็ไม่ต้องกลัว บอกไปว่าของร้านขนม
ร้านขนมจะไม่ใช้วัตถุดิบจำนวนมากได้เหรอ ใช่ไหมล่ะ ที่เก็บไว้ไม่พอใช้ ต้องมาหาเพิ่ม
เกาถูฮู “ถ้าถามว่าก่อนหน้านี้ไปตุนไว้ไหนล่ะ”
“บ้านฉีหมิง มือปราบฉี ไม่เชื่อไปถามเขาได้ ยังไงเสียฉีหมิงก็ไม่อยู่ ไอ๊หยา ไม่เป็นไรน่า ดูพวกเจ้ากลัวเข้าสิ ยังไม่ทันมีคนมาตรวจก็กลัวไปก่อนแล้ว คนที่ลาดตระเวนในเมืองเป็นลูกน้องของมือปราบฉีทั้งนั้น แล้วเจ้าจะให้พวกลูกน้องไปถามที่ไหน”
“งั้นถ้าเขาถามว่าบ้านมือปราบฉีอยู่ไหนล่ะ พวกเราจะทำยังไง”
“ข้ารู้ อยู่ซอยสี่ทางด้านขวา เลี้ยวเข้าไปหลังที่สาม ประตูเป็นบานเหล็กสีดำ เจ้าบอกไปเลยว่า พวกเรายังมีร้าน มีหนังสือรับรองติดตัว แล้วจะกลัวอะไร”
เกาถูฮูยอมแพ้ ตอนนั้นที่ฉีหมิงพูดเรื่องป้ายตอนอยู่ที่ประตูเมืองได้พูดต่อหน้าทุกคน ปรากฏว่าพวกเขาไม่ได้ใส่ใจ คิดว่ามีฝูเซิงอยู่ แต่ท่านย่าหม่าที่อยู่ข้างๆ กลับจำไว้ด้วย
พอคนพวกนี้ไปถึงก็ทำงานกันอย่างรวดเร็ว
ซ่งฝูเซิงคิดในใจ ถ้าพวกเจ้ายังไม่มากันอีก ข้าคงเอวเคล็ดไปแล้ว
ข้าวสารหนึ่งกระสอบร้อยจิน ขนจากห้องเก็บของไปที่ประตูหลัง แถมพื้นที่หลังบ้านยังกว้างใหญ่ แค่วิ่งไปกลับสิบกว่ารอบก็จะตายแล้ว กำลังกัดฟันทนอยู่
พอคิดว่าในห้องใต้ดินยังมีผักพวกนั้นอยู่ ไม่เพียงแต่ต้องแบกร้อยกว่าจิน ยังต้องปีนขึ้นลงบันไดอีก รู้สึกได้เลยว่าอีกสักพักคงมีขาอ่อนกลิ้งตกบันได
ราบรื่นมาก ราบรื่นเกินกว่าที่จินตนาการไว้
เอาผ้าห่มคลุมด้านบน เกวียนสองเล่มทยอยไปที่ร้าน คนที่ตามหลังเกวียนก็แบกกันไป ไม่เจอใครเป็นพิเศษ
อาจเพราะต้าหลังที่จูงเกวียนพาอ้อมหรือเปล่า
ตอนนั้นน้องสาวของเขามองซ้ายมองขวา เดินทะลุตรอกผ่านทางเดินแคบๆ ก็มาถึงนี่อย่างไม่รู้ตัว ต้าหลังท่องจำมาแค่เส้นทางนี้ ก่อนหน้านี้ก็เกือบหลงทาง
เส้นทางที่สะดุดตาเป็นถนนเล็กๆ ใกล้ถึงร้านแล้ว ไม่เจอใครมาสอบถามอะไร
เมื่อเอาโอ่งขึ้นมัดบนเกวียนเสร็จ พวกท่านย่าหม่าก็ตามออกมาด้วย นี่เป็นรอบสุดท้ายแล้ว
แต่ละคนแบกของบนหลัง ข้างหน้าก็อุ้มของ
ท่านย่าหม่าแบกน้ำตาลไม่ถึงห้าสิบจิน ข้างหน้ากอดของที่แม่เล้าให้นางเอาไปอำเภออวิ๋นจง
ถุงหอมหนึ่งใบกับใบชากล่องใหญ่ ฝากเอาไปให้แม่เล้าที่อำเภออวิ๋นจง นางบอกว่านั่นคนสนิทของนางเอง ไปหาได้ ฝากเอาถุงหอมกับใบชาไปให้ด้วย
ท่านย่าหม่าพูดกับแม่เล้าว่า “อีกหนึ่งปีข้าจะมาหาเจ้าแน่นอน พวกเราต้องได้เจอกันอีกนะ”
“จ้ะ”
ประตูหลังของหอนางโลมปิดลง
เวลานี้ ท่านย่าหม่ากับพวกซ่งฝูหลิงไม่รู้ว่า นับจากนี้ไปในชีวิตจะไม่มีคนเหล่านี้อีกแล้ว
แม่เล้าไม่ได้กลับบ้านเกิด นางถูกผู้ดูแลหม่าจัดการระหว่างทางและเอาไปฝัง เงินที่หามาได้รวมถึงร้อยสามสิบเจ็ดตำลึงที่ขายอาหารก็เข้ากระเป๋าผู้ดูแลหม่า
ส่วนสองสาวชุ่ยหลิ่วกับฝูหรงที่เคยออดอ้อนพวกผู้ชายขอซื้อขนมเค้กวันเกิดแข่งกัน ชะตากรรมของพวกนางพลิกผันยิ่งกว่า
เจ้านายไม่มีทางหาบ้านให้พวกนางอยู่แล้วเลี้ยงไว้เฉยๆ ตลอดหนึ่งปีหรืออาจนานกว่านั้น ในสายตาของเจ้านายที่เปิดหอนางโลมสิบกว่าแห่ง คิดว่าเป็นเรื่องที่สิ้นเปลือง ต้องคอยหาคนมาดูแลรับใช้แถมไม่ทำเงินให้อีก เลี้ยงไว้ก็เสียเปล่า
ไม่สู้ส่งไปในค่ายทหาร ไปพึ่งพวกทหารที่ไม่รู้ว่าชะตากรรมจะเป็นอย่างไร แถมยังพอได้หน้า นี่ก็ถือเป็นการสร้างคุณูปการ
ถ้ามีคนถาม “พอสถานการณ์สงบลง หอนางโลมต้องการสาวๆ ไม่เอาสาวๆ พวกนี้แล้วเหรอ จำเป็นต้องใช้แม่เล้าที่มีประสบการณ์ไม่ใช่เหรอ”
เจ้านายคงยิ้มตอบ “บนโลกนี้อย่าว่าแต่แม่เล้าเลย ผู้หญิงมีถมเถไป อยากเปิดอีกครั้งยังไงก็มีที่สดใหม่กว่า”