ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 427 ตกใจหมดเลย
“พวกเจ้าสองคนอยู่ที่นี่ได้หรือเปล่า” ท่านย่าหม่าถามเกาถูฮูกับท่านยายกัว
วันนี้ขนพวกอาหารแห้งออกไปไม่ได้แน่นอน
ตรงประตูเมืองปล่อยชาวบ้านเข้าออกน้อยมาก ขนอาหารแห้งยิ่งเป็นที่สะดุดตา
ถึงแม้พวกเราจะทำอย่างถูกต้อง ซื้ออาหารมาตามปกติ ไม่ได้ไปลักขโมยมา
แต่ใครจะรู้ว่าทหารที่เฝ้าประตูเมืองอยู่ๆ จะเป็นบ้าขึ้นมาหรือเปล่า
เกิดยัดเยียดข้อหา บอกว่าพวกเราขนย้ายเสบียงในสถานการณ์คับขันว่าไปนั่นว่าไปนี่ จะทำอย่างไรล่ะ
พูดตามตรง แม้แต่จะให้เดา พวกเราก็ยังเดาไม่ออกว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน พวกเขาตามไม่ทันหรอก มันหาเรื่องกันได้ทุกวัน
ภายในเมืองถงเหยา ฉีหมิงไม่อยู่ ซ่งฝูเซิงรู้จักผู้ช่วยนายอำเภอ แต่ก็แค่นั้นแหละ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริง พลั้งปากพูดผิด เดี๋ยวได้เป็นเรื่องใหญ่ อีกอย่าง ตอนนี้ก็ใช่ว่าไม่มีจะกินแล้ว
เอาเป็นว่า หลังจากคำนึงถึงหลายๆ ด้าน ซ่งฝูเซิงกับท่านย่าหม่าก็เห็นพ้องต้องกันว่า อาหารที่สำคัญเก็บไว้ที่ร้านก่อน
และก็เพราะคำนึงว่าพรุ่งนี้ไม่รู้จะเข้าเมืองได้อีกหรือเปล่า ประเด็นคือพรุ่งนี้พั่งยากับหมี่โซ่วไม่ตามด้วยแล้ว ต้องพาสองคนนี้ไปเสี่ยงดวงที่ประตูเมืองอำเภออวิ๋นจง ที่นั่นยิ่งจำเป็นต้องพึ่งดวงของสองคนนี้เข้าไปใหญ่ ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินใจให้ท่านยายกัวกับเกาถูฮูอยู่ที่นี่
ด้านหนึ่งก็เพื่อทยอยคืนเงินมัดจำขนมเค้ก อีกด้านหนึ่งก็เพื่อเฝ้าอาหารแห้งไว้
สมมติว่านับแต่พรุ่งนี้ไป คนที่อยู่ข้างนอกเข้าเมืองไม่ได้แล้ว ถ้าอย่างนั้นก่อนวันที่สิบหกทุกคนก็จะไม่ได้เจอท่านยายกัวกับเกาถูฮู สองคนนี้ต้องอยู่ที่นี่ตลอด
จนกว่าจะเลิกปิดเมืองแล้วค่อยว่ากัน
“มีกินมีดื่ม ใช้หม้อเล็กหุงข้าวได้ อย่าเสียดายของ”
ท่านยายกัวกับเกาถูฮูหันมองท่ทานย่าหม่าพร้อมกัน พวกข้าสองคนไม่ได้โง่นะ
ซ่งฝูเซิงที่อยู่ข้างๆ ก็กำชับ “อาเกา ช่วงกลางวันก็ออกไปสืบหน่อย ถ้าร้านขายอาหารแห้งเปิดก็ไปแย่งซื้อมา จะข้าวขัดสีไม่ขัดสีก็ได้ทั้งนั้น แพงเท่าไรก็ซื้อ”
เกาถูฮูตบเงินที่เอวที่ซ่งฝูเซิงให้มา “รู้แล้ว วางใจได้”
ตอนนี้ท่านย่าหม่าก็ยังจู้จี้ไม่เลิก “พวกเจ้าสองคนจะอยู่ยังไง”
“ยังไงพวกข้าก็ไม่นอนด้วยกันหรอกน่า”
ท่านย่าหม่าถลึงตาใส่ “เจ้านี่ก็คิดไปไกล พูดจาไม่อยู่กับร่องกับรอย ข้าหมายความแบบนั้นเหรอ ไม่มีเตียงเตา ไม่มีเตียง ไม่มีไม้กระดาน คืนนี้พวกเจ้าจะนอนกันยังไง ที่ข้าเป็นห่วงคือเรื่องนี้”
ท่านยายกัวขมวดคิ้ว “พวกข้าสองคนนอนบนกระสอบแป้งก็ได้ ยังไงก็ดีกว่าตอนลี้ภัยที่นอนกลางแจ้ง เจ้าอย่าเป็นห่วงไปเลย”
ไม่เป็นห่วงได้เหรอ
เข้าเมืองยากจะตาย รู้สึกว่าออกไปครั้งนี้อาจไม่ได้เจอกันหลายวัน
“ถ้าเกิดเหตุล่ะ”
เกาถูฮูบอกว่า “ไม่ต้องกังวล ข้าเป็นลูกผู้ชายพอ มีอะไรก็ล้มข้าให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน”
ท่านยายกัวเบียดเขากระเด็นไปด้านข้าง พวกชายแก่ไม่มีประโยชน์ บทจะล้มก็ล้มเอาเสียดื้อๆ “ข้ามีมีด”
ก่อนหน้านี้ท่านย่าหม่าเตรียมมีดด้ามใหญ่ไว้ให้พวกยายๆ มีดใหญ่ที่ใช้หั่นขนมเค้กก็ได้ เอาไว้ป้องกันตัวก็ได้ ถูกท่านยายกัวชักออกมา
“ท่านย่า ท่านพ่อ ทำอะไรกัน”
ในสถานการณ์ปกติ ซ่งพั่งยาจะเอื่อยเฉื่อยไม่รีบร้อน แต่เวลานี้ พอได้ยินคุยกันแบบนี้ก็เริ่มโมโหขึ้นมาทันที
ซ่งฝูหลิงจะไม่ร้อนใจยังไงไหว
ถ้ายังจู้จี้กันไม่เลิก วัวลากเกวียนคงไม่ทำงานกันแล้ว
มันเริ่มพ่นไอร้อน พวกมันต่างหากที่โมโหกันจริงๆ แล้ว
เหนื่อยจะตายแล้ว จะไปหรือไม่ไป
บนเกวียนที่อยู่ด้านหลังของพวกมันมีผักกาดขาว หัวไชเท้าเน่าๆ รวมถึงอย่างอื่นที่เละเทะ วางปะปนกันไป พูดแบบนี้แล้วกัน ขนาดพวกเจ้าที่ตัวสูงขนาดนั้น ลากทียังต้องโค้งตัวลง ของที่อยู่บนเกวียนกองสูงจนโคลงเคลงก็พอเดาได้ว่าพวกมันต้องแบกรับน้ำหนักกันเท่าไหร่
ถ้ายังไม่ไปกันอีก ขาจะหมดแรงแล้วนะ
ผ่านสะพานของเมืองถงเหยา พวกซ่งฝูเซิงแบกเข่งที่หนักอึ้ง ทั้งยังต้องออกแรงเข็นเกวียนตรงจุดที่ไปไม่ไหว
หารือกันหน่อย “เจ้าอดทนให้ถึงประตูเมืองได้หรือเปล่า อดทนหน่อยนะ”
ได้ไม่ได้ก็ต้องได้ ก็เล่นหวดกันนี่ เอาแส้หวด มันเจ็บ
อันที่จริงทุกคนเห็นใจเจ้าวัวมากแล้ว อะไรที่เอามาแบกได้ก็แบก แต่ละคนมีของอยู่บนตัวร้อยสองร้อยจิน ไม่มีใครนั่งบนเกวียนแม้แต่คนเดียว แน่นอนว่าก็เพราะไม่มีที่ให้นั่งด้วย
แม้แต่ซ่งฝูหลิงก็ยังกัดฟันลากแคร่เปล่าขนาดใหญ่หกอัน ไม้กระดานเบอร์ใหญ่มัดรวมกันก็หนักพอสมควร
ก่อนหน้านี้ พวกเขาเอาแคร่เลื่อนไว้บนเกวียน ไม่อย่างนั้นตอนนั้นหมี่โซ่วคงไม่ต้องนอนบนตักท่านย่าหม่า
เวลานี้หมี่โซ่วก็สะพายกระเป๋าผ้าขนาดใหญ่ บนผ้าปิดปาก บนขนตาเต็มไปด้วยเกล็ดน้ำแข็ง ร่างน้อยๆ แบกของเดินไปข้างหน้า ของที่แบกอยู่เป็นรองเท้าลื่นของพวกท่านลุง
“หมี่โซ่ว หนาวหรือเปล่า” ซ่งฝูเซิงถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่หนาว พี่สาวหนาวหรือเปล่า” ตัวแค่นี้ไม่รู้ว่าซึมซับอิทธิพลจากใครมาหรือเปล่า คิดว่าตัวเองเป็นลูกผู้ชาย ลูกผู้ชายต้องเข้มแข็ง อีกทั้งต้องเอาใจใส่พี่สาวกับผู้หญิงมากกว่า
“พี่สาว เดี๋ยวข้าช่วยเข็นข้างหลัง” หมี่โซ่วช่วยเข็นด้วยพลังฟันน้ำนม “ย้าก!”
ณ ประตูเมือง
ทุกคนต่างท่องในใจ พวกเราไม่สะดุดตา พวกเราไม่สะดุดตา ต้องทำเป็นเดินผ่านไปเนียนๆ
“หยุดก่อน” พวกเจ้าไม่สะดุดตาแล้วใครสะดุดตา ไม่กองกระสอบให้สูงเท่าประตูเมืองไปเลยล่ะ
ซ่งฝูเซิงรีบเดินเข้าไปถามว่ายังพอจำเขาได้ไหม มาแต่เช้าตรู่ ที่เจอฉีหมิง
“ขนอะไรกัน”
“ผัก หัวไชเท้า ผักกาดขาว สุ่มตรวจได้เลยขอรับ”
ซ่งฝูเซิงยังได้แต่งเรื่องต่อ ซื้อไว้นานแล้วแต่เอาไว้ที่ร้าน ทำไมทิ้งไว้ในร้านน่ะเหรอ เมื่อก่อนปีใหม่มาเปิดแผงขายของ เคยเปิดแผงขายของกินในเมืองถงเหยา ก็เลยตุนของไว้ในร้านเยอะ ช่วงหลายวันมานี้เข้าเมืองไม่ได้ วันหน้าก็ไม่เปิดแผงขายของกินแล้ว ก็เลยมาลากกลับไป
อาจเพราะฉีหมิง หรืออาจเพราะออกนอกเมืองไม่เข้มงวดเหมือนตอนเข้าเมือง หรืออาจเพราะขนหัวไชเท้าผักกาดขาวจริง เจ้าหน้าที่ตรวจไม่เจอแม้แต่เนื้อสัตว์ เพราะเนื้อสัตว์ถูกซ่อนไว้ระหว่างกระสอบหัวไชเท้ากับผักกาดขาว จึงโบกมือไล่ บอกให้ทหารที่เอาดาบขวางไว้หลบออก ปล่อยให้ออกไป
เกวียนโขยกเขยกผ่านประตูเมือง แต่กลับมีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งวิ่งตามหลังมา ถือดาบอยู่ในมือ วิ่งตรงมาหาท่านย่าหม่า
เล่นเอาท่านย่าหม่าสะดุ้งตกใจ ปรากฏว่ากลับถูกกระชากผ้าโพกผมสีชมพู เจ้าหน้าที่ส่งสายตาเตือน ถลึงตาใส่ทุกคนแล้วหันตัววิ่งกลับไป
ท่านย่าหม่าที่หัวโล่งหัวใจเต้นเร็วไม่เป็นจังหวะ ชะโงกหน้ามองเจ้าหน้าที่
มองผ้าโพกผมสีชมพูลายดอกที่ถูกโยนลงในอ่างไฟ ถูกเผาไปแล้ว
ผ้าฝ้ายเชียวนะ ดอกฝ้าย
ด่าในใจ ไอ้คนเฮงซวย จะยึดผ้าโพกหัวก็บอกกันดีๆ สิวะ ทำตกอกตกใจ แถมยังถือดาบวิ่งเข้าหา เกือบทำข้าตกใจเป็นลมแล้วไหมล่ะ
พยายามลากเกวียน เดินทุลักทุเลออกไปได้อีกสองสามร้อยเมตร ฟ้ามืดแล้วแถมหิมะยังตกอีก ไม่สนแล้ว เอาของลง ตรงประตูเมืองอยากมองก็มองไป
ซ่งฝูเซิงเอาของลงจากเกวียนพลางบ่นท่านย่าหม่า เมื่อครู่เขาก็ตกใจแทบแย่เหมือนกัน “ท่านแม่ ข้าบอกแล้วว่าอย่าใส่ผ้าโพกหัวสีชมพู”
“ข้าไม่ใส่แล้วใครจะจำหน้าแก่ๆ ของข้าได้ล่ะ วิธีผูกของข้าไม่เหมือนใคร แถมยังเป็นผ้าฝ้าย เจ้าคิดว่าถ้าข้าไม่โพกผ้าแล้วแม่เล้านั่นจะจำข้าได้ไหม ไม่ได้เจอกันนานขนาดไหนแล้ว ใครก็ตามที่รู้จักข้าก็ดูที่ผ้าโพกหัวก่อนทั้งนั้น”
“งั้นตอนก่อนเข้าเมือง ไม่ใช้ผ้าสีเทาปิดทับผ้าโพกหัวสีชมพูอีกทีล่ะ ตอนนั้นทำไมรู้จักระวัง”
“พอมันยุ่งก็ลืมนี่” ผ้าสีเทาอยู่ในกระเป๋า
ท่านย่าหม่ารู้สึกเหมือนถูกปรักปรำ โทษนางไม่ได้จริงๆ นะ ก็ฮ่องเต้ตายกะทันหันเกินไป เรื่องบางอย่างมันยังไม่ชิน
ซ่งฝูเซิงกับพวกเด็กผู้ชายที่โตหน่อยอย่างเกาเถี่ยโถว ต้าหลัง ทั้งหมดหกคนใส่รองเท้าลื่น เอากระสอบหัวไชเท้ากับผักกาดขาววางบนแคร่เลื่อน กระสอบแล้วกระสอบเล่า
มัดกระสอบผักติดกับแคร่เลื่อนให้แน่น เชือกที่ลากแคร่ก็มัดติดกับตัวและบ่าให้แน่นเช่นกัน
“พวกเราไปก่อนนะ”
ทั้งหกคนดันไม้เท้าในสองมือพร้อมกันแล้วเริ่มลื่นไปข้างหน้า
ท่านย่าหม่ากับซ่งฝูหลิงถึงได้ขึ้นเกวียน ในที่สุดบนเกวียนก็มีที่ว่างบ้างแล้ว วัวก็ขนของเบาลงบ้าง ขนลงไปไม่น้อย
“นั่งเรียบร้อยกันแล้วนะ” ท่านย่าหม่าหวดแส้
“ท่านย่า หนาวหรือเปล่า” หมวกผ้าฝ้ายไม่อยู่แล้ว
เฉียนหมี่โซ่วยื่นมือออกมาจากถุงนอน ช่วยพี่สาวเอาผ้าห่มคลุมตัวท่านย่าหม่า โดยเริ่มตั้งแต่ที่หัว
ต่อมา ด้วยความที่หนาวมาก ท่านย่าหม่าจึงตั้งใจหยุดเกวียน บอกให้ซ่งฝูหลิงกับหมี่โซ่วอยู่ข้างหลังนางแล้วเอาเชือกมัดเด็กทั้งสองรวมถึงผ้าห่มไว้ด้วยกันหมด ทั้งสามคนห่อตัวด้วยผ้าห่มมัดรวมกันประหนึ่งถูกจับเรียกค่าไถ่ จากนั้นก็เคลื่อนเกวียนต่อ